สหราชอาณาจักรประเทศแรกๆ ในโลก และเป็นหนึ่งในไม่กี่ประเทศก่อนหน้าสหรัฐอเมริกา ที่อนุมัติให้มีการฉีดวัคซีนต้านโควิด-19 ในกรณีฉุกเฉินกับพลเมืองของตัวเอง โดยเริ่มต้นขึ้นเมื่อวันที่ 4 ม.ค. 64วันแห่งอิสรภาพ19 ก.ค. 64 วันแห่งอิสรภาพ สหราชอาณาจักรประกาศยกเลิกมาตรการล็อกดาวน์เฟสสุดท้าย เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดโควิด-19 กิน ดื่ม เที่ยว ไม่ต้องสวมหน้ากากอนามัย และดูฟุตบอลได้เต็มที่อัตราการฉีดวัคซีน Covid-1919 ก.ค. 64 รายงานของ NHS ระบุว่า มีผู้ฉีดวัคซีนในสหราชอาณาจักรรวมแล้ว 69,077,145 คน แยกเป็น ฉีดเข็มแรก 38,863,810 คน และเข็มที่สอง 30,213,335 คน จากจำนวนประชากรรวม 67 ล้านคนผู้ติดเชื้อและเสียชีวิต 19 ก.ค. 64 รายงานของ NHS ระบุว่า มีผู้ติดเชื้อรายวัน ในสหราชอาณาจักร 39,359 คน เสียชีวิต 19 ศพ ในขณะที่ผู้ติดเชื้อสะสมอยู่ที่ 5,470,162 คน และเสียชีวิตสะสมอยู่ที่ 128,763 ศพ ไม่ทำวันนี้ จะทำวันไหน?ท่ามกลางคำเตือนจากบรรดาผู้เชี่ยวชาญด้านสาธารณสุขที่ว่า การยกเลิกมาตรการล็อกดาวน์เฟสสุดท้าย ทั้งๆ ที่มีจำนวนผู้ติดเชื้อรายวันในระดับสูง “มีความเสี่ยงมากเกินไป” แต่นายกรัฐมนตรี บอริส จอห์นสัน ของอังกฤษ ยืนยันว่า ประสิทธิภาพและอัตราการฉีดวัคซีนที่ครอบคลุมจำนวนประชากรได้แล้วจำนวนมาก จะช่วย “ลดความเสี่ยง” จากอันตรายของโควิด-19 ได้“หากเราไม่ทำตอนนี้ เราต้องถามตัวเองว่า เราจะทำเมื่อไหร่ นี่คือช่วงเวลาที่เหมาะสม” จุดเปลี่ยน Delta Variant สายพันธุ์เดลตาหลังพบการแพร่ระบาดของสายพันธุ์เดลตา ตัวเลขผู้ติดเชื้อรายวันในสหราชอาณาจักร ได้เริ่มขยับสูงขึ้นเรื่อยๆ โดยในเดือนมิถุนายน จำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ในสหราชอาณาจักรถึง 60% เป็นผู้ติดเชื้อสายพันธุ์เดลตาตุลาคม 2564ตัวเลขผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในสหราชอาณาจักร เริ่มทะยานสูงขึ้นอย่างน่าหวาดวิตกจนเกือบแตะหลัก 50,000 คนต่อวัน ซึ่งสูงกว่าจำนวนผู้ติดเชื้อรายวันของฝรั่งเศส เยอรมนี อิตาลี และ สเปน รวมกันเสียอีก AY.4.2ล่าสุด มีการค้นพบสายพันธุ์ย่อยของสายพันธุ์เดลตาที่มีชื่อว่า AY.4.2 ซึ่งเบื้องต้นพบว่า อาจจะสามารถแพร่เชื้อได้มากกว่า สายพันธุ์เดลตาดั้งเดิมถึง 10-15% และล่าสุดในจำนวนผู้ติดเชื้อ ณ สิ้นสุดวันที่ 27 กันยายน เป็นการติดเชื้อสายพันธุ์ AY.4.2 คิดเป็นสัดส่วนถึง 6% วินัยคนในชาติลดต่ำลง ผลสำรวจในเดือนตุลาคมของสำนักงานสถิติแห่งชาติของอังกฤษ พบว่า มีชาวเมืองผู้ดีเพียง 40% ที่ยังคงรักษาวินัยเรื่องมาตรการเว้นระยะห่างทางสังคมเป็นประจำ ซึ่งแตกต่างจาก 62% ในเดือนกรกฎาคม และ 85% ในเดือนเมษายนอย่างเห็นได้ชัด ความลังเลที่นำไปสู่ความผิดพลาด หน้ากากอนามัยการผ่อนปรนเรื่องการสวมหน้ากากอนามัยในสถานที่สาธารณะ รวมถึง การไร้ซึ่งความเข้มงวดในการบังคับสวมหน้ากากอนามัยในระบบขนส่งมวลชน กลายเป็นหนึ่งในสาเหตุสำคัญของการแพร่ระบาด ฉีดวัคซีนกลุ่มเด็กล่าช้าหลายชาติในทวีปยุโรปและสหรัฐอเมริกาที่เคยล่าช้ากว่าเรื่องการอนุมัติฉีดวัคซีนในกรณีฉุกเฉิน ได้ตัดสินใจเริ่มฉีดวัคซีนให้กับกลุ่มเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี ตั้งแต่เดือนมิถุนายนแต่สหราชอาณาจักร กลับลังเลใจในเรื่องดังกล่าว หนำซ้ำยังมีเพียงอังกฤษชาติเดียว ที่ตัดสินใจเริ่มฉีดให้เฉพาะกลุ่มเสี่ยงเมื่อเลยเข้ากลางเดือนกันยายน ด้วยเหตุนี้เมื่อมีการเปิดเทอมกลุ่มวัยรุ่นจึงกลับไปแพร่เชื้อให้กับกลุ่มผู้ใหญ่โดยเฉพาะกลุ่มอายุ 35-55 ปี มากขึ้น และปัจจุบันมีวัยรุ่นในอังกฤษ เพียง 1.2 ล้าน ที่ได้รับวัคซีนเข็มแรก และ 260,000 ที่ได้รับวัคซีนเข็มสองภูมิคุ้มกันหมู่ตามธรรมชาติแม้จะไม่พูดออกมาอย่างชัดเจน แต่ความลังเลเรื่องการฉีดวัคซีนให้กับกลุ่มเด็กอายุ 12-15 ปี รวมถึง ยกเลิกมาตรการล็อกดาวน์เฟสสุดท้าย ถูกมองว่าคือความจงใจของสหราชอาณาจักรที่ต้องการให้เกิดการติดเชื้อเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ตามธรรมชาติในกลุ่มหนุ่มสาวที่ปกติแม้จะติดเชื้อแต่ก็มักไม่เกิดอาการเจ็บป่วยรุนแรง และสามารถสร้างภูมิคุ้มกันได้หลังการติดเชื้อแต่นั่นกลับทำให้ กลุ่มหนุ่มสาวแพร่เชื้อให้กลุ่มผู้ใหญ่มากขึ้น ในขณะที่กลุ่มผู้สูงอายุเองก็เสียชีวิตจากการติดเชื้อเพิ่มขึ้นด้วยเช่นกันวัคซีนเข็มกระตุ้นที่ล่าช้าความสำเร็จในการเร่งฉีดวัคซีนเข็มแรกและเข็มที่สองให้กับประชาชนได้อย่างรวดเร็ว ทำให้สหราชอาณาจักรเกิดความย่ามใจ จนทำให้ระยะเวลาสำหรับการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นห่างจากเข็มที่สอง “นานเกินไป” โดยเฉพาะในกลุ่มเปราะบางผ่านไปเกือบหนึ่งเดือนหลังการเริ่มฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้น น้อยกว่าครึ่งหนึ่งในกลุ่มผู้มีอายุมากกว่า 80 ปี เพิ่งได้รับการฉีดวัคซีนเข็มที่ 3 ทำให้มีการประเมินว่าจากอัตราการฉีดในปัจจุบัน กลุ่มเปราะบางมากกว่า 22 ล้านคน อาจจะไม่ได้รับการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นครบจนกว่าจะถึงปลายเดือนมกราคมปีหน้าWINTER IS COMINGชีวิต Normal แม้ฤดูหนาวใกล้มาเยือน แม้จะคืบคลานเข้าใกล้ฤดูหนาว ฤดูที่ความหนาวเหน็บจะยิ่งทำให้เชื้อไวรัสอยู่ในอากาศได้ยาวนาน และแพร่เชื้อได้มากขึ้น แต่นายกรัฐมนตรี บอริส จอห์นสัน ยังคงไร้ซึ่งท่าทีใดๆ ที่จะตอบสนองต่อข้อเรียกร้องของผู้เชี่ยวชาญ ที่ให้กลับมาใช้มาตรการเว้นระยะห่างทางสังคม Work from Home พาสปอร์ตวัคซีน (ปัจจุบันมีเพียง สกอตแลนด์ ที่บังคับใช้วัคซีนพาสปอร์ต กรณีเข้าใช้บริการไนต์คลับ โดยเริ่มใช้ 1 ต.ค. ที่ผ่านมา)รวมถึงการสวมหน้ากากอนามัยในสถานที่สาธารณะ นั่นจึงทำให้เกิดคำถามขึ้นว่า สถานการณ์ในสหราชอาณาจักรจะยิ่งเลวร้ายลงอีกหรือไม่?ความเหนื่อยล้าสะสม นักวิเคราะห์หลายคนเตือนว่า เมื่อฤดูหนาวมาถึง นอกจากตัวเลขผู้ติดเชื้อที่อาจเพิ่มสูงขึ้นอย่างน่าวิตกแล้ว ภาวะความเครียดและเหนื่อยล้าของบุคลากรด้านสาธารณสุขในสหราชอาณาจักร ที่ต้องรับมือกับผู้ติดเชื้อในระดับ 35,000-45,000 คนต่อวัน มาหลายเดือนติดต่อกัน แถมในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมามีผู้ป่วยต้องเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลถึง 700 คนต่อวันแล้วนั้น จะยังสามารถแบกรับ “วิกฤติ” ได้ต่อไปอีกหรือไม่? ความท้าทายในฤดูหนาว“เรารู้ดีว่าเมื่อฤดูหนาวมาถึง จะเป็นช่วงเวลาแห่งความท้าทาย อย่างไรก็ดีในเมื่อแต่ละประเทศมีแผนการฉีดวัคซีนและมาตรการในการรับมือที่แตกต่าง มันจึงเป็นเรื่องที่ไม่ควรนำไปเปรียบเทียบกัน นอกจากนี้สิ่งที่สำคัญที่สุด ณ เวลานี้คือ การสร้างสมดุลระหว่าง การปกป้องชีวิตและการดำรงชีวิตตามปกติ” แมกซ์ เบลน (Max Blain) โฆษกนายกรัฐมนตรี บอริส จอห์นสัน ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ รายงาน กราฟิก: Jutaphun Sooksamphun