รวมระยะเวลานานเกือบ 20 ปี นับจาก "การเข้ารุกราน" ประเทศอัฟกานิสถานภายใต้ฉากหน้าที่มีชื่อ "Operation Enduring Freedom" ซึ่งเริ่มขึ้นในวันที่ 7 ต.ค. 2001 เมื่ออดีตประธานาธิบดี จอร์จ ดับเบิลยู. บุช ออกคำสั่งโจมตีทางอากาศใส่เป้าหมายกลุ่มตาลีบันและกลุ่มอัลกออิดะห์ในประเทศอัฟกานิสถาน ก่อนจะขยายวงการสู้รบในวงกว้างออกไประหว่างปี 2001-2014จากนั้นเมื่อสหรัฐฯ อ้างว่า ปฏิบัติการ Operation Enduring Freedom ประสบความสำเร็จลุล่วงด้วยดีแล้ว จึงได้เริ่มต้นสิ่งที่เรียกว่า "Operation Freedom’s Sentinel" (เริ่มต้นในวันที่ 28 ธ.ค. 2014) สำหรับการ "ยึดครอง" ประเทศอัฟกานิสถานในลำดับต่อไป กระทั่งถึงเดือนสิงหาคมปีนี้แต่ที่สุดแล้ว ห้วงระยะเวลาแห่งการ "ยึดครอง" ก็ถึงคราว Game Over ลงอย่าง ล้มเหลว อลหม่าน น่าอับอาย และแทบจะหาความ "แตกต่าง" ไม่เจอ กับความล้มเหลว อลหม่าน น่าอับอาย เมื่อ 46 ปีก่อน หรือเมื่อครั้งที่... "กรุงไซ่ง่อนแตก"คำถาม คือ ประเทศสหรัฐอเมริกาได้สูญเสีย "ต้นทุน" อะไรไปบ้าง?ใน "สงครามที่อัฟกานิสถาน" และความสูญเสียที่ว่านี้มากหรือน้อยเพียงใด เมื่อเปรียบเทียบกับเหตุการณ์คล้ายๆ กันในสมัย "สงครามเวียดนาม"วันนี้ "ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์" จะค่อยๆ นำทุกท่านไปร่วมสังเคราะห์และเปรียบเทียบกันทีละประเด็น!1. เหตุผลในการทำสงคราม?สงครามเวียดนามเหตุผลของรัฐบาลสหรัฐฯ?ป้องกันการขยายอิทธิพลของลัทธิคอมมิวนิสต์ ไม่ให้ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กลายเป็นระบบคอมมิวนิสต์ตามทฤษฎีโดมิโน (Domino Theory)สงครามอัฟกานิสถานเหตุผลของรัฐบาลสหรัฐฯ?ทำสงครามต่อต้านการก่อการร้าย หลังตาลีบันปฏิเสธข้อเสนอรัฐบาลสหรัฐฯ ที่ให้ส่งมอบตัว โอซามา บิน ลาเดน มาดำเนินคดีที่ประเทศสหรัฐอเมริกา จากข้อกล่าวหามีความเชื่อมโยงกับการก่อวินาศกรรม 11 กันยายน2. ระยะเวลาในการทำสงคราม?สงครามเวียดนาม ระยะเวลารวม 21 ปี (เริ่มต้น ค.ศ. 1954-1975)กรุงไซ่ง่อน เมืองหลวงของประเทศเวียดนามใต้แตก วันที่ 30 เม.ย. 1975 หรือ 2 ปีหลังทหารสหรัฐฯ "คนสุดท้าย" ถอนตัวออกจากประเทศเวียดนามใต้อย่างเป็นทางการ ในวันที่ 29 มี.ค. 1973*หมายเหตุ: ช่วงระยะเวลาสงคราม นับช่วงเวลาตั้งแต่สหรัฐฯ เริ่มเข้าไปแทรกแซงประเทศเวียดนาม หลังการพ่ายแพ้ของฝรั่งเศสในยุทธภูมิที่เดียนเบียนฟู จนนำไปสู่การแบ่งแยกเป็นประเทศเวียดนามเหนือและเวียดนามใต้สมัยการบริหารประเทศของ 4 ประธานาธิบดีสหรัฐฯประกอบด้วย 1. อดีตประธานาธิบดี ดไวท์ ไอเซนฮาวร์, 2. อดีตประธานาธิบดี จอห์น เอฟ. เคนเนดี, 3. อดีตประธานาธิบดี ลินดอน จอห์นสัน, 4. อดีตประธานาธิบดี ริชาร์ด นิกสันสงครามอัฟกานิสถาน ระยะเวลารวม 19 ปี 9 เดือน (เริ่มต้น ค.ศ. 2001-2021)กรุงคาบูล เมืองหลวงของประเทศอัฟกานิสถานแตก วันที่ 16 ส.ค. 2021*หมายเหตุ: กำหนดการถอนทหารสหรัฐฯ คนสุดท้ายออกจากอัฟกานิสถานอย่างเป็นทางการ คือ วันที่ 31 ส.ค. 2021สมัยการบริหารประเทศของ 4 ประธานาธิบดีสหรัฐฯประกอบด้วย 1. อดีตประธานาธิบดี จอร์จ ดับเบิลยู. บุช, 2. อดีตประธานาธิบดี บารัค โอบามา, 3. อดีตประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์, 4. ประธานาธิบดี โจ ไบเดนWhere have all the flowers gone?3. ชีวิตทหารที่ต้องสูญเสียจากสงคราม?สงครามเวียดนามทหารสหรัฐฯ และพันธมิตร เสียชีวิตรวม 282,000 นายทหารเวียดนามเหนือ เสียชีวิตรวม 444,000 นายรวมจำนวนผู้เสียชีวิต 726,000 นาย*หมายเหตุ: เฉพาะจำนวนทหารสหรัฐฯ ที่เสียชีวิตในสงครามเวียดนามตามรายชื่อที่ถูกบันทึกอย่างเป็นทางการในอนุสรณ์สถานทหารผ่านศึกเวียดนาม (Vietnam Veterans Memorial) ที่กรุงวอชิงตัน อยู่ที่ 58,220 นายสงครามอัฟกานิสถานทหารสหรัฐฯ เสียชีวิตรวม 2,442 นาย ทหารจากชาติพันธมิตร NATO เสียชีวิตรวม 1,144 นายทหารกองทัพอัฟกานิสถานและตำรวจ เสียชีวิตรวม 75,314-78,314 นายกองกำลังฝ่ายตรงข้าม เสียชีวิตรวม 84,191 ศพรวมจำนวนผู้เสียชีวิต 166,091 ศพ*หมายเหตุ: อ้างอิงจากการจัดทำข้อมูลของ WATSON INSTITUTE มหาวิทยาลัยบราวน์ (Brown University) ตั้งแต่ตุลาคม ค.ศ.2001 - เม.ย. 2021 โดยจำนวนนี้รวมกับเหตุการณ์สู้รบบริเวณชายแดนประเทศปากีสถานที่ติดกับประเทศอัฟกานิสถานด้วย4. ชีวิตพลเรือนที่ต้องสูญเสียจากสงคราม?สงครามเวียดนาม พลเรือนเวียดนามเหนือและเวียดนามใต้ เสียชีวิตรวมกัน 627,000 ศพสงครามอัฟกานิสถานพลเรือนสหรัฐฯ คนงานบริษัทรับเหมาสัญชาติสหรัฐฯ ที่เข้าไปทำงานในอัฟกานิสถาน เสียชีวิตรวม 3,846 ศพพลเรือนชาวอัฟกานิสถาน เสียชีวิตรวม 47,245 ศพผู้สื่อข่าวและบุคลากรด้านสื่อสารมวลชน เสียชีวิตรวม 72 ศพเจ้าหน้าที่และคนงานที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมด้านมนุษยธรรม เสียชีวิตรวม 444 ศพรวมจำนวนพลเรือนที่เสียชีวิตทั้งหมด 51,607 ศพ5. จำนวนผู้ลี้ภัยสงคราม?สงครามเวียดนามตามรายงานอย่างเป็นทางการของรัฐบาลสหรัฐฯ มีชาวเวียดนามใต้ที่อพยพหนีภัยสงครามหลังกรุงไซ่ง่อนแตก ในปี 1975 ไปยังประเทศสหรัฐอเมริกาประมาณ 125,000 คน จากนั้นเป็นต้นมา จำนวนผู้อพยพชาวเวียดนามได้เพิ่มขึ้นประมาณ 2 เท่าในทุกๆ 10 ปี ล่าสุดในปี 2017 มีการประมาณการว่า ประชากรผู้อพยพชาวเวียดนามที่อาศัยอยู่ในสหรัฐฯ มีรวมกันประมาณ 1.3 ล้านคน*หมายเหตุ: อ้างอิงข้อมูลจาก Migration Policy Instituteสงครามอัฟกานิสถานตามรายงานล่าสุดของทางการสหรัฐฯ หลังกรุงคาบูลแตกได้ดำเนินการช่วยชาวอัฟกันอพยพออกประเทศแล้วอย่างน้อย 5,000 คนในขณะที่จำนวนผู้ลงทะเบียนขออพยพมายังประเทศสหรัฐอเมริกา ในโครงการวีซ่าผู้อพยพพิเศษ (Special Immigrant Visa program) อยู่ที่ประมาณ 20,000 คน ซึ่งจนถึงตอนนี้ยังไม่มีคำตอบจากรัฐบาลสหรัฐฯ ว่าจะยินยอมรับผู้คนเหล่านี้เข้าประเทศทั้งหมดหรือไม่?6. งบประมาณที่ใช้ในการทำสงคราม?สงครามเวียดนามงบประมาณที่ผ่านการอนุมัติจากสภาคองเกรสในช่วงระยะเวลา 17 ปี 9 เดือน (นับระยะเวลาถึงการถอนทหารออกจากเวียดนามใต้อย่างเป็นทางการในปี 1973) อยู่ที่ประมาณ 843,630 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (เทียบเท่าค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ณ ปี 2019 หรือเท่ากับ 2.3% ของ GDP สหรัฐฯ ในปี 1968)*หมายเหตุ: อ้างอิงจากรายงาน Congressional Research Service เรื่อง Costs of Major U.S. Wars ในปี 2010สงครามอัฟกานิสถานจำนวนงบประมาณที่ผ่านการอนุมัติจากสภาคองเกรส ซึ่งถูกนำไปใช้ในปฏิบัติการทางการทหารในอัฟกานิสถานและชายแดนประเทศปากีสถาน ระหว่างปี 2001-2021 อยู่ที่ประมาณ 2.261 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ!*หมายเหตุ: อ้างอิงจากการจัดทำข้อมูลของ WATSON INSTITUTE มหาวิทยาลัยบราวน์ (Brown University) ตั้งแต่ตุลาคม ค.ศ. 2001 - เม.ย. 2021 โดยจำนวนงบประมาณนี้ ยังไม่นับรวมการชำระดอกเบี้ยเงินกู้ยืม และค่าใช้จ่ายในอนาคตสำหรับการดูแลทหารผ่านศึกสหรัฐฯ ที่ทุพพลภาพและอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับสงคราม7. ต้นทุนภาษีที่คนอเมริกันต้องจ่ายให้กับสงคราม?สงครามเวียดนามอดีตประธานาธิบดี ลินดอน จอห์นสัน ประกาศขึ้นอัตราภาษีสูงสุดชั่วคราว เพื่อหาเงินเป็นค่าใช้จ่ายในสงครามเวียดนาม 77%สงครามอัฟกานิสถานอดีตประธานาธิบดี จอร์จ ดับเบิลยู. บุช ทำในสิ่งที่ "ตรงกันข้าม" กับอดีตผู้นำสหรัฐฯ ที่เข้าสู่สงครามคนที่ผ่านๆ มา ด้วยการลดอัตราภาษีคนรวยอย่างน้อย 8% แทนที่จะเพิ่มอัตราภาษี ในช่วงต้นๆ ของการทำสงครามในอัฟกานิสถานและอิรัก ระหว่างปี 2001-2003ทำให้งบประมาณที่ใช้เป็นต้นทุนในการทำสงครามโดยตรงของสหรัฐฯ ในสงครามอัฟกานิสถาน ณ ปี 2020 เป็นการจัดหาเงินทุนระยะยาวจากการก่อหนี้ประมาณ 2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ อย่างไรก็ดี ก้อนหนี้เงินกู้ดังกล่าวจะทำให้มีต้นทุน (เฉพาะดอกเบี้ย) ในปี 2050 สูงถึงประมาณ 6.5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ !*หมายเหตุ: อ้างอิงจากการจัดทำข้อมูลของ WATSON INSTITUTE มหาวิทยาลัยบราวน์ (Brown University)ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ รายงาน