การแพร่ระบาดของโควิด-19 โดยเฉพาะสายพันธุ์เดลตา ทำให้จำนวนผู้ติดเชื้อทั่วโลกเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในทุกๆ ที่ที่มีรายงานการปรากฏตัวของมัน ไม่เว้นแม้แต่กระทั่งในประเทศที่ได้ชื่อว่า มีอัตราการฉีดวัคซีน mRNA ต่อสัดส่วนประชากรสูงมาก เช่น สหรัฐอเมริกา หรืออิสราเอล ก็ตาม

แล้ว ณ ปัจจุบัน ชาวโลกมีข้อมูลล่าสุดเกี่ยวกับโควิด-19 และสายพันธุ์เดลตากันมากน้อยขนาดไหนแล้ว ในวันนี้เราลองไปพิจารณาข้อมูลล่าสุดจากประเทศสหรัฐอเมริกาและอิสราเอล ซึ่งเป็นประเทศที่กำลังค้นคว้าวิจัยในเรื่องนี้อย่างจริงจังกันดู

งั้นเราไปเริ่มที่ประเทศสหรัฐอเมริกากันก่อน!

โดยรายงานผลการศึกษาเรื่องการแพร่ระบาดโควิด-19 สายพันธุ์เดลตา ล่าสุด (อัปเดต 30 ก.ค. 64) ของศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคของสหรัฐฯ หรือ CDC

ซึ่งได้เริ่มการศึกษาวิจัยกลุ่มตัวอย่างที่เมืองโพรวินซ์ทาวน์ รัฐแมสซาชูเซตส์ ในช่วงเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา พบว่า...

มีตัวเลขผู้ติดเชื้อโควิด-19 จำนวน 469 คน และในจำนวนนี้มีจำนวนมากถึง 346 คน หรือ 74% เป็นผู้ที่ได้รับวัคซีนครบสูตรแล้ว นอกจากนี้ จากการสุ่มเลือกตัวอย่าง (Sequenced Samples) ผู้ติดเชื้อจำนวน 133 คน พบว่า มากถึง 90% เป็นการติดเชื้อสายพันธุ์เดลตา

หากแต่ที่สำคัญมากไปกว่านั้นคือ ปริมาณเชื้อไวรัสที่พบในกลุ่มผู้ที่ได้รับวัคซีนครบสูตรแล้ว แทบจะไม่มีความแตกต่างจากกลุ่มผู้ติดเชื้อที่ไม่ได้รับการฉีดวัคซีนอีกด้วย

...

"ปริมาณเชื้อไวรัสจำนวนมากที่พบในกลุ่มผู้ได้รับการฉีดวัคซีนครบสูตร แสดงให้เห็นถึงความเสี่ยงต่อการแพร่เชื้อที่เพิ่มมากขึ้นได้ อีกทั้งยังทำให้เกิดความกังวลด้วยว่า ในกลุ่มผู้ที่ได้รับวัคซีนครบสูตรที่ติดเชื้อสายพันธุ์เดลตา สามารถแพร่เชื้อต่อได้ ซึ่งแตกต่างจากสายพันธุ์อื่นๆ ชัดเจน ซึ่งจากข้อมูลนี้ CDC จึงแนะนำให้ชาวอเมริกันควรกลับไปสวมหน้ากากอนามัยอีกครั้ง"

ดร.โรเชลล์ วาเลนสกี (Rochelle Walensky) ผู้อำนวยการศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคติดต่อแห่งชาติสหรัฐฯ หรือ CDC กล่าวยอมรับ

*หมายเหตุ: รัฐแมสซาชูเซตส์ ถือเป็นหนึ่งในรัฐที่มีอัตราการฉีดวัคซีนสูง โดยล่าสุดมีการฉีดวัคซีนครอบคลุมถึง 69% ของจำนวนประชากรในกลุ่มผู้ใหญ่ (Adults) แล้ว

อย่างไรก็ดี ดร.โรเชลล์ วาเลนสกี ยืนยันว่า วัคซีนต้านโควิด-19 ยังคงมีประสิทธิภาพในการต้านทานการเจ็บป่วยหนัก การต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล และการเสียชีวิตได้ เนื่องจากผลจากการศึกษาดังกล่าวพบว่า มีเพียง 4 คน ซึ่งมีอายุระหว่าง 20-70 ปี ที่ได้รับวัคซีนครบสูตร ต้องเข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาล และในจำนวนนี้ 2 คน มีโรคแฝง รวมถึงไม่มีรายงานการเสียชีวิต

แต่อย่างไรก็ดี 79% ในจำนวนผู้ติดเชื้อที่ได้รับวัคซีนครบสูตร พบว่า มีอาการเจ็บป่วยเล็กน้อย เช่น ไอ ปวดศีรษะ เจ็บคอ ปวดกล้ามเนื้อ และมีไข้อ่อนๆ

นอกจากนี้ ดร.โรเชลล์ วาเลนสกี ยังได้หยิบยกผลงานวิจัย 3 ชิ้น จากแคนาดา สิงคโปร์ และสกอตแลนด์ ที่สามารถยืนยันได้ว่า วัคซีนไฟเซอร์ยังคงมีประสิทธิภาพถึงมากกว่า 90% ในการต้านทานการเจ็บป่วยหนัก การต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล และการเสียชีวิตด้วย

*หมายเหตุ: จำนวนผู้ติดเชื้อ 346 คน ที่ได้รับวัคซีนครบสูตร จากการศึกษาล่าสุดของ CDC แยกเป็นผู้ได้รับวัคซีนไฟเซอร์ 56% วัคซีนโมเดอร์นา 38% และวัคซีนจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน 7%

เหตุใดผู้ฉีดวัคซีน mRNA จึงติดเชื้อโควิด-19 สูงกว่าวัคซีนชนิดไวรัสเป็นพาหะ?

ก่อนอื่น "เรา" ต้องไปดูข้อมูลการบริหารจัดการวัคซีนในสหรัฐฯ กันก่อน โดยหากอ้างอิงรายงานของ CDC สิ้นสุดวันที่ 30 ก.ค. 64 จะพบว่า มีวัคซีนไฟเซอร์ถูกนำไปใช้ในสหรัฐฯ แล้วประมาณ 190 ล้านโดส และวัคซีนโมเดอร์นาอยู่ที่ประมาณ 140 ล้านโดส ส่วนวัคซีนจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน อยู่ที่ประมาณ 13.3 ล้านโดส

ซึ่งจากตัวเลขนี้จะเห็นได้ชัดว่า ชาวสหรัฐฯ นิยมฉีดวัคซีน mRNA มากกว่าวัคซีนชนิดไวรัสเป็นพาหะ อย่างจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน ในสัดส่วนที่แตกต่างกันมาก ด้วยเหตุนี้จึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรที่ค่าเฉลี่ยของผู้ติดเชื้อจากรายงานดังกล่าวจะเป็นผู้ได้รับการฉีดวัคซีน mRNA สูงกว่า

...

สายพันธุ์เดลตาแพร่ระบาดได้รวดเร็วกว่าสายพันธุ์อื่นๆ จริงหรือไม่?

ดร.เพอร์รี วิลสัน (Dr.Perry Wilson) ผู้เชี่ยวชาญด้านระบาดวิทยา จากมหาวิทยาลัยเยล ซึ่งได้ทำการศึกษาการแพร่ระบาดของสายพันธุ์เดลตาในประเทศสหรัฐอเมริกา ตั้งแต่เมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ระบุว่า สายพันธุ์เดลตาสามารถแพร่กระจายเชื้อได้รวดเร็วกว่าสายพันธุ์อัลฟา (อังกฤษ) ถึง 50% นอกจากนี้ยังสามารถติดเชื้อได้มากกว่า 50% เมื่อเปรียบเทียบกับสายพันธุ์ดั้งเดิมอย่าง SARS-CoV-2 อีกด้วย

นอกจากนี้ ในสภาพแวดล้อมที่มีระดับการป้องกันต่ำ (ไม่สวมหน้ากากอนามัย หรือมีอัตราการฉีดวัคซีนในระดับต่ำ) สายพันธุ์เดลตาจะสามารถแพร่กระจายเชื้อจากคนหนึ่งคนไปยังอีก 3.5-4 คนเป็นอย่างน้อย ในขณะที่ โคโรนาไวรัสสายพันธุ์ดั้งเดิม สามารถแพร่กระจายเชื้อไปได้เพียงในสัดส่วน 2.5 คนเท่านั้น ภายใต้สภาพแวดล้อมเดียวกัน

ผู้ที่ไม่ได้รับการฉีดวัคซีนมีความเสี่ยงมากแค่ไหนจากสายพันธุ์เดลตา?

ในสหรัฐอเมริกาเห็นได้ชัดว่า รัฐที่มีอัตราการฉีดวัคซีนต่อประชากรต่ำ มีตัวเลขการติดเชื้อสายพันธุ์เดลตาเพิ่มสูงขึ้นมาก เช่น รัฐอาร์คันซอ จอร์เจีย มิสซิสซิปปี มิสซูรี และเวสต์เวอร์จิเนีย

...

นอกจากนี้ จากผลการศึกษาในสหราชอาณาจักรเมื่อเร็วๆ นี้ยังพบว่า ในกลุ่มเด็กและกลุ่มผู้ใหญ่ที่มีอายุต่ำกว่า 50 ปี มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อเดลตามากกว่ากลุ่มวัยอื่นๆ ถึง 2.5 เท่าอีกด้วย (จากการที่มีการกระจายวัคซีนไปยังกลุ่มเสี่ยง เช่น ผู้สูงอายุและมีโรคร่วมเป็นกลุ่มแรกๆ)

สายพันธ์ุเดลตาอาจนำไปสู่สิ่งที่เรียกว่า การระบาดอย่างรุนแรงในพื้นที่จำกัด?

ดร.เพอร์รี วิลสัน (Dr.Perry Wilson) ผู้เชี่ยวชาญด้านระบาดวิทยา จากมหาวิทยาลัยเยล วิเคราะห์ว่า หากยังคงมีระดับการฉีดวัคซีนในแต่ละพื้นที่ "แตกต่างกัน" สายพันธุ์เดลตาก็ยังคงสามารถกระโดดข้ามจากพื้นที่ที่มีอัตราการฉีดวัคซีนสูงไปยังพื้นที่ที่มีอัตราการฉีดวัคซีนต่ำได้อยู่ดี และสุดท้ายมันจะทำให้เกิดการระบาดอย่างรุนแรงในพื้นที่จำกัด (Hyperlocal Outbreaks)

ทั้งนี้ การระบาดของโควิด-19 จะยังคงอยู่ต่อไปอีกอย่างน้อย 3-4 ปี จนกว่าทุกคนจะได้ฉีดวัคซีน หรือไม่ก็ติดเชื้อจนเกิดภูมิคุ้มกันหมู่

...

อย่างไรก็ดี หากมีจำนวนการติดเชื้อในพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่งมากเกินไป ระบบสาธารณสุขในพื้นที่นั้นย่อมล่มสลายลง และจะนำไปสู่การเสียชีวิตของผู้คนจำนวนมาก ซึ่งเหตุการณ์เช่นนี้มีโอกาสเกิดขึ้นได้น้อยมากในสหรัฐฯ แต่ถ้าหากมันเกิดขึ้นในพื้นที่อื่นของโลก ประเด็นนี้คือเรื่องที่น่ากังวลเป็นอย่างยิ่ง

แล้วงานวิจัยล่าสุดเกี่ยวกับโควิด-19 จากอิสราเอล ทำให้ "เรา" รู้อะไรเพิ่มเติมบ้าง?

ผู้ได้รับวัคซีนครบสูตร (ไฟเซอร์ 2 เข็ม) สามารถติดเชื้อโควิด-19 ได้ แต่ที่น่ากังวล คือ มีอาการน้อย และแม้ตรวจก็พบเชื้อได้ยาก หนำซ้ำ! เชื้อยังตกค้างในร่างกายนานถึง 6 สัปดาห์!

โดยรายงานวิจัยของศูนย์การแพทย์ชีบา (Sheba Medical Center) ศูนย์วิจัยทางการแพทย์ที่ใหญ่ที่สุดของประเทศอิสราเอล ซึ่งถูกตีพิมพ์ในนิตยสารทางการแพทย์ New England Journal of Medicine หรือ NEJM 

เมื่อวันที่ 28 ก.ค. 64 พบว่า จากการทดสอบกลุ่มตัวอย่างที่เป็นบุคลากรทางการแพทย์ (หมอ พยาบาล นักศึกษาแพทยศาสตร์ และอาสาสมัคร) จำนวน 1,497 คน ซึ่งทั้งหมดได้รับวัคซีนครบสูตรแล้ว (วัคซีนไฟเซอร์ครบ 2 เข็ม) ระหว่างวันที่ 19 ธ.ค. 63 - 28 เม.ย. 64 พบว่า...

จากการตรวจ RT-PCR (Polymerase chain reaction) หรือการเก็บตัวอย่างเชื้อบริเวณลำคอและโพรงจมูกในกลุ่มบุคลากรทางการแพทย์ พบว่า บุคลากรทางการแพทย์ที่ได้รับวัคซีนครบสูตร (วัคซีนไฟเซอร์ครบ 2 เข็ม) ติดเชื้อ SARS-CoV-2 (โควิด-19) เพียง 39 คน หรือคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 2.6%

อย่างไรก็ดี ในผู้ป่วยกลุ่มดังกล่าวมีระดับภูมิคุ้มกันชนิดสลายไวรัส (neutralizing antibody) "น้อยกว่า" กลุ่มที่ไม่ติดเชื้อ ทั้งนี้ การที่มีระดับภูมิคุ้มกันชนิดสลายไวรัสที่สูง สัมพันธ์กับการติดเชื้อที่ลดลง

ในผู้ป่วยกลุ่มนี้ประมาณ 16% จะมีอาการเพียงเล็กน้อย เช่น สูญเสียการรับรู้กลิ่น ไอ เหนื่อยล้า อ่อนแรง หายใจลำบาก หรือปวดกล้ามเนื้อ หรือไม่มีอาการเลย แม้ว่าอาการดังกล่าวจะคงอยู่ได้นานถึงมากกว่า 6 สัปดาห์ พบเชื้อสายพันธุ์อัลฟา B.1.1.7 ร้อยละ 85 ของผู้ป่วย และร้อยละ 74 ของผู้ป่วย พบระดับไวรัสที่สูง (high viral load) อย่างไรก็ตามพบว่า คนไข้เพียงร้อยละ 59 (17 คน) ที่มีผลบวกเมื่อใช้ชุดตรวจคัดกรองแอนติเจน (Ag-RDT) โดยไม่พบการติดเชื้อซ้ำเป็นครั้งที่สองอีกด้วย

ส่วนอีก 23% ไม่แข็งแรงพอที่จะกลับไปทำงานได้ หลังจากผ่านการกักตัวนาน 10 วัน และมีเพียง 1 คน ที่ไม่สามารถกลับไปทำงานได้ หลังจากผ่านไปนานถึง 6 สัปดาห์

หากแต่สิ่งที่น่าเป็นกังวล คือ การติดเชื้อโควิด-19 ในรายงานวิจัยดังกล่าว ส่วนใหญ่เป็นการติดเชื้อสายพันธุ์อัลฟา (อังกฤษ) ซึ่งจากข้อมูล ณ ปัจจุบัน เป็นที่ทราบกันดีว่า "มีความดุ" น้อยกว่า "สายพันธุ์เดลตา" ที่กำลังแพร่ระบาดในหลายๆ ประเทศทั่วโลก รวมถึงสหรัฐอเมริกาและประเทศไทย ณ เวลานี้เสียด้วย

นอกจากนี้ การที่งานวิจัยดังกล่าวพบว่า เชื้อโควิด-19 สามารถอยู่ในร่างกายของผู้ที่ได้รับวัคซีนครบสูตรได้นานถึง 6 สัปดาห์ ยังสอดคล้องกับที่ CDC เปลี่ยนคำแนะนำให้ผู้ได้รับวัคซีนครบสูตรในสหรัฐฯ ควรกลับมาสวมหน้ากากอนามัยอีกครั้งด้วย เพราะนั่นย่อมแปลว่า ภายในระยะเวลาดังกล่าวอาจทำให้เกิดการแพร่เชื้อต่อไปได้ โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ที่ยังไม่ได้รับวัคซีนนั่นเอง

และทั้งหมดนี้คือ ความคืบหน้าล่าสุดจากงานศึกษาค้นคว้าวิจัยเพื่อนำไปสู่แสงสว่างที่ชาวโลกทุกคนกำลังปรารถนา นั่นก็คือ การพิชิตโควิด-19 ลงให้ได้ในท้ายที่สุด.


ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ รายงาน
กราฟิก: Varanya Phae-araya

ข่าวน่าสนใจ: