ปีที่ผ่านมาเกิดการประท้วงหลายแห่งทั่วโลก ประชาชนหลายประเทศต่างร่วมเดินขบวนเรียกร้องสิทธิการเท่าเทียม รณรงค์เลิกเหยียดเชื้อชาติและสีผิว ภายใต้การเคลื่อนไหวที่เรียกว่า ‘Black Lives Matter’ ที่ทำให้นักกีฬาชื่อดังจำนวนมากพากันคุกเข่าในสนามกีฬาแสดงจุดยืนของตน
นอกเหนือจากเรื่องสีผิว ยังมีการชูสามนิ้วของนักกีฬาฟุตบอลเมียนมา ที่ต่อต้านรัฐบาลรัฐประหารในประเทศตัวเอง และการแสดงจุดยืนทางการเมืองในงานโอลิมปิกครั้งก่อนของนักวิ่งชาวเอธิโอเปีย ที่ไขว้มือกากบาทเหนือศีรษะ เพื่อสนับสนุนการประท้วงใหญ่ในบ้านเกิด
เพื่อไม่ให้เหตุการณ์ทำนองนี้เกิดขึ้นในโตเกียวโอลิมปิก คณะกรรมการโอลิมปิกสากล (ไอโอซี) ออกกฎข้อบังคับชัดเจน ห้ามนักกีฬากระทำการใดๆ ที่แสดงออกทางการเมือง เชื้อชาติ ศาสนา หรือการแทรกแซงประเภทอื่นในพื้นที่จัดการแข่งขันโอลิมปิก ทั้งในสนามแข่ง หมู่บ้านนักกีฬา พิธีมอบเหรียญรางวัล และพื้นที่สำหรับผู้เข้าชม ป้องกันความขัดแย้งทางอุดมการณ์การเมือง ศาสนา เชื้อชาติ
ข้อบังคับนี้ส่งผลให้ การประท้วง แสดงจุดยืน ประชาสัมพันธ์ โฆษณาชวนเชื่อ หรือการโปรโมตใดๆ กลายเป็นสิ่งที่ถูกห้ามตลอดการจัดการแข่งขัน ครอบคลุมไปยังการทำสัญลักษณ์มือ ท่าทางต่างๆ แผ่นป้าย เพื่อป้องกันการโต้เถียงหรือความขัดแย้งต่อภูมิหลัง เชื้อชาติ และวัฒนธรรมของผู้เข้าร่วม
แรกเริ่มที่ไอโอซีประกาศกฎข้อบังคับดังกล่าว นักกีฬาจำนวนมากในหลายประเทศต่างคัดค้านไม่ยอมรับ ด้วยเหตุผลว่าคณะกรรมการฯ ละเมิดสิทธิมนุษยชนและการแสดงออกอย่างร้ายแรง
กฎนี้ถูกนำมาใช้อย่างจริงจังเป็นครั้งแรกในการแข่งขันโอลิมปิกประจำปี 2020 ณ กรุงโตเกียว เห็นได้จากการสั่งปลดธงชาติเกาหลีใต้ที่เขียนข้อความสุ่มเสี่ยง หรือการห้ามใช้ธงอาทิตย์อุทัยช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ของประเทศเจ้าภาพ
...
การแสดงออกในแง่เสรีภาพ ความเท่าเทียม และมุมมองทางการเมืองของเหล่านักกีฬา
ประเด็นเรื่องการเหยียดผิวถูกขับเคลื่อนมาโดยตลอด แม้จะไม่ร้อนแรงเท่าช่วงปี 2020 แต่ก็เกิดการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ในหลากหลายวงการ ยกตัวอย่างได้จากเรื่องราวของ โคลิน เคเปอร์นิก (Colin Kaepernick) นักกีฬาอเมริกันฟุตบอล ที่คุกเข่าในสนามแข่งระหว่างเคารพธงชาติเมื่อปี 2016 เพื่อเรียกร้องให้กับเหตุการณ์ที่ตำรวจวิสามัญ พอล โอนีล (Paul O’neal) เยาวชนผิวดำวัย 18 ปี
นอกจากนี้ การคุกเข่าขณะเพลงชาติดังในสนามกีฬากลายเป็นไวรัล เมื่อเพื่อนนักกีฬาร่วมอาชีพหลายคน ร่วมแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ด้วยการคุกเข่าก่อนเริ่มการแข่งขัน รวมถึง รีฮานน่า (Rihanna) ศิลปินชื่อดัง ปฏิเสธการแสดงช่วงพักครึ่งในการแข่งขันอเมริกันรอบชิงชนะเลิศ ‘ซุปเปอร์โบวล์’ ครั้งที่ 53 ทั้งที่เป็นการแข่งขันที่มีเรตติ้งมากที่สุดในอเมริกัน เพื่อสนับสนุนจุดยืนของ โคลิน เคเปอร์นิก
ตลอดปี 2020 ประชาชนหลายประเทศต่างร่วมเดินขบวนเรียกร้องสิทธิการเท่าเทียม รณรงค์เลิกเหยียดเชื้อชาติและสีผิว ภายใต้การเคลื่อนไหวที่เรียกว่า ‘Black Lives Matter’ หรือ ‘ชีวิตคนดำก็มีความหมาย’ ที่มีจุดเริ่มต้นจากการเสียชีวิตของ จอร์จ ฟลอยด์ (George Floyd) ชายผิวดำวัย 46 ปี ที่ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจใช้เข่ากดบริเวณลำคอจนเสียชีวิตเพราะขาดอากาศหายใจ ทำให้เกิดการเคลื่อนไหวหลายระลอกทั่วโลก ทั้งบนถนนและในโซเชียลผ่านแฮชแท็ก #BLM ซึ่งการคุกเข่าคือหนึ่งในสัญลักษณ์สำคัญของการเคลื่อนไหว
การคุกเข่าในสนามกีฬากลายเป็นการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ในระดับสากล นักฟุตบอลอาชีพคุกเข่าหลังทำประตูได้ นักอเมริกันฟุตบอลคุกเข่าระหว่างเพลงชาติดัง นักบาสเกตบอลชื่อดังออกมาให้สัมภาษณ์เพื่อเรียกร้องความเท่าเทียมและเสรีภาพด้านการแสดงออก
เดิมทีส่วนใหญ่มักทำความเข้าใจว่ากีฬาไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเมือง ทว่าเมื่อบริบทสังคมเริ่มแปรเปลี่ยนไปตามเวลา ประเด็นทางสังคม ความเท่าเทียม และการเมือง ได้ปรากฏไปทั่ววงการกีฬา แม้แรกเริ่มสมาคมกีฬาประเภทต่างๆ จะออกกฎชัดเจนว่าห้ามนักกีฬาแสดงจุดยืนของตัวเองก็ตาม แต่เมื่อต้านแรงกดดันจากสังคมไม่ไหว ภายหลังทั้งเนชันแนลฟุตบอลลีก (NFL) หรือสหพันธ์ฟุตบอลสหรัฐฯ (USSF) เห็นชอบเปลี่ยนกฎให้นักกีฬาสามารถคุกเข่าในสนามได้
นอกจากการคุกเข่าเรียกร้องความเท่าเทียม การแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ในประเด็นอื่นยังคงมีให้เห็นในแวดวงกีฬา เฮียน เทต อ่อง (Hein Htet Aung) นักกีฬาฟุตบอลเมียนมาวัย 19 ปี ชูสามนิ้วใส่กล้องที่ถ่ายทอดสดการแข่งขัน หลังจากยิงประตูให้สลังงอร์เอาชนะ พีดีอาร์เอ็ม เอฟซี ไป 3-0 ในศึกมาเลเซีย พรีเมียร์ลีก จนถูกสมาคมฟุตบอลมาเลเซียตัดสินใจลงโทษ เฮียน เทต อ่อง ด้วยการแบนไม่ให้ลงแข่งหนึ่งนัด
เช่นเดียวกับ จาย ชาน อ่อง (Pyae Shan Aung) ที่ชูสามนิ้วในการแข่งขันกับทีมนักเตะญี่ปุ่น และบนนิ้วของเขามีข้อความภาษาอังกฤษ “We Need Justice” ที่มีความหมายว่า “เราต้องการความยุติธรรม”
สัญลักษณ์สามนิ้วของ เฮียน เทต อ่อง กับ จาย ชาน อ่อง คือการไม่ยอมรับรัฐบาลรัฐประหารภายใต้การควบคุมของ พลเอกอาวุโส มิน อ่อง หลาย (Min Aung Hlaing) และเรียกร้องให้รัฐบาลรับผิดชอบต่อการสังหารพลเรือนจำนวนมากในการประท้วง คล้ายกับการชุมนุมในประเทศไทยที่ใช้การชูสามนิ้วเป็นสัญลักษณ์ของการประท้วง
ในประเทศไทยก็มีเหตุการณ์ทำนองเดียวกันให้เห็นพอสมควร อาทิ วันที่ 1 เมษายน 2018 ในการแข่งขันฟุตบอลรายการไทยลีก ระหว่างทีมเอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด พบ ทีมบางกอกกล๊าส เอฟซี นักเตะทั้งสองทีมต่างแข่งขันตามปกติ จนกระทั่งนาทีที่ 28 เอเบอร์ตี้ เฟอร์นานเดซ (Heberty Fernandes) กองหน้าชาวบราซิล นักเตะทีมเอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด ยิงจุดโทษขึ้นนำ 1-0 เขาแสดงท่าทางดีใจด้วยการสวมหน้ากากเสือดำจากภาพยนตร์ Black Panther และยกมือทั้งสองข้างไขว้ตรงกลางอก
...
การกระทำดังกล่าวอาจมองได้หลายมุม เขาอาจจะเป็นแฟนคลับภาพยนตร์และทำท่าทางที่ปรากฏอยู่ในหนัง แต่อีกแง่ Balck Panther คือชื่อของขบวนการปลดแอกเพื่อชาวอเมริกันแอฟริกันตั้งแต่ช่วงปี 1966 ถือเป็นสัญลักษณ์ทางเชื้อชาติและการเมือง ส่งผลให้วันที่ 3 เมษายน คณะกรรมการพิจารณาวินัยมารยาท สมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ มีมติให้ลงโทษตักเตือน เอเบอร์ตี้ เฟอร์นานเดซ เนื่องจากถือเป็นการกระทำที่ไม่เหมาะสมในการแข่งขันฟุตบอล
วงการฟุตบอลไทยได้ระบุถึงการห้ามแสดงออกทางการเมืองหรือเรื่องละเอียดอ่อนอีกครั้ง ในเดือนกรกฎาคม 2019 สมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทย ออกแถลงการณ์แจ้งสโมสรสมาชิก ห้ามแสดงสัญลักษณ์ที่ขัดต่อบังคับลักษณะปกครองสมาคม ภายใต้กฎข้อ 4 กำหนดเรื่องความเป็นกลางทางการเมืองและศาสนา
“กำหนดเรื่องความเป็นกลางทางการเมืองและศาสนา ทั้งไม่เลือกปฏิบัติกับประเทศใดประเทศหนึ่ง และไม่เลือกปฏิบัติในเรื่องส่วนบุคคลหรือกลุ่มบุคคลในด้านชาติกำเนิด เพศ ภาษา ศาสนา การเมือง หรือเหตุผลอื่นใด การดำเนินการใดๆ ที่ขัดต่อข้อบังคับดังกล่าวจะกระทำมิได้อย่างเด็ดขาด และจะมีโทษถึงการให้พักกิจกรรมหรือถอดถอนจากการเป็นสมาชิก
“ดังนั้น เพื่อป้องกันมิให้เกิดเหตุการณ์ข้างต้น สมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ ขอความร่วมมือมายังสมาชิกให้ตรวจสอบควบคุม กำกับดูแลมิให้มีการกระทำไม่ว่าจะโดยตรงหรือโดยทางอ้อม อันเป็นการกระทำของสโมสร ทีม เจ้าหน้าที่ทีม นักกีฬา หรือกองเชียร์”
“ทั้งนี้ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบเอกสาร ป้ายข้อความ แผนผังแบบ ภาพนิ่ง ภาพเคลื่อนไหว สัญลักษณ์ใดๆ อันเป็นการสื่อความหมายเช่นว่านั้นและโดยเฉพาะอย่างยิ่งการกระทำดังกล่าวอาจมีผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศขึ้นได้”
...
การแสดงจุดยืนทางความคิดและความเชื่อในเวทีโอลิมปิก
การแสดงจุดยืนและการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ เริ่มพบมากขึ้นในวงการกีฬา ดังเช่นในการแข่งขันโอลิมปิกเกมส์ 2016 ‘ริโอเกมส์’ นักกีฬายูโดชาวอียิปต์ อิสลาม เอล ชีฮาบี (Islam el-Shahabi) ปฏิเสธที่จะจับมือหลังจบการแข่งขัน กับ ออร์ แซสซัน (Or Sasson) นักกีฬาจากอิสราเอล ทำให้ไอโอซีออกแถลงการณ์แสดงความผิดหวังต่อการกระทำดังกล่าว และคณะกรรมการโอลิมปิกแห่งอียิปต์ ต้องเรียกตัวอิสลาม เอล ชีฮาบี กลับประเทศก่อนกำหนด
ณ การแข่งขันวิ่งมาราธอนชายของริโอเกมส์ เฟยิซา ลิเลซา (Feyisa Lilesa) นักกีฬาจากเอธิโอเปีย วิ่งถึงเส้นชัยเป็นอันดับสอง เขาไขว้มือทั้งสองข้างเป็นรูปกากบาทชูขึ้นเหนือศีรษะ เพื่อแสดงสัญลักษณ์สนับสนุนการประท้วงในบ้านเกิดตัวเองที่ยืดเยื้อมาตั้งแต่ปี 2015 และรัฐบาลของเขาได้สังหารผู้ประท้วงมากกว่า 400 ราย
หลังจากภาพของเขาถูกถ่ายทอดสดไปทั่วโลก ผู้สื่อข่าวสัมภาษณ์ เฟยิซา ลิเลซา ถึงความหมายของการแสดงท่ากากบาท นักกีฬาเหรียญเงินตอบอย่างตรงไปตรงมาว่า เป็นสัญลักษณ์ของชนเผ่าโอโรโม ไว้ใช้แสดงให้ฝ่ายตรงข้ามเห็นว่าพวกเขาไม่มีอาวุธ ทว่าพวกพ้องของเขาถูกเจ้าหน้าที่รัฐปราบปรามอย่างรุนแรงเป็นจำนวนมาก และเรื่องนี้ทำให้เฟยิซาตัดสินใจได้ว่าโลกจะต้องรับรู้ถึงความเลวร้ายที่เกิดขึ้น
ไอโอซีไม่ได้ดำเนินการลงโทษต่อ เฟยิซา ลิเลซา แต่การแสดงจุดยืนของเขาสร้างเสียงวิจารณ์ต่อรัฐบาลเอธิโอเปียอย่างหนัก ทำให้กีฬากลายเป็นเวทีแสดงจุดยืนทางอุดมการณ์ของผู้เข้าแข่งขัน เพื่อไม่ให้เหตุการณ์ทำนองนี้เกิดขึ้นอีกครั้งในโตเกียวโอลิมปิก ไอโอซีจึงประกาศห้ามนักกีฬากระทำการใดๆ ที่เข้าข่ายก่อให้เกิดความขัดแย้งทางอุดมการณ์การเมือง ศาสนา และเชื้อชาติ
...
ไอโอซี สั่งห้ามนักกีฬาแสดงออกทางการเมืองหรือประเด็นอื่นๆ ในโอลิมปิก
คริสตี โคเวนทรี (Kirsty Coverntry) หัวหน้าคณะกรรมการนักกีฬาโอลิมปิกสากล (ไอโอซี) ระบุว่า มีการปรึกษาเรื่องนี้ตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2020 ก่อนลงความเห็นว่าในการแข่งขันโตเกียวโอลิมปิก จะไม่อนุญาตให้คุกเข่าต่อต้านการเหยียดสีผิว ชูกำปั้นเหนือหัวขณะรับเหรียญ สวมเครื่องแต่งกาย ปลอกแขน ริบบิ้น หรือการกระทำเชิงสัญลักษณ์ใดๆ เพราะการเมือง ศาสนา หรือการแทรกแซงอื่น จะต้องแยกออกจากกีฬา
หากพบการกระทำดังกล่าวในงาน บุคคลนั้นจะถูกลงโทษฐานละเมิดกฎบัตรโอลิมปิกของไอโอซีข้อ 50 ว่าด้วยการห้ามสาธิต แสดง หรือโฆษณาชวนเชื่อทางการเมือง ศาสนา หรือเชื้อชาติ ในพื้นที่จัดการแข่งขันโอลิมปิก
ด้วยข้อบังคับดังกล่าว การประท้วง แสดงจุดยืน ประชาสัมพันธ์ โฆษณาชวนเชื่อ หรือการโปรโมตใดๆ กลายเป็นสิ่งที่ถูกห้ามตลอดการจัดการแข่งขัน ครอบคลุมไปยังการทำสัญลักษณ์มือ ท่าทางต่างๆ แผ่นป้าย โปสเตอร์ เพื่อป้องกันการโต้เถียงถึงภูมิหลัง เชื้อชาติ และวัฒนธรรมของผู้เข้าร่วม
โธมัส บาค (Thomas Bach) ประธานไอโอซี เตือนนักกีฬาที่เข้าแข่งขันโอลิมปิกเกมส์ 2020 ห้ามแสดงออกทางการเมืองขณะยืนอยู่บนโพเดียมเพื่อรอรับเหรียญรางวัล เนื่องจากพิธีมอบเหรียญถือเป็นการแสดงถึงความสำเร็จนับเป็นเกียรติยศของนักกีฬาที่ได้มาจากการพยายามจนชนะการแข่งขัน ไม่ใช่พื้นที่ที่เพื่อให้บุคคลใดแสดงออกทางการเมือง หรือทำให้โอลิมปิกเป็นพื้นที่แบ่งฝักแบ่งฝ่าย หากฝ่าฝืน นักกีฬาจะถูกพิจารณาลงโทษเป็นกรณีไป
ถึงกระนั้น นักกีฬาสามารถแสดงจุดยืนทางการเมืองของตนผ่านโซเชียลมีเดียส่วนตัว หรือการให้สัมภาษณ์ตามงานแถลงข่าวได้ตามปกติ
เซบาสเตียน โค (Sebastian Coe) ประธานสหพันธ์สมาคมกรีฑาโลก (ไอเอเอเอฟ) แสดงจุดยืนต่างจากไอโอซี โดยระบุว่า นักกีฬาควรมีสิทธิแสดงออกทางการเมือง
แม้จะมีการแจ้งข้อบังคับเรื่องการห้ามแสดงออกทางการเมืองหรือการกระทำใดๆ ที่เข้าข่ายโฆษณาชวนเชื่อไปตั้งแต่ปีที่แล้ว ทว่าประเด็นละเอียดอ่อนเหล่านี้ยังคงมีให้เห็นในโตเกียวโอลิมปิก หนึ่งในเหตุการณ์ที่สุ่มเสี่ยงให้เกิดความบานปลายเกิดขึ้นเมื่อ นักกีฬาทีมชาติเกาหลีใต้ ติดธงชาติของตนไว้ตรงระเบียงที่พัก
ธงชาติดังกล่าวไม่ได้มีแค่ธงเปล่าๆ แต่มีข้อความเขียนว่า “ฉันมีชาวเกาหลีอีก 50 ล้านคนหนุนหลัง” โดยประโยคนี้เป็นวลีของแม่ทัพเรือเกาหลี นายพล อี ซุนซิน นำกำลังพลบุกประเทศญี่ปุ่นช่วงศตวรรษที่ 16 ส่งผลให้ชาวญี่ปุ่นบางส่วนไม่พอใจกับข้อความนี้ และโต้ตอบด้วยการนำธงชาติอาทิตย์อุทัยสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 มาชูประท้วงบริเวณหมู่บ้านนักกีฬา เพื่อควบคุมเหตุการณ์ ไอโอซีจึงสั่งให้นักกีฬาเกาหลีใต้ปลดธงชาติลง และไม่อนุญาตให้นำธงอาทิตย์อุทัยเข้าพื้นที่โอลิมปิก
การแสดงสัญลักษณ์มือในโอลิมปิกถูกพูดถึงในสังคมไทยอีกครั้ง เมื่อ ฉัตร์ชัยเดชา บุตรดี หรือ ‘สด’ นักมวยสากลสมัครเล่นทีมชาติไทย ชกชนะนักกีฬาจากสหราชอาณาจักร เขาทำมือเป็นรูปดอกบัว เพื่อสื่อถึงโรงเรียนปทุมคงคา แต่มีคนจำนวนมากเกรงว่าการทำสัญลักษณ์มือของเขาจะขัดกับข้อบังคับของคณะกรรมการไอโอซี
ฉัตร์ชัยเดชา ระบุว่าไม่ได้ทำสัญลักษณ์ทางการเมือง แต่สื่อถึงโรงเรียนที่ตนเป็นศิษย์เก่าเท่านั้น และยังไม่ได้ถูกใครตำหนิ แต่เพื่อป้องกันปัญหาที่อาจตามมาภายหลัง เขาจะไม่แสดงสัญลักษณ์นี้อีกในการแข่งขันถัดๆ ไป
ที่ผ่านมาชาวไทยมักได้เห็นนักกีฬาหลายประเภท โดยเฉพาะวงการมวย ชูรูปบุคคลที่เคารพเมื่อชนะการแข่งขัน ทั้งการแข่งขันในระดับประเทศ หรือในการแข่งขันระดับโลกอย่างโอลิมปิก
หนังสือเรื่อง ‘รัฐราชาชาติ’ ของ ธงชัย วินิจจะกูล ได้ระบุถึงการแสดงออกเหล่านี้ว่าเป็นประเพณีที่เกิดขึ้นเมื่อ สมรักษ์ คำสิงห์ นักกีฬามวยชาวไทยคนแรกที่ได้รับเหรียญทองโอลิมปิกในปี 1996 และชูพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ว่า
“ประเพณีใหม่นี้เกิดขึ้นเมื่อ สมรักษ์ คำสิงห์ นักกีฬามวยไทยคนแรกที่ได้รับเหรียญทองโอลิมปิกเมื่อ พ.ศ. 2539 เล่าเรื่องบารมีของพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลฯ ที่มากับรูปภาพของพระองค์ที่ช่วยให้เขาได้รับเหรียญทอง ทันทีที่รู้ตัวว่าเป็นผู้ชนะในการแข่งขัน เขาก็ชูภาพของพระองค์ขึ้นเหนือศีรษะ”
“เมื่อเขากลับมาถึงประเทศไทยก็ได้เข้าเฝ้าฯ ถวายเหรียญทองให้พระองค์ นับแต่นั้นมานักกีฬาไทยที่ได้เหรียญโอลิมปิกแทบทุกคนจะชูรูปภาพของพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลฯ เมื่อชนะการแข่งขันและถวายเหรียญรางวัลของตนให้พระองค์เมื่อกลับถึงประเทศไทย แต่มีรายงานว่าพระองค์เก็บไว้เฉพาะเหรียญทองของสมรักษ์ ส่วนเหรียญอื่นๆ นั้นคืนให้เจ้าของ”
อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีความชัดเจนว่า การชูรูปพระมหากษัตริย์ในการแข่งกีฬาถือเป็นประเด็นการแสดงออกทางการเมืองหรือไม่ ความเห็นส่วนหนึ่งมองว่าไม่เป็น สามารถทำได้ เพราะสถานะของพระมหากษัตริย์ของไทยนั้นอยู่เหนือการเมือง แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าสถาบันฯ ถูกหยิบมาใช้เพื่อโจมตีกลุ่มความคิดทางการเมืองฝ่ายตรงข้ามอยู่บ่อยครั้ง จึงไม่แปลกถ้าจะถูกมองว่าเป็นสัญลักษณ์ทางการเมือง
ด้วยกฎข้อบังคับที่ชัดเจน และความพยายามทำให้การแข่งขันโอลิมปิกเป็นพื้นที่ปลอดการเมือง หรือการแบ่งฝักแบ่งฝ่ายทางความเชื่อและเชื้อชาติ ทั้งหมดอาจตอบปัญหาคาใจที่สังคมไทยเกิดการตั้งคำถามในช่วงหลายวันที่ผ่านมาได้ระดับหนึ่ง
อ้างอิง