"เจ้าหน้าที่ประจำทำเนียบขาวถูกตรวจพบว่าติดเชื้อโควิด-19 แม้จะได้รับการฉีดวัคซีนครบ 2 เข็ม อย่างไรก็ดี ผู้ติดเชื้อได้ถูกนำตัวออกนอกพื้นที่แล้ว สำหรับกรณีการติดเชื้อ แม้จะได้รับวัคซีนครบ 2 เข็มแล้ว (Breakthrough Cases) สามารถเกิดขึ้นได้ แต่วัคซีนยังคงมีประสิทธิภาพในการต้านทานอาการเจ็บป่วยร้ายแรงและการเสียชีวิตได้" เจน ซากี (Jen Psaki) โฆษกทำเนียบขาว แถลงกับสื่อมวลชนอย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 20 ก.ค. 64

"จากการประเมินเบื้องต้นของ CDC ตัวเลขการติดเชื้อโควิด-19 ในสหรัฐฯ ณ ปัจจุบัน (20 ก.ค. 64) เป็นการติดเชื้อสายพันธุ์เดลตาถึงประมาณ 83% ทั้งๆ ที่เมื่อวันที่ 3 ก.ค. สัดส่วนผู้ติดเชื้อเดลตาในสหรัฐฯ อยู่ที่ประมาณ 50% เท่านั้น ตัวเลขดังกล่าวถือเป็นสัดส่วนที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก และในบางพื้นที่ของประเทศที่ยังมีอัตราส่วนการฉีดวัคซีนต่อประชากรต่ำ จะยิ่งมีสัดส่วนที่สูงกว่านี้มาก

วัคซีนได้รับการพิสูจน์แล้วว่าใช้ได้ผลกับสายพันธุ์เดลตา ซึ่งสิ่งที่สามารถอธิบายเรื่องนี้ได้ก็คือ จำนวนผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 เกือบ 99% คือ ผู้ที่ไม่ได้รับการฉีดวัคซีน

อย่างไรก็ดี สิ่งที่น่ากังวล คือ อัตราการฉีดวัคซีนในสหรัฐฯ เริ่มหยุดชะงักลง จากทั้งความลังเลใจและการปฏิเสธที่จะเข้ารับการฉีดวัคซีน ซึ่งตัวเลขคนกลุ่มนี้มีจำนวนสูงถึง 1 ใน 3 ของจำนวนประชากร จนกระทั่งนำไปสู่การแพร่ระบาด

การเสียชีวิตแต่ละครั้งเป็นเรื่องที่น่าเศร้าสลด และมันยิ่งน่าเจ็บปวดมากขึ้นไปอีก เมื่อเราได้รับรู้ว่า การเสียชีวิตเหล่านี้ส่วนใหญ่สามารถป้องกันได้ด้วยการฉีดวัคซีน"

...

ดร.โรเชลล์ วาเลนสกี (Rochelle Walensky) ผู้อำนวยการศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคติดต่อแห่งชาติสหรัฐฯ หรือ CDC รายงานต่อคณะกรรมาธิการวุฒิสภาด้านสาธารณสุข การศึกษา และแรงงาน เมื่อวันที่ 20 ก.ค. 64

ทั้งหมดที่ "คุณ" เพิ่งผ่านสายตาไป "เกิดขึ้น" หลังจากตัวเลขผู้ติดเชื้อและเสียชีวิตรายวันในสหรัฐฯ ที่กระโดดเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา หลังการแพร่ระบาดของ "สายพันธุ์เดลตา"

22 ก.ค. 64 ติดเชื้อ 61,651 เสียชีวิต 365 ศพ
21 ก.ค. 64 ติดเชื้อ 56,525 เสียชีวิต 416 ศพ
20 ก.ค. 64 ติดเชื้อ 46,833 เสียชีวิต 271 ศพ
19 ก.ค. 64 ติดเชื้อ 34,582 เสียชีวิต 135 ศพ
18 ก.ค. 64 ติดเชื้อ 33,787 เสียชีวิต 110 ศพ
17 ก.ค. 64 ติดเชื้อ 41,003 เสียชีวิต 188 ศพ
16 ก.ค. 64 ติดเชื้อ 42,659 เสียชีวิต 298 ศพ

ซึ่งจำนวนที่ว่านี้เพิ่มขึ้นถึง 66% จากสัปดาห์ที่แล้ว และสูงถึง 145% เมื่อเปรียบเทียบกับสัปดาห์ก่อนหน้านั้น!

อะไรคือ ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ยอดผู้ติดเชื้อในสหรัฐฯ กลับมาพุ่งสูงขึ้นอีกครั้ง?

"แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียกำลังฆ่าประชาชน (Killing People) ด้วยข้อมูลผิดๆ เกี่ยวกับการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 จนกระทั่งทำให้ชาวอเมริกันบางส่วนไม่ยอมฉีดวัคซีน"

ประธานาธิบดี โจ ไบเดน หลุดคำพูดนี้กับบรรดาผู้สื่อข่าว ขณะกำลังเดินออกจากทำเนียบขาว เพื่อไปยังแคมป์เดวิด เมื่อวันที่ 17 ก.ค. 64

อย่างไรก็ดี ในอีกเพียง 3 วันต่อมา ผู้นำสหรัฐฯ กลับถอนท่าทีแข็งกร้าวที่แสดงออกต่อแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียดังที่หลุดพูดออกไปก่อนหน้า ด้วยการหันไปกล่าวตำหนิบรรดาผู้อยู่เบื้องหลังการปล่อย Fake News วัคซีนแทน...

"แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียไม่ได้ฆ่าคน แต่...คน 12 คนที่กำลังให้ข้อมูลเท็จ และใครก็ตามที่ฟังมันจะได้รับความเจ็บปวดจากข้อมูลเท็จที่กำลังเข่นฆ่าประชาชน ใช่! มันคือ ข้อมูลเท็จ"

*หมายเหตุ: จำนวนคน 12 คนที่ปล่อยข้อมูลเท็จในโซเชียลมีเดีย ซึ่งประธานาธิบดี โจ ไบเดน กล่าวถึง เป็นการอ้างอิงมาจาก ข้อมูลของ ศูนย์ต่อต้านการสร้างความเกลียดชังในโลกดิจิตอล (Center for Countering Digital Hate)

...

ที่เผยแพร่ผลการวิเคราะห์โพสต์จำนวนมากกว่า 812,000 โพสต์ ที่แสดงออกถึงการต่อต้านวัคซีน (Anti-Vaccine Content) ซึ่งแชร์บนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย (Facebook และ Twitter) ในสหรัฐฯ ระหว่างวันที่ 1 ก.พ. - 16 มี.ค.ที่ผ่านมา พบว่า...

จากจำนวนโพสต์ 812,000 โพสต์นี้ มีจำนวนมากถึง 65% ที่มาจากผู้ปล่อยข้อมูลเท็จ (Disinformation) เพียง 12 คนเท่านั้น! และหนำซ้ำ ฐานข้อมูลที่คนทั้ง 12 คน นำมาใช้อ้างอิงในการแชร์ข้อมูลต่อต้านวัคซีนยังเลื่อนลอยและไม่เปิดเผยที่มาที่ไปของข้อมูลอีกด้วย

แต่ผลลัพธ์ของ Fake News วัคซีนที่ว่านี้ กลับทำให้พลเมืองสหรัฐฯ จำนวนมากไม่ยอมไปเข้ารับการฉีดวัคซีน โดยหากอ้างอิงฐานข้อมูลงานวิจัยในโครงการ Vaccine Confidence Project พบว่า มีชาวสหรัฐฯ ที่ยินดีเข้ารับการฉีดวัคซีนลดลงถึง 8.8%

จำนวนวัคซีนและอัตราการฉีดวัคซีนของสหรัฐฯ?

จากข้อมูลของ Boston Consulting Group หรือ BCG บริษัทที่ปรึกษาด้านการลงทุนระดับโลก ได้ประเมินปริมาณการผลิตวัคซีนต้านโควิด-19 จากเฉพาะชาติตะวันตก ที่คาดว่าน่าจะสามารถผลิตได้ภายในปี 2564 อยู่ที่ประมาณ 4,400 ล้านโดส

...

และในจำนวน 4,400 ล้านโดสที่ผลิตได้จะถูกนำไปจัดสรรตามคำสั่งซื้อตามข้อตกลง Operation Warp Speed ของสหรัฐฯ จำนวน 800 ล้านโดส

800 ล้านโดส กับจำนวนประชากร 330 ล้านคน เรียกว่า สหรัฐฯ "มีปริมาณวัคซีนล้นเหลือ" สำหรับการฉีดวัคซีนให้กับชาวอเมริกันทุกคนจนครบ 2 โดส รวมถึงเผื่อแผ่ให้กับบรรดานักท่องเที่ยวที่เดินทางไปยังสหรัฐฯ ณ เวลานี้ และยังเหลือพอสามารถนำไปบริจาคให้กับประเทศพันธมิตรทั้งหลายได้อย่างสบายๆ

ในขณะที่ อัตราการฉีดวัคซีนให้กับพลเมืองล่าสุด (สิ้นสุดวันที่ 21 ก.ค. 64)

พลเมืองสหรัฐฯ ได้รับวัคซีนอย่างน้อย 1 เข็ม แล้ว 55.86% จากจำนวนประชากรประมาณ 330 ล้านคน และในจำนวนนี้ได้รับวัคซีนครบสูตร (2 เข็ม สำหรับไฟเซอร์และโมเดอร์นา และ 1 เข็ม สำหรับจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน) คิดเป็นสัดส่วนมากถึง 48.41% จากจำนวนประชากรประมาณ 330 ล้านคน

*หมายเหตุ: ปัจจุบัน สหรัฐฯ อนุมัติให้ใช้วัคซีนในกรณีฉุกเฉินรวม 3 ชนิด ประกอบด้วย วัคซีนไฟเซอร์ วัคซีนโมเดอร์นา และวัคซีนจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน สิ้นสุดวันที่ 21 ก.ค. 64

แล้วอะไรคือ...ปัญหาการฉีดวัคซีนในสหรัฐฯ?

...

ในช่วงต้นเดือน เม.ย.ที่ผ่านมา ทางการสหรัฐฯ เปิดเผยว่า มีผู้เข้ารับการฉีดวัคซีนรายวันสูงถึง 4 ล้านโดส หากแต่เมื่อตัดภาพมาในเดือน ก.ค. อัตราการฉีดวัคซีนรายวัน "กลับลดลงอย่างมีนัยสำคัญ" โดยล่าสุด ลดลงเหลือเพียงวันละ 450,000 โดสเท่านั้น!

หากแต่สิ่งที่น่าวิตกกังวลนอกเหนือไปจาก "อัตราการฉีดวัคซีนที่ลดลง" อย่างน่าใจหายแล้วก็คือ จากผลสำรวจล่าสุดของสำนักงานสำรวจสำมะโนประชากรของสหรัฐฯ (The U.S. Census Bureau) ระหว่างช่วงปลายเดือน มิ.ย. จนถึงต้นเดือน ก.ค. พบว่า ในกลุ่มอายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไป มากกว่า 10% ให้คำตอบว่า "อาจจะ" หรือ "จะไม่เข้ารับการฉีดวัคซีนโควิด-19 แน่นอน" ในขณะที่อีกมากกว่า 5% ให้คำตอบว่า "ยังไม่แน่ใจ" ว่าจะเข้ารับการฉีดวัคซีนโควิด-19 หรือไม่?

ด้วยเหตุนี้ นพ.แอนโทนี เฟาซี (Anthony Fauci) ผอ.สถาบันโรคติดต่อและภูมิแพ้แห่งชาติสหรัฐฯ และหัวหน้าที่ปรึกษาด้านการแพทย์ประจำทำเนียบขาว จึงได้เรียกขานสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 ในประเทศสหรัฐอเมริกา ณ เวลานี้ว่า

"อเมริกากำลังแบ่งแยกออกเป็น 2 ฝ่าย (Two Americas)"

นั่นคือ ด้านหนึ่งเป็นกลุ่มประชากรที่ได้รับการฉีดวัคซีน ในขณะที่อีกด้านหนึ่ง คือ กลุ่มประชากรที่ไม่ยอมฉีดวัคซีน โดยการแบ่งแยกออกเป็น 2 ฝ่ายนี้ เป็นการ "แบ่งแยก" ที่เต็มไปด้วย "อุดมการณ์ทางการเมืองและวิทยาภูมิคุ้มกัน" (Ideology and Immunology)

โดยฝ่ายสีน้ำเงินในสหรัฐฯ (เดโมแครต) คือ ฝ่ายที่มีอัตราการฉีดวัคซีนในหมู่ประชากรสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่ฝ่ายสีแดง (รีพับลิกัน) กำลังสะบักสะบอมจากปัญหาการแพร่ระบาดโรคโควิด-19

ซึ่งหลักฐานที่สามารถชี้ชัดในเรื่องนี้ได้ คือ อัตราการฉีดวัคซีนอย่างน้อย 1 เข็ม ให้กับประชากรใน 17 รัฐ มีตัวเลขสูงถึง 60% ในขณะที่อีก 16 รัฐ ใกล้เข้าแตะระดับ 50% ของจำนวนประชากร ซึ่งรวมทั้ง 33 รัฐนี้ มีจำนวนถึง 32 รัฐ ที่โหวตสนับสนุนประธานาธิบดี โจ ไบเดน ในการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา...

นอกจากนี้ จากข้อมูลของ Kaiser Family Foundation หรือ KFF ซึ่งเป็นองค์การที่เก็บรวบรวมข้อมูลเรื่องสุขภาพของชาวอเมริกัน ซึ่งได้มีการติดตามสำรวจทัศนคติและพฤติกรรมการฉีดวัคซีนมาตั้งแต่เดือน ธ.ค. 63 พบว่า มากกว่าครึ่งหนึ่งของผู้สนับสนุนพรรคเดโมแครตวางแผนเอาไว้ว่า จะเข้ารับการฉีดวัคซีนให้เร็วที่สุด และเมื่อถึงเดือน มิ.ย. ตัวเลขที่ว่านี้ยังพุ่งสูงถึง 88% อีกด้วย ในขณะที่ฝ่ายสนับสนุนพรรครีพับลิกัน กลับเริ่มต้นที่ 28% ก่อนที่จะไปเพิ่มขึ้นในช่วงเดือน มิ.ย. ที่ 54%...

นอกจากนี้ หากใครยังไม่ทราบ ทัศนคติตั้งต้นของผู้สนับสนุนพรรคเดโมแครตและ พรรครีพับลิกันที่มีต่อภัยคุกคามของการแพร่ระบาดโรคโควิด-19 ยังแตกต่างกันมากอีกด้วย โดยจากผลการสำรวจของ Pew Research Center ระหว่างช่วงเดือน มี.ค. - พ.ค. 63 พบว่า ฝ่ายเดโมแครตมองว่า โควิด-19 เป็นภัยคุกคามสำคัญต่อสุขภาพของชาวอเมริกันถึง 82% ในขณะที่ ฝ่ายรีพับลิกันอยู่ที่เพียง 43% เท่านั้น

ผลลัพธ์อะไรที่จะเกิดขึ้น หากยังคงมีชาวอเมริกันส่วนมากไม่ยอมไปฉีดวัคซีน?

ตัวอย่างที่เห็นได้อย่างเด่นชัด คือ รัฐมิสซูรี ซึ่งบางพื้น เช่น แมคโดนัลด์เคาน์ตี ที่มีผู้ได้รับการฉีดวัคซีนเพียง 14.7% ของจำนวนประชากร มีจำนวนผู้ติดเชื้อรายวันเพิ่มสูงขึ้น หลังการปรากฏตัวของ "สายพันธุ์เดลตา" และตั้งแต่เดือน ก.ค.ที่ผ่านมา มีจำนวนผู้ติดเชื้อรายวันสูงถึง 2,000-3,000 คนต่อวัน จนกระทั่งระบบสาธารณสุขเริ่มจะรองรับไม่ไหวแล้ว

ในขณะที่ รัฐแมสซาชูเซตส์ที่มีอัตราการฉีดวัคซีนครบกระบวนการให้กับประชากรครอบคลุมถึง 63% พบผู้ติดเชื้อรายวันเพียง 200-300 คน ในขณะที่ตัวเลขผู้ติดเชื้อมีอาการที่ต้องเข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาล ลดลงถึง 95% ตั้งแต่เดือน ม.ค. 64

ฉะนั้น คำตอบของคำถามนี้ คือ จะยังคงมีการแพร่ระบาดโควิด-19 ในพื้นที่ที่มีอัตราการฉีดวัคซีนในระดับต่ำต่อไป และถึงแม้ว่าในเวลาต่อมาคนจำนวนนี้จะยอมไปฉีดวัคซีนในที่สุด แต่ก็จะต้องใช้เวลาถึงประมาณ 1 เดือนเป็นอย่างน้อยสำหรับการสร้างภูมิคุ้มกันให้แข็งแกร่งขึ้น

นอกจากนี้ การปล่อยให้ยังคงมีการแพร่ระบาดในหมู่คนที่ไม่ได้ฉีดวัคซีน จะทำให้กลุ่มที่ได้รับการฉีดวัคซีน เกิดการติดเชื้อซ้ำขึ้นได้ แม้จะอยู่ในระดับต่ำก็ตาม เพราะจากข้อมูลที่มีในปัจจุบัน ยังคงไม่มีวัคซีนชนิดใดที่สามารถป้องกันโควิด-19 ได้ 100% รวมถึงพบว่า ยังคงมีผู้ติดเชื้อซ้ำได้ แม้จะฉีดวัคซีนครบสูตรแล้วก็ตาม

ฉะนั้น ประเด็นสำคัญที่ "เรา" ควรต้องตระหนักในสิ่งที่องค์การอนามัยโลก หรือ WHO เน้นย้ำอยู่เสมอๆ คือ วัคซีนทุกชนิดถูกออกแบบมาเพื่อให้มีประสิทธิภาพลดอาการเจ็บป่วยหนัก การเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล และลดการเสียชีวิตเป็นสำคัญ

โดยเฉพาะ...ในเมื่อจนถึงตอนนี้ยังไม่มีใครที่จะสามารถบอกได้ว่า ชาวโลกจะสามารถ "หลุดพ้น" ห้วงเวลาแห่งความโศกสลดจากความสูญเสียนี้อีกนานแค่ไหน?.

ข่าวน่าสนใจ: