ท่ามกลางจำนวนผู้ติดเชื้อและเสียชีวิตรายวันที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในระดับที่มากถึง 40,000-50,000 ต่อวัน แต่ "สหราชอาณาจักร" ยังคงเดินหน้าประกาศอิสรภาพจากการแพร่ระบาดโรคโควิด-19 หรือที่ถูกเรียกขานว่า "Freedom Day" ต่อไป

*หมายเหตุ: จำนวนผู้ติดเชื้อรายวันในสหราชอาณาจักร 5 วันหลังสุดก่อนถึง Freedom Day ในวันที่ 19 ก.ค. 64
18 ก.ค. 64 ติดเชื้อ 48,161 เสียชีวิต 25 ศพ
17 ก.ค. 64 ติดเชื้อ 54,486 เสียชีวิต 41 ศพ
16 ก.ค. 64 ติดเชื้อ 51,448 เสียชีวิต 49 ศพ
15 ก.ค. 64 ติดเชื้อ 47,932 เสียชีวิต 63 ศพ
14 ก.ค. 64 ติดเชื้อ 41,647 เสียชีวิต 49 ศพ

อะไรคือ Freedom Day ของสหราชอาณาจักร?

หลักการใหญ่ๆ เลยก็คือ... "ยกเลิก" มาตรการควบคุมการเว้นระยะห่างทางสังคม เช่น ยกเลิกการสวมหน้ากากอนามัยในสถานที่สาธารณะ ยกเว้นสถานประกอบการขนส่ง, ร้านค้า และงานอีเวนต์บางส่วน

"ยกเลิก" คำแนะนำมาตรการเว้นระยะห่าง 1 เมตร ตามสถานที่ต่างๆ ยกเว้นในโรงพยาบาลด่านตรวจคนเข้าเมือง

"ยกเลิก" การจำกัดจำนวนผู้เข้าชมงานต่างๆ เช่น งานแต่งงาน, งานศพ, คอนเสิร์ต, โรงละคร, การแข่งขันกีฬา รวมถึง...ผับ, บาร์, ไนต์คลับ, ร้านอาหาร, สถานบันเทิง สามารถกลับมาเปิดให้บริการได้อีกครั้ง

นายกรัฐมนตรี บอริส จอห์นสัน แห่งอังกฤษ
นายกรัฐมนตรี บอริส จอห์นสัน แห่งอังกฤษ

...

อะไรคือ สิ่งที่ทำให้สหราชอาณาจักรเกิดความมั่นใจจนนำไปสู่ Freedom Day?

ปัจจุบัน สหราชอาณาจักรมีพลเมืองที่ได้รับวัคซีนอย่างน้อย 1 เข็ม คิดเป็นสัดส่วน 68.10% จากจำนวนประชากร 67 ล้านคน

โดยแยกเป็นสัดส่วนแต่ละประเทศดังต่อไปนี้

"เวลส์" ได้รับวัคซีนเข็มแรกคิดเป็นสัดส่วน 90% ของจำนวนประชากร เข็มที่สองอยู่ที่สัดส่วน 74% ของจำนวนประชากร

"ไอร์แลนด์เหนือ" ได้รับวัคซีนเข็มแรกคิดเป็นสัดส่วน 82% ของจำนวนประชากร เข็มที่สองอยู่ที่สัดส่วน 66% ของจำนวนประชากร

"สกอตแลนด์" ได้รับวัคซีนเข็มแรก คิดเป็นสัดส่วน 89% ของจำนวนประชากร เข็มที่สอง อยู่ที่สัดส่วน 66% ของจำนวนประชากร

"อังกฤษ" ได้รับวัคซีนเข็มแรกคิดเป็นสัดส่วน 87% ของจำนวนประชากร เข็มที่สองอยู่ที่สัดส่วน 67% ของจำนวนประชากร

การดำเนินการแผนการฉีดวัคซีนของสหราชอาณาจักรก่อนถึงวัน Freedom Day?

นายซาจิด จาวิด รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขของอังกฤษ ยืนยันว่า การดำเนินการฉีดวัคซีนให้กับพลเมืองตามเฟสที่ 1 ซึ่งเริ่มต้นมาตั้งแต่กลางเดือนเมษายน โดยมีเป้าหมายสำคัญอยู่ที่ฉีดให้กับผู้มีอายุเกิน 50 ปีขึ้นไป เจ้าหน้าที่สาธารณสุขแนวหน้าและบุคคลกลุ่มเสี่ยงให้ได้ครอบคลุมมากที่สุดยังคงเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้

แล้วอะไร คือ การดำเนินการที่เป็นไปตามเป้าหมายที่วางเอาไว้?

จำนวนประชากรสหราชอาณาจักรประมาณ 46 ล้านคน จาก 67 ล้านคน ได้รับวัคซีนเข็มแรกแล้ว โดยในจำนวนนี้เกือบ 90% เป็นกลุ่มวัยผู้ใหญ่ (Adult) และมากกว่า 35 ล้านคน หรือเกือบ 2 ใน 3 ของกลุ่มนี้ได้รับวัคซีนครบ 2 เข็มแล้ว

ส่วนแผนการฉีดวัคซีนเฟสที่ 2 ซึ่งจะเป็นการฉีดวัคซีนเข็มแรกให้ครอบคลุมผู้มีอายุตั้งแต่ 40-49 ปี, 30-39 ปี และ 18-29 ปี จะเริ่มต้นอย่างจริงในช่วงกลางเดือนกรกฎาคมเป็นต้นไป

ปัจจุบัน สหราชอาณาจักรอนุมัติให้ใช้วัคซีนในกรณีฉุกเฉินแล้ว รวม 4 ชนิด ประกอบด้วย

วัคซีนแอสตราเซเนกา, วัคซีนไฟเซอร์, วัคซีนโมเดอร์นา และวัคซีนจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน โดยมีปริมาณการสั่งซื้อ (เฉพาะ 4 ชนิดนี้) รวม 237 ล้านโดส โดยแยกเป็น...
- แอสตราเซเนกา 100 ล้านโดส 
- ไฟเซอร์ 100 ล้านโดส 
- โมเดอร์นา 17 ล้านโดส 
- จอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน 20 ล้านโดส

...

ส่วนคำสั่งซื้อที่เหลืออีก 270 ล้านโดส ประกอบด้วย...
- วัคซีนซาโนฟี/จีเอสเค 60 ล้านโดส 
- วัคซีนวัลนีวา 100 ล้านโดส 
- วัคซีนโนวาแวกซ์ 60 ล้านโดส 
- วัคซีนเคียวร์วัค 50 ล้านโดส

เรียกว่าในมุมนี้ ทุกอย่างกำลังเป็นไปตามแผนการฉีดวัคซีนให้กับพลเมือง รวมถึงแทบไม่ต้องกังวลเรื่องปริมาณวัคซีนสำหรับการดำเนินการตามเฟสที่ 2 ในกรณีที่การส่งมอบวัคซีนเป็นไปตามเป้าหมาย (500 ล้านโดสต่อจำนวนประชากร 67 ล้านคน)

หากแต่ในอีกด้านหนึ่งจากมุมมองด้านสาธารณสุข กลับมองว่า การตัดสินใจครั้งนี้ของรัฐบาลอังกฤษ เข้าข่าย "การทดลองที่เสี่ยงอันตรายอย่างยิ่ง!" (Dangerous Experiment) แล้วเหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น?

การประกาศอิสรภาพจากโควิด-19 ของนายกรัฐมนตรี "บอริส จอห์นสัน" ในวันที่ 19 ก.ค.นี้ แม้จะล่าช้าจากกำหนดเดิมที่ตั้งเอาไว้ในเดือนมิถุนายนเกือบ 1 เดือน หลังการปรากฏตัวของ "สายพันธุ์เดลตา" จนกระทั่งทำให้มีผู้ติดเชื้อรายวันกระโดดสูงขึ้นอย่างน่าตกตะลึงบนดินแดนสหราชอาณาจักร

...

แต่แม้จะต้องพบกับ "ปัญหาขลุกขลักบ้าง" รัฐบาลอังกฤษ ก็ยืนยันว่า การผ่อนคลายมาตรการควบคุมต่างๆ ในวัน Freedom Day นี้ เป็นการตัดสินใจ โดยยึด "ฐานข้อมูลเป็นสำคัญ ไม่ใช่วันที่ รัฐบาลเป็นผู้กำหนด" (Data not Dates) ซึ่งฐานข้อมูลสำคัญที่นำไปสู่การผ่อนปรนมาตรการต่างๆ นี้ ก็คือ อัตราการการติดเชื้อที่เป็นเหตุให้มีจำนวนผู้ต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลเพิ่มมากขึ้น หรือพบการกลายพันธุ์ของไวรัสเป็นสำคัญ

อีกทั้งประเด็นสำคัญที่รัฐบาลอังกฤษหยิบยกขึ้นมานอกเหนือไปจากการผ่อนคลายมาตรการควบคุมต่างๆ จะช่วยแก้ไขปัญหาเรื่องปากท้อง และทำให้ระบบเศรษฐกิจสามารถกลับมาขับเคลื่อนได้อีกครั้งแล้ว ก็คือ แม้จำนวนผู้ติดเชื้อรายวันอาจจะกลับมาแตะอันดับสูงสุดใกล้เคียงกับเมื่อช่วงปลายเดือน ม.ค. - ต้นเดือน ก.พ. ที่ผ่านมา แต่จำนวนผู้เสียชีวิตหรือผู้ที่ต้องเข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาลรายวันนั้น "ต่ำกว่า" ช่วงเวลาดังกล่าวถึง 10 เท่า อันเป็นผลมาจากได้ฉีดวัคซีนครอบคลุมจำนวนประชากรส่วนใหญ่ของประเทศแล้ว

...

ความทดลองที่สุ่มเสี่ยงคืออะไร?

อย่างไรก็ดี ในความเห็นของนักวิทยาศาสตร์และผู้เชี่ยวชาญด้านสาธารณสุขส่วนหนึ่งมองว่า แม้ตัวเลขการรับการรักษาตัวในโรงพยาบาลและอัตราการเสียชีวิตจากโควิด-19 จะลดลงจริง แต่การพบจำนวนผู้ติดเชื้อรายวันในระดับ 40,000-50,000 คน ถือเป็นปัจจัยที่น่าเป็นกังวลเป็นอย่างยิ่ง อีกทั้งเมื่อนำข้อมูลดังกล่าวไปทำ "แบบจำลองสถานการณ์" พบว่า....ด้วยตัวเลขการติดเชื้อในระดับดังกล่าว จะทำให้ตัวเลขผู้ที่ต้องเข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาล "มีแนวโน้มสูงขึ้น" ด้วย ถึงแม้ว่า...ตัวเลขการคาดการณ์จากแบบจำลองดังกล่าว "จะยังมีความไม่แน่นอนสูง" ก็ตาม

ซ้ำร้ายไปกว่านั้น ตัวเลขผู้ติดเชื้อรายวันที่สูงในระดับนี้ ยังอาจทำให้ "เกิดความสุ่มเสี่ยง" ที่จะทำให้ "เกิดการกลายพันธุ์ใหม่" ของไวรัสได้รวดเร็วและง่ายขึ้นกว่าเดิม โดยเฉพาะเมื่อฤดูหนาวคืบคลานมาถึงในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า

นอกจากนี้ กลุ่มนักวิทยาศาสตร์และผู้เชี่ยวชาญด้านสาธารณสุขของอังกฤษยังกังวลเลยเถิดไปถึงขนาดที่ว่า การเร่งร้อนผ่อนคลายมาตรการควบคุมต่างๆ ในช่วงนี้ อาจจะเป็นเพราะรัฐบาลอังกฤษต้องการบรรลุเป้าหมาย "การสร้างภูมิคุ้มกันหมู่" (Herd Immunity) ด้วยวิธีผสมผสานระหว่างการฉีดวัคซีน และการติดเชื้อตามธรรมชาติด้วยซ้ำไป!

อะไรคือ การสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ด้วยวิธีผสมผสานระหว่างการฉีดวัคซีนและการติดเชื้อตามธรรมชาติ?

จากข้อมูลเดิมเท่าที่มีอยู่ในปัจจุบัน กลุ่มคนหนุ่มสาวและเด็ก (Young People and Children) ถือเป็นกลุ่มมีความเสี่ยงต่อการเกิดอาการเจ็บป่วยร้ายแรงหรือเสียชีวิตในระดับต่ำกว่าผู้สูงอายุหรือมีโรคประจำตัวในกรณีที่มีการติดเชื้อโควิด-19 มาก อีกทั้งเมื่อหายจากการติดเชื้อ "ร่างกายจะสามารถสร้างภูมิคุ้มกัน" เพื่อป้องกันการติดเชื้อได้ในระดับหนึ่ง

ซึ่งข้อกังวลนี้เอง "หากเป็นความจริง" นักวิทยาศาสตร์และผู้เชี่ยวชาญด้านสาธารณสุขส่วนใหญ่ มองว่า รัฐบาลอังกฤษกำลังเสี่ยงเกินไป เพราะไม่ว่าอย่างไร การฉีดวัคซีนย่อมมีความปลอดภัยมากกว่าการติดเชื้อโควิด-19 แน่นอน

ด้วยเหตุนี้ ไมค์ ไรอัน (Mike Ryan) กรรมการบริหารโครงการภาวะฉุกเฉินด้านสุขภาพขององค์การอนามัยโลก จึงได้ให้ทัศนะต่อการ "เร่งร้อน" กลับมาเปิดประเทศเพื่อเดินเครื่องระบบเศรษฐกิจ ไม่ต่างอะไรกับ "ความไร้ซึ่งศีลธรรมและความขลาดเขลาในแง่ของระบาดวิทยา".


ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ รายงาน
กราฟิก: Varanya Phae-araya

ข่าวน่าสนใจ: