สหราชอาณาจักร (อังกฤษ, เวลส์, สกอตแลนด์ และไอร์แลนด์เหนือ) กลายเป็นอีกหนึ่งดินแดนบนโลกใบนี้ที่สามารถลดการแพร่ระบาดโรคโควิด-19 ได้อย่างมีนัยสำคัญ
อะไรคือ การลดการแพร่ระบาดได้อย่างมีนัยสำคัญ?
จากตัวเลขผู้ติดเชื้อรายวันสูงสุดของปีนี้ เมื่อวันที่ 8 มกราคม 2021 ที่สูงถึง 67,846 คน ในขณะที่ ตัวเลขผู้เสียชีวิตรายวันสูงสุดของปีนี้ ที่เคยสูงถึง 1,823 ศพ เมื่อวันที่ 20 มกราคม 2021
หากแต่สถานการณ์ล่าสุด (1 มิถุนายน 2021) สหราชอาณาจักรมีผู้ติดเชื้อ 3,165 คน และตัวเลขผู้เสียชีวิตรายวันเท่ากับ 0
*หมายเหตุ : อ้างอิงข้อมูลจากรายงานของรัฐบาลสหราชอาณาจักร (The official UK government)
ขณะที่ สำนักงานสถิติแห่งชาติของอังกฤษ (Office for National Statistics) หรือ ONS รายงานอัตราส่วนการติดเชื้อโควิด-19 ในรอบสัปดาห์ของสหราชอาณาจักร สิ้นสุดวันที่ 22 พ.ค.2021 ว่า อังกฤษมีผู้ติดเชื้อในสัดส่วนเมื่อเทียบกับจำนวนประชากรเพียง 0.09% หรือเท่ากับทุกๆ 1,120 คน จะมีผู้ติดเชื้อเพียง 1 คน (จำนวนประชากร 55 ล้านคน)
...
เวลส์มีผู้ติดเชื้อในสัดส่วนเมื่อเทียบกับจำนวนประชากรเพียง 0.03% หรือเท่ากับทุกๆ 3,850 คน จะมีผู้ติดเชื้อเพียง 1 คน (จำนวนประชากร 3.1 ล้านคน)
ไอร์แลนด์เหนือมีผู้ติดเชื้อในสัดส่วนเมื่อเทียบกับจำนวนประชากรเพียง 0.12% หรือเท่ากับทุกๆ 820 คน จะมีผู้ติดเชื้อเพียง 1 คน (จำนวนประชากร 1.8 ล้านคน)
สกอตแลนด์มีผู้ติดเชื้อในสัดส่วนเมื่อเทียบกับจำนวนประชากรเพียง 0.16% หรือเท่ากับทุกๆ 630 คน จะมีผู้ติดเชื้อเพียง 1 คน (จำนวนประชากร 5.4 ล้านคน)
ขณะที่ อัตราผู้ติดเชื้อโควิด-19 ที่ต้องเข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาลของอังกฤษในรอบ 3 สัปดาห์ (สิ้นสุดวันที่ 23 พ.ค.21) ยังคงต่ำกว่า อัตราส่วน 1 คนต่อจำนวนประชากร 100,000 อีกด้วย
อะไรคือ สิ่งที่ทำให้สหราชอาณาจักรมีจำนวนผู้ติดเชื้อและผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 ลดลงได้มากถึงขนาดนี้? ทั้งๆ ที่ปัจจุบันในพื้นที่มีการแพร่ระบาดของไวรัสหลากหลายสายพันธุ์
การระดมปูพรมฉีดวัคซีนอย่างเป็นระบบและทั่วถึง?
ข้อมูลอย่างเป็นทางการจากรายงานของรัฐบาลสหราชอาณาจักร (The official UK government) เปิดเผยถึงความคืบหน้าการฉีดวัคซีนให้กับพลเมือง สิ้นสุดวันที่ 31 พ.ค. 2021 เอาไว้ว่า....
ผู้ที่ได้รับการฉีดวัคซีนเข็มแรกมีจำนวนรวมแล้วทั้งสิ้น 39,477,158 คน! ขณะที่ จำนวนรวมของผู้ที่ได้รับการฉีดวัคซีนเข็มที่ 2 มีจำนวนรวมกันแล้วทั้งสิ้นถึง 25,734,719 คน!
โดยตัวเลขนี้ หากนำมาคิดเป็นสัดส่วนของประชากรจะเท่ากับว่า ล่าสุด มีชาวสหราชอาณาจักรฉีดวัคซีนเข็มแรกเป็นจำนวนถึง 74.9% ของจำนวนประชากร ในขณะที่ ผู้ที่ได้รับวัคซีนเข็มที่ 2 คิดเป็นจำนวนถึง 48.9% ของจำนวนประชากรเข้าให้แล้ว!
(หมายเหตุ : ข้อมูลล่าสุด ณ วันที่ 2 มิ.ย. 64 สหราชอาณาจักรมีตัวเลขผู้เข้ารับการฉีดวัคซีนเข็มแรกอยู่ที่ 39,758,428 คน หรือ 75.5% ของจำนวนประชากร ขณะที่ ตัวเลขผู้เข้ารับการฉีดเข็มที่ 2 อยู่ที่ 26,422,303 คน หรือ 50.2% ของจำนวนประชากรแล้ว!)
สหราชอาณาจักรมีไวรัสกี่สายพันธุ์แพร่ระบาด?
1. สายพันธุ์ B.1.1.7 หรืออัลฟ่า (สหราชอาณาจักร)
2. สายพันธุ์ B.1.351 หรือเบต้า (แอฟริกาใต้)
3. สายพันธุ์ P1 หรือแกมมา (บราซิล)
4. สายพันธุ์ B.1.617.2 หรือเดลตา (อินเดีย)
*หมายเหตุ : แมท แฮนค็อก (Matt Hancock) รัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุขของอังกฤษ เปิดเผยว่า ตัวเลขผู้ติดเชื้อรายวันรวมในสหราชอาณาจักรที่กลับมาพุ่งขึ้นสูงถึง 6,959 คน ในวันที่ 27 พ.ค. หรือเพิ่มขึ้นถึง 38.5% จากสัปดาห์ก่อนหน้า ในจำนวนนี้มีจำนวนมากถึง 3 ใน 4 ติดเชื้อสายพันธุ์ B.1.617.2 (อินเดีย)
...
ปัจจุบัน สหราชอาณาจักรสั่งซื้อฉีดวัคซีนชนิดใดบ้าง? จำนวนรวมเท่าไร? และจะถูกนำมาใช้คิดเป็นสัดส่วนเท่าไร?
สหราชอาณาจักรสั่งซื้อวัคซีนเป็นจำนวนรวม 407 ล้านโดส โดยมีรายละเอียดดังนี้
1. แอสตราเซเนกา (AstraZeneca) สั่งซื้อ 100 ล้านโดส (คิดเป็นสัดส่วน 24.5% ของคำสั่งซื้อ) สถานะปัจจุบัน ผ่านการอนุมัติและใช้งานแล้ว (Approved and in use)
2. ไฟเซอร์ (Pfizer) สั่งซื้อ 40 ล้านโดส (คิดเป็นสัดส่วน 9.8% ของคำสั่งซื้อ) สถานะปัจจุบัน ผ่านการอนุมัติและใช้งานแล้ว (Approved and in use)
3. จอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน (J&J) สั่งซื้อ 30 ล้านโดส (คิดเป็นสัดส่วน 7.3% ของคำสั่งซื้อ) สถานะปัจจุบัน เสร็จสิ้นการทดลองทางคลินิกระยะที่ 3 แล้ว
4. โนวาแวกซ์ (Novavax) สั่งซื้อ 60 ล้านโดส (คิดเป็นสัดส่วน 14.7% ของคำสั่งซื้อ) สถานะปัจจุบัน เสร็จสิ้นการทดลองทางคลินิกระยะที่ 3 แล้ว
5. โมเดอร์นา (Moderna) สั่งซื้อ 17 ล้านโดส (คิดเป็นสัดส่วน 4% ของคำสั่งซื้อ) สถานะปัจจุบัน ผ่านการอนุมัติและใช้งานแล้ว (Approved and in use) รอการส่งมอบ
6. ซาโนฟี/จีเอสเค (Sanofi/GSK) สั่งซื้อ 60 ล้านโดส (คิดเป็นสัดส่วน 14.7% ของคำสั่งซื้อ) สถานะปัจจุบัน การทดลองทางคลินิกระยะที่ 2 เพิ่งเริ่มเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา
7. วัลนีวา (Valneva) สั่งซื้อ 100 ล้านโดส (คิดเป็นสัดส่วน 24.5% ของคำสั่งซื้อ) สถานะปัจจุบัน กำลังเริ่มต้นการทดลองทางคลินิกระยะที่ 1 และ ระยะที่ 2
(หมายเหตุ : ข้อมูลสิ้นสุดวันที่ 28 พฤษภาคม 2021)
...
ราคาวัคซีนต้านโควิด-19 ในสหราชอาณาจักร?
สหราชอาณาจักรยังไม่มีการเปิดเผยรายละเอียดเรื่องสัญญาการซื้อวัคซีนแต่ละชนิดต่อสาธารณชน อันเป็นผลมาจาก "ความอ่อนไหวทางการค้า" (Commercial Sensitivities) และการทำสัญญาซื้อขาย โดยเฉพาะเรื่อง "ราคา" ที่แต่ละประเทศจะได้รับการเสนอขายในราคาที่ "ไม่เท่ากัน"
อย่างไรก็ดี รายงานจาก The Telegraph สื่อชื่อดังของอังกฤษ คาดการณ์ว่า "ราคา" ที่สหราชอาณาจักรจ่ายให้กับวัคซีนแต่ละชนิด มีราคาดังต่อไปนี้
1. วัคซีนแอสตราเซเนกา ราคา 1.61 ปอนด์ต่อโดส (71 บาท)
2. วัคซีนจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน ราคา 6.30 ปอนด์ต่อโดส (278 บาท)
3. วัคซีนซาโนฟี/จีเอสเค ราคา 6.63 ปอนด์ต่อโดส (293 บาท)
4. วัคซีนไฟเซอร์ ราคา 10.53 ปอนด์ต่อโดส (465 บาท)
5. วัคซีนโมเดอร์นา ราคา 12.96 ปอนด์ต่อโดส (573 บาท)
ประสิทธิภาพของวัคซีนหลังถูกนำใช้ในสหราชอาณาจักร?
...
จากการเก็บข้อมูลสถิติโดยสาธารณสุขอังกฤษ (Public Health England) ในช่วงเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา พบว่า... วัคซีนของไฟเซอร์และโมเดอร์นาหลังฉีดครบ 2 เข็ม สามารถช่วยต้านทานโรคโควิด-19 ได้ประมาณ 90%
ส่วนวัคซีนของแอสตราเซเนกา เมื่อฉีดแข็มแรกจะสามารถช่วยต้านทานโรคโควิด-19 ได้ประมาณ 76% และหากฉีดเข็มที่ 2 ในอีก 12 สัปดาห์ต่อมา จะสามารถช่วยต้านทานโรคโควิด-19 ได้ประมาณ 82%
ประสิทธิภาพของวัคซีนสำหรับกลุ่มผู้สูงอายุภายในสหราชอาณาจักร?
ปัญหาสำหรับการทดลองทางคลินิกในกลุ่มผู้สูงอายุ โดยเฉพาะกลุ่มที่มีอายุเกินกว่า 65 ปีขึ้นไป ซึ่งมักจะเกิดจาก "จำนวนผู้เข้าร่วมการทดสอบน้อยเกินไป" กระทั่งทำให้มีข้อมูลสำหรับการนำมาประกอบการวิเคราะห์ไม่เพียงพอ จนทำให้วัคซีนบางชนิดมีคำแนะนำในหลายประเทศที่ระบุว่า "ไม่ควรฉีดให้กับผู้ที่มีอายุเกิน 65 ปีขึ้นไป"
แต่การระดมฉีดวัคซีนอย่างกว้างขวางในสหราชอาณาจักรทำให้ได้รับข้อมูลจากผลการศึกษาเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมาว่า
"การฉีดวัคซีนของแอสตราเซเนกาและวัคซีนของไฟเซอร์เพียงเข็มเดียว สามารถช่วยต้านทานโรคในระดับร้ายแรง และป้องกันการเข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาล สำหรับกลุ่มเปราะบาง (ผู้สูงอายุตั้งแต่ 70 ปีขึ้นไป) ได้สูงถึงประมาณ 80%"
ภูมิคุ้มกันจะอยู่ได้นานแค่ไหนหลังการฉีดวัคซีน?
สิ่งที่ "คุณ" ควรทำความเข้าใจในประเด็นนี้เป็นลำดับแรก คือ จนถึงปัจจุบันยังไม่มีข้อมูลหรือผลการศึกษาใดที่มากพอจะสามารถยืนยันได้ว่า ระบบภูมิคุ้มกันที่เกิดขึ้นหลังจากฉีดวัคซีนไม่ว่าจะชนิดใดก็ตามจะอยู่กับ "เรา" ไปได้ยาวนานแค่ไหน?
แต่เบื้องต้น ผลการศึกษาจากการฉีดวัคซีนให้กับกลุ่มเจ้าหน้าที่ด้านสาธารณสุขของสหราชอาณาจักรร่วม 20,000 คน ซึ่งถือเป็นหนึ่งในกลุ่มเสี่ยง เนื่องจากต้องใกล้ชิดกับผู้ป่วยและผู้ติดเชื้อจำนวนมาก เมื่อช่วงเดือนมกราคม พบว่า การตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกันจากการติดเชื้อในอดีต "ช่วยลดความเสี่ยงจากการติดเชื้อซ้ำ" ได้สูงถึงประมาณ 83% ภายในระยะเวลาอย่างน้อย 5 เดือน
อย่างไรก็ดี โดยปกติ "ระบบภูมิคุ้มกันของมนุษย์" ต่อไวรัสโคโรนา (Coronaviruses) อื่นๆ เช่น โรคไข้หวัด จะลดลงเมื่อเวลาผ่านไป จึงทำให้อาจต้องมีการฉีดวัคซีนเพิ่มเติม และเนื่องจากบรรดาผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่เชื่อมั่นว่า ไวรัสชนิดนี้จะไม่หายไป อีกทั้งปัญหาเรื่องการกลายพันธุ์ยังถือเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญอย่างยิ่งสำหรับการพิจารณาในประเด็นนี้อีกด้วย
วัคซีนสามารถต่อสู้กับไวรัสกลายพันธุ์ในสหราชอาณาจักรได้มากน้อยเพียงใด?
สำหรับประเด็นนี้ ก่อนจะกวาดสายตาลงไปอ่านในบรรทัดถัดไป องค์การอนามัยโลกหรือ WHO ได้เน้นย้ำสิ่งสำคัญที่ "คุณ" ต้องจดจำให้ขึ้นใจเอาไว้ก่อน คือ...
"วัคซีนทุกชนิดที่ใช้อยู่ในขณะนี้ สามารถช่วยลดการติดเชื้อที่จะทำให้เกิดอาการเจ็บป่วยรุนแรง รวมถึงการเสียชีวิตได้ และข้อมูลเรื่องประสิทธิภาพของวัคซีน จะแปรเปลี่ยนไปตามบททดสอบ สภาพแวดล้อม และตัวแปรที่แตกต่างกัน"
เมื่อ "คุณ" ทำความเข้าใจในสิ่งที่ WHO เน้นย้ำแล้ว เราไปกันต่อนะ!
ทางการอังกฤษเปิดเผยข้อมูลในประเด็นนี้เอาไว้ ณ วันที่ 27 พ.ค. ที่ผ่านมาว่า...
วัคซีนของไฟเซอร์เมื่อฉีดครบ 2 เข็ม สามารถช่วยให้ต้านทานสายพันธุ์อินเดียได้ประมาณ 80-90%
ในขณะที่ วัคซีนแอสตราเซเนกา แม้จะให้ผลต่อการต้านทานได้น้อยกว่าวัคซีนไฟเซอร์ แต่ประสิทธิภาพของวัคซีนจะเพิ่มมากขึ้นหลังได้มีการฉีดเข็มที่ 2
โดยผู้เชี่ยวชาญด้านสาธารณสุขของอังกฤษวิเคราะห์ประเด็นนี้ไว้อย่างน่าสนใจว่า แม้ว่าในบางกรณีประสิทธิภาพของวัคซีนอาจเพิ่มขึ้นหรือลดลงกับ "ไวรัสบางสายพันธุ์" แต่โดยรวมแล้ววัคซีนเท่าที่มีอยู่ในปัจจุบันก็ยังคงใช้ได้ผลในการต้านทานโรคโควิด-19 ได้อยู่ดี เพราะไม่ว่าอย่างไรมันก็ยังให้ผลในแง่ของการป้องกันได้ ซึ่งย่อมดีดีกว่าการที่มนุษย์จะไม่มีอะไรปกป้องตัวเองเลย!
การใช้งานวัคซีนแต่ละชนิดในสหราชอาณาจักรยากหรือง่าย แตกต่างกันอย่างไร?
ปัจจุบัน วัคซีนไฟเซอร์เปลี่ยนข้อกำหนดการเก็บรักษาและการขนส่งที่อุณหภูมิ -60 ถึง -80 องศาเซลเซียส (ซึ่งต้องใช้อุปกรณ์ทำความเย็นพิเศษและมีราคาสูงเพื่อให้อุณหภูมิที่ต่ำได้ขนาดนั้น) ภายในระยะเวลานาน 6 เดือน มาเป็นสามารถเก็บรักษาและขนส่งที่อุณหภูมิ -15 ถึง -25 องศาเซลเซียส หรืออุณหภูมิในช่องแช่แข็งตู้เย็น แต่จะเหลือระยะเวลาในการขนส่งและเก็บรักษา 2 สัปดาห์แล้ว
ส่วนวัคซีนแอสตราเซเนกาสามารถขนส่งและเก็บรักษาได้ที่อุณหภูมิ 2-8 องศาเซลเซียส หรือ อุณหภูมิช่องปกติของตู้เย็น ได้นาน 6 เดือน
สำหรับสาเหตุที่สหราชอาณาจักรสั่งซื้อวัคซีนจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน เข้ามาเพิ่มเติมอีกกว่า 20 ล้านโดสนั้น เบื้องต้น ทางหน่วยงานด้านสาธารณสุขให้เหตุผลว่า ต้องการใช้ "จุดเด่น" ของวัคซีนจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน ที่ฉีดเพียงเข็มเดียว และสามารถขนส่งและเก็บรักษาได้ที่อุณหภูมิ 2-8 องศาเซลเซียส หรืออุณหภูมิช่องปกติของตู้เย็นได้นาน 3 เดือน สำหรับภารกิจออกฉีดวัคซีนให้กับ "กลุ่มเป้า" ที่อยู่ในพื้นที่ห่างไกล รวมถึงกลุ่มคนที่อาจไม่เต็มใจมาเข้ารับการฉีดวัคซีนเข็มที่ 2
รวมถึงจะเป็นอีกหนึ่งวัคซีนสำคัญที่จะถูกระดมมาใช้สำหรับ "แผนการกระตุ้นการฉีดวัคซีนครั้งใหญ่" ของสหราชอาณาจักรในช่วงปลายปีนี้อีกด้วย
อาการผลข้างเคียงหลังการฉีดวัคซีน?
การระดมฉีดวัคซีนอย่างขนานใหญ่ในสหราชอาณาจักรพบอาการข้างเคียงทันหลังการฉีดวัคซีน เช่น ปวดบวมแดงบริเวณที่ฉีด, อาการปวดศีรษะ, ปวดกล้ามเนื้อ, เหนื่อยล้า หรือแม้กระทั่งมีไข้
สำหรับวัคซีนแอสตราเซเนกา ซึ่งพบภาวะผิดปกติร้ายแรงในระบบไหลเวียนเลือด จนกระทั่งทำให้เกิดภาวะลิ่มเลือดอุดตัน ซึ่งเป็นรูปแบบอาการที่พบได้ยาก จนทำให้มีหลายประเทศในยุโรประงับการใช้ชั่วคราว หรือแนะนำให้ใช้ได้เฉพาะบางช่วงวัยนั้น สำหรับสหราชอาณาจักรพิจารณาแล้วแนะนำให้ผู้ที่มีอายุต่ำกว่า 40 ปี ฉีดวัคซีนทางเลือกอื่นหากเป็นไปได้
อย่างไรก็ดี สำนักงานควบคุมยาและผลิตภัณฑ์สุขภาพแห่งสหราชอาณาจักร (Medicines and Healthcare products Regulatory Agency) หรือ MHRA และสำนักงานยาแห่งสหภาพยุโรป (European Medicines Agency) หรือ EMA ซึ่งเป็นหน่วยงานที่กำกับดูแลผลิตภัณฑ์ยาของสหราชอาณาจักรและยุโรป ยืนยันว่า "วัคซีนแอสตราเซเนกามีความปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ" และประโยชน์ของวัคซีนมีมากกว่าความเสี่ยงจากการติดเชื้อโควิด-19
แต่ทั้ง MHRA และ EMA แนะนำให้มีการปรับฉลากวัคซีนที่มีข้อความระบุเรื่อง "ผลข้างเคียงที่พบได้ยาก" เอาไว้
ขณะเดียวกัน MHRA ยังระบุเพิ่มเติมด้วยว่า หากผู้ที่ได้รับการฉีดวัคซีนเกิดอาการปวดศีรษะเป็นเวลานานเกินกว่า 4 วัน หลังการฉีดวัคซีนหรือพบรอยฟกช้ำนอกเหนือจากบริเวณที่ฉีดวัคซีน หลังผ่านการฉีดวัคซีนไปประมาณ 2-3 วัน ให้รีบไปพบแพทย์โดยทันที
ซึ่งกรณีภาวะผิดปกติร้ายแรงในระบบไหลเวียนเลือด จนกระทั่งทำให้เกิดภาวะลิ่มเลือดอุดตัน ซึ่งเป็นรูปแบบอาการที่พบได้ยาก ถูกพบในกลุ่มผู้ที่เข้ารับการฉีดวัคซีนจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน ในประเทศสหรัฐอเมริกา จนต้องมีประกาศให้หยุดการใช้ชั่วคราวมาแล้วเช่นกัน (ปัจจุบันได้รับอนุญาตให้กลับมาฉีดให้กับพลเมืองสหรัฐฯ ได้อีกครั้งแล้ว) แต่ก็เหมือนกับกรณีของแอสตราเซเนกา MHRA ยืนยันว่า ประโยชน์ของวัคซีนยังคงมีมากกว่าความเสี่ยงจากผลข้างเคียงที่พบได้ยากมากๆ
บุคคลทั่วไปหรือภาคเอกชนสามารถซื้อวัคซีนต้านโควิด-19 โดยตรงได้หรือไม่?
ปัจจุบัน การเสนอฉีดวัคซีนต้านโควิด-19 ภายในสหราชอาณาจักรต้องผ่านระบบบริการสุขภาพของอังกฤษ (National Health Services) หรือ NHS เท่านั้น และผู้ที่จะได้รับการเสนอให้ฉีดวัคซีน คือ ผู้ที่มีอายุเกินกว่า 30 ปีขึ้นไป หรือผู้กลุ่มบุคคลที่อยู่ในความเสี่ยงสูง
นอกจากนี้ ผู้แทนของบริษัทไฟเซอร์ (Pfizer) ยังยืนยันด้วยว่า...
"ยังไม่มีแผนที่จัดหาวัคซีนให้กับภาคเอกชนโดยตรง และการฉีดวัคซีนของไฟเซอร์ที่ผ่านระบบของภาคเอกชนยังไม่น่าจะเกิดขึ้นได้ในช่วงแรกของการระดมฉีดวัคซีนไปทั่วทั้งโลก เช่นที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน"
กราฟิก: เทพอมร แสงธรรมาพิทักษ์
ข่าวน่าสนใจ:
- ข้อความรู้ก่อนฉีดวัคซีน BIBP ของ "ซิโนฟาร์ม" ประสิทธิภาพ-อัตราไม่พึงประสงค์
- เมื่อ "รายได้" บริษัทวัคซีนโควิด สวนทางคำมั่น "ไม่หวังผลกำไร"
- เดิมพันสิทธิบัตรวัคซีนโควิด เสียงร้องขอที่อุตสาหกรรมยา (แกล้ง) ไม่ได้ยิน
- อกหักทั้งญี่ปุ่น เมื่อหนุ่มกลางๆ "เกนซัง" พิชิตใจแฟนสาวแห่งชาติ "งักกี้"
- สิ้นหวัง มืดมน 32 ปี Berserk กับ 5 ตอนจบทิพย์ แฟนการ์ตูนสายดาร์ก