นับวันๆ "คริปโตเคอร์เรนซี" (Cryptocurrency) ก็ยิ่งเย้ายวน ดึงดูดบรรดานักลงทุนกระเป๋าหนักกระโจนเข้าตลาด ตั้งแต่ "เศรษฐี" ยัน "คนดัง" กระตุ้นให้ "มือสมัครเล่น" อยากลองมาร่วมวงกับเขาบ้าง ซึ่งนั่นย่อมเกิดคำถามตามมาว่า "ควรเสี่ยงไหม?"

ซึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่า "ตลาดคริปโตเคอร์เรนซี" ที่ได้รับความนิยมอย่างล้นหลามอยู่ในขณะนี้ ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจาก "โฆษณาชวนเชื่อ" ของบรรดาเศรษฐีและคนดังระดับโลกทั้งหลาย ที่ปลุกเร้าอารมณ์ให้ "นักลงทุน" อยากควักเงินก้อนโตทุ่มลงไปในนี้ เพื่อหวังจะได้ "ผลตอบแทน" อย่างที่ท่านๆ เขาอวยไว้

ท่านๆ ที่ว่านั้นมีใครกันบ้าง?

แน่นอนว่า คนแรกที่พวกคุณนึกถึงคงหนีไม่พ้น มหาเศรษฐีพันล้านนามว่า "อีลอน มัสก์" (Elon Musk) ที่นับจากประกาศว่า "เทสลา" (Tesla) จะทุ่มซื้อ "บิตคอยน์" (Bitcoin) มูลค่ากว่า 1,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (4.5 หมื่นล้านบาท) ก็แผลงฤทธิ์ป่วนตลาดไม่หยุด...เพียงแค่การ "ทวีต" ข้อความสั้นๆ เท่านั้น

ส่วนรายอื่นๆ ก็อย่างเช่น แร็ปเปอร์ชื่อดัง "สนูป ด็อกก์" (Snoop Dogg) ที่ก็กระโจนเข้าร่วมวง "โดชคอยน์" (Dogecoin) กับเขาด้วย หรืออย่างผู้จัดการร้านอาหารชื่อดัง "กาย เฟียรี" (Guy Fieri) ที่ได้แรงบันดาลใจในการลงตลาดคริปโตเคอร์เรนซี เพียงเพราะได้เห็น "มีม" (Meme) ดีดเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว 10,000% ในปีนี้ (2564)

นี่เป็นเพียงบางส่วน... ใน "ตลาดคริปโตเคอร์เรนซี" ยามนี้ที่คลาคล่ำไปด้วย "เหรียญดิจิทัล" มากกว่า 9,000 สกุล

...

ว่ากันว่า "ในยุคโควิด-19 นี้ 'คริปโตเคอร์เรนซี' เป็นการลงทุนที่อิสระที่สุด และยังมีโอกาสที่ 'พวกคุณ' จะสามารถออก 'เหรียญ' ของตัวเองได้"

จาก "โฆษณาชวนเชื่อ" นี้ พวกคุณควรกระโจนเข้าสู่ "ตลาดคริปโต" เพื่อเผชิญกับความบ้าคลั่งหรือไม่?

ข้อมูลการสำรวจของสหรัฐอเมริกาเห็นได้ว่า ผู้ถือครองคริปโตเคอร์เรนซีส่วนใหญ่เป็นผู้ชาย อายุ 25-44 ปี และล้วนตัดสินใจกระโจนเข้ามาด้วยตัวเอง

รายละเอียดเบื้องต้นของ "คริปโตเคอร์เรนซี" เชื่อว่า พวกคุณที่สนใจย่อมรู้กันอยู่แล้วว่าคืออะไร จึงขอข้ามไปที่ "ราคา" แน่นอนว่า สำหรับคนที่เฉียดไปเฉียดมาอยู่หน้าปากทางเข้าตลาดย่อมสงสัยอยู่ลึกๆ ง่ายๆ คือ ราคาของคริปโตเคอร์เรนซีอยู่บนพื้นฐานของความต้องการซื้อ และความต้องการขาย นั่นหมายความว่า อัตราการแลกเปลี่ยนคริปโตเคอร์เรนซีกับสกุลเงินอื่นๆ สามารถแปรผันได้ค่อนข้างกว้าง

สำหรับ "ตลาดคริปโตเคอร์เรนซี" ความนิยมสูงสุดคงหนีไม่พ้นเจ้ากระทิง "บิตคอยน์" (Bitcoin) ที่มีการเปรียบเป็น "หลุมหลบภัย" (Safe Haven) ของการลงทุนเช่นเดียวกับ "ทองคำ" ด้วยอ้างว่า "บิตคอยน์" เป็นเครื่องป้องกันที่ดีจาก "เงินเฟ้อ"

การมาของ "บิตคอยน์" กระตุ้นให้ "โทเคนดิจิทัล" อื่นๆ ดีดตัวขึ้นตามไปด้วย เช่น "อีเธอเรียม" (Ethereum) คริปโตเคอร์เรนซีที่มีขนาดใหญ่ที่สุดอันดับ 2 ของโลก มูลค่าตลาดมากกว่า 4 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ (12.6 ล้านล้านบาท) (*อัตราแลกเปลี่ยน 18 พ.ค. 64 : 31.44 บาท) และปีนี้ (2564) ราคาเพิ่มขึ้นแล้วกว่า 400%

หรืออย่าง "มีมคอยน์" (Memecoin) ที่ช่วงนี้น่าจะคุ้นหูกันดีกับชื่อ "โดชคอยน์" (Dogecoin) เหรียญที่สร้างขึ้นมาแบบขำๆ เมื่อปี 2556 ด้วยแรงบันดาลใจจากมีมยอดนิยม "โดช" ภาพสุนัขชิบะอินุหันมองด้านข้างยักคิ้วให้กล้อง ก็พบว่า ราคาเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เป็นผลให้มูลค่าตลาดพุ่งเป็น 6.2 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ (1.95 ล้านล้านบาท) นั่นหมายความว่า มูลค่าของ "โดชคอยน์" สูงว่า "ฟอร์ด" (Ford) และ "ทวิตเตอร์" (Twitter) เสียอีก

มาถึงคำถามที่ว่า "คริปโตเคอร์เรนซี" คือ การลงทุนที่ใช่สำหรับพวกคุณหรือไม่?

...

ก็ต้องขอย้ำว่า "มือสมัครเล่น" หรือนักลงทุนที่เข้าสู่ตลาดคริปโตเคอร์เรนซี "ครั้งแรก" ควรก้าวเดินด้วยความระมัดระวัง เพราะเส้นทางนี้ยังมี "ความไม่แน่นอน" สูง และมีการผันผวนรุนแรง

"ความเสี่ยงของ 'คริปโตเคอร์เรนซี' ยังมีสูงมาก การแปรผันของราคาอย่างกับโรลเลอร์โคสเตอร์ ใครที่วางเงินไว้กับ 'บิตคอยน์' ช่วงปีที่ผ่านมาอาจได้ผลตอบแทนมหาศาล แต่หลังจากนั้นก็อาจลดลงอย่างคาดไม่ถึงได้เช่นกัน"

ปี 2556 "บิตคอยน์" เริ่มต้นเทรดอยู่ที่ 13 ดอลลาร์สหรัฐ (409 บาท) ก่อนจะเพิ่มขึ้นแบบฮวบฮาบในเดือนธันวาคม อยู่ที่มากกว่า 1,000 ดอลลาร์สหรัฐ (31,455 บาท) และปลายปี 2560 ก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเกือบ 20,000 ดอลลาร์สหรัฐ (629,100 บาท) ก่อนจะพังทลายในปีถัดมา อยู่ที่เกือบ 3,000 ดอลลาร์สหรัฐ (94,353 บาท) และดีดขึ้นไปอีกครั้ง 64,000 ดอลลาร์สหรัฐ (2 ล้านบาท) เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา (2564)

นี่แหละ! ที่เรียกว่า "โรลเลอร์โคสเตอร์" ฉะนั้น คนที่ชอบความเสี่ยงและหวังเก็งกำไรก็ลองมาเผชิญความท้าทายได้ แต่สำหรับ "มือสมัครเล่น" งบน้อยและอยากเก็บหอมรอมริบเรื่อยๆ "คริปโตเคอร์เรนซี" อาจไม่ใช่สำหรับคุณ

อย่างไรก็ตาม ยังมีคำแนะนำจาก "ที่ปรึกษาการลงทุน" ว่า หาก "พวกคุณ" เป็น "มือสมัครเล่น" ที่เพิ่งจะเริ่มต้น ก็ขอให้ใจเย็นอย่าเพิ่งลงทุนแบบปุ๊บปั๊บ ลองเข้าไปศึกษาตาม "กรุ๊ปคริปโต" อื่นๆ ที่เรียงรายอยู่เต็มโซเชียลมีเดียดูก่อน เพื่อที่จะได้เข้าใจตลาดและเรียนรู้จากประสบการณ์ของคนอื่นๆ ซึ่งสิ่งสำคัญ คือ อย่าพยายาม "ขาย" ตอนที่กำลังเสีย และอย่ากระโจนเข้าไปตอนที่ "จรวดกำลังบิน"

...

ทำไม "คริปโตเคอร์เรนซี" ถึงราคาเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว?

ความนิยมของ "คริปโตเคอร์เรนซี" มีหลายปัจจัยเป็นตัวขับเคลื่อน อย่างกรณีของ "มีมคอยน์" เช่น "โดชคอยน์" ก็บูมมากๆ ในช่วงการแพร่ระบาดโควิด-19 นี้ ด้วยการที่คนจำนวนมากทำงานออนไลน์ ประกอบกับแรงกระตุ้นของ "หุ้นมีม" เช่น เกมสต็อป (GameStop) ก็ดึงความสนใจได้มาก แต่แรงขับเคลื่อนที่สปีดแรงที่สุดคงจะเป็น "ทวีต" ของนักป่วนแห่งปี "อีลอน มัสก์" ที่ดัน "โดชคอยน์" ทะยานสูงขึ้นไปอย่างบ้าคลั่ง ถึงแม้ต่อมา เขาจะออกมาทวีตเตือนว่า "คริปโตเคอร์เรนซีมีอนาคต แต่โปรดลงทุนอย่างระมัดระวัง" ก็ไม่อาจปรามความคลุ้มคลั่งสงบลงได้

อะไรคือ ความเสี่ยง?

มาถึงตรงนี้ เห็นชัดแล้วว่า "คริปโตเคอร์เรนซี" มีความเสี่ยงมากมาย และการรอคอย "รางวัล" ก็นานเกินไป พวกคุณจึงต้องมี "เงินสำรอง" เผื่อเอาไว้ด้วย และที่สำคัญ คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์แห่งสหรัฐอเมริกา (SEC) ก็ได้ออกมาย้ำกับ "นักลงทุนมือใหม่" ว่า ต้องระมัดระวัง "สแกมเมอร์"

...

พวกคุณจะป้องกันตัวเองจาก "ความเสี่ยง" นี้ได้อย่างไร?

หาก "บิตคอยน์" ยังมีราคาเพิ่มขึ้นสูงอย่างรุนแรงอย่างนี้ต่อไป นักวิเคราะห์ก็กังวลว่า "ฟองสบู่" ของตลาดคริปโตเคอร์เรนซีอาจมีความเป็นไปได้

ดังนั้น ที่ปรึกษาทางการเงินจึงแนะนำไว้ว่า

     1. นักลงทุนที่ระมัดระวังมากๆ ควรจัดสรรเงินลงทุนในพอร์ตคริปโต 2-5% แล้วค่อยแบ่งสัดส่วนเงินก้อนนั้น 80% กับ 20% ไปสู่เหรียญดิจิทัลที่สนใจ

     2. นักลงทุนที่มีความมั่นใจมากๆ ควรเพิ่มเงินลงทุนเป็น 10% แล้วจัดสรรตามความพึงพอใจของเหรียญดิจิทัลต่อไป อย่างไรก็ตาม นักลงทุนรุ่นเยาว์บางคนที่อาจจะมีความมั่นใจมากๆ ก็อาจจัดสรรสูงกว่านี้เล็กน้อย หากยอมรับกับความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นในอนาคตได้

ทั้งนี้ Fundstrat คาดการณ์ว่า "บิตคอยน์" และ "อีเธอร์" ราคาจะแตะถึง 100,000 ดอลลาร์สหรัฐ (3.1 ล้านบาท) และ 10,500 ดอลลาร์สหรัฐ (3.3 แสนบาท) ตามลำดับ ภายในปีนี้ (2564)

สุดท้ายย้ำว่า "ความไม่แน่นอน" มีอยู่ใน "ตลาดคริปโตเคอร์เรนซี" เสมอ อย่าหย่อนเงินมากเกินกว่าเงินที่เสียไป...โปรดระมัดระวัง!.

ข่าวน่าสนใจ: