จากตอนที่แล้ว "เรา" ชวน "คุณ" คุยกันในประเด็นการยื้อแย่ง "จอกศักดิ์สิทธิ์แห่งยุคโรคระบาด" (เดิมพันสิทธิบัตรวัคซีนโควิด เสียงร้องขอที่อุตสาหกรรมยา (แกล้ง) ไม่ได้ยิน) ว่ามันเพราะเหตุใด บรรดาผู้คนในอุตสาหกรรมยาและเภสัชภัณฑ์จึงต่างพร้อมใจกัน "คัดค้าน" ข้อเรียกร้องให้สละสิทธิ์ในสิทธิบัตรวัคซีนโควิด-19 ชั่วคราวไปแล้ว
ในวันนี้ "เรา" มาต่อกันประเด็นที่ว่า เม็ดเงินจำนวนมหาศาลที่อุตสาหกรรมยาและเภสัชภัณฑ์สู้อุตส่าห์ลงทุนลงแรงกันไปนั้น หากสามารถทำให้ประสบความสำเร็จจะได้รับผลตอบแทนมากมายขนาดไหน กันดีกว่า?
"ผลตอบแทน" กับการลงทุนในวัคซีนต้านโควิด-19 ของวงการอุตสาหกรรมยา มันมากหรือน้อยแค่ไหน?
งั้นเราไปเริ่มกันที่ บริษัท ไฟเซอร์-ไบออนเทค (Pfizer-BioNTech) ในฐานะบริษัทที่ขายวัคซีนต้านโควิด-19 ให้กับกลุ่มประเทศร่ำรวย ด้วยราคาสูงสุดในตลาด ณ เวลานี้กันก่อน
1. บริษัท ไฟเซอร์-ไบออนเทค (Pfizer-BioNTech)
...
วัคซีนเทคโนโลยี mRNA ราคาต่อโดส 19.50 ดอลลาร์สหรัฐ (611 บาท) ต่อโดส (ฉีด 2 เข็ม)
รายงานผลประกอบการไตรมาสแรกของปีนี้
บริษัท ไฟเซอร์-ไบออนเทค ประกาศว่า สามารถสร้างรายได้สูงถึง 3,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 109,690 ล้านบาท จากเพียงเฉพาะยอดขายวัคซีนต้านโควิด-19 โดยเงินก้อนนี้คิดเป็นเกือบ 1 ใน 4 ของรายได้ทั้งหมดของบริษัทในช่วง 3 เดือนแรกของปี 2021 (รวมรายได้ทั้งหมด 14,600 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 457,564 ล้านบาท)
และแม้ว่า บริษัท ไฟเซอร์-ไบออนเทค จะยังไม่ได้เปิดเผย "ผลกำไร" จากยอดขายวัคซีน แต่บรรดานักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า "ผลกำไร" จากเพียงเฉพาะการขายวัคซีนน่าจะสูงถึงประมาณ 20% ซึ่งนั่นแปลว่า ตัวเลขกลมๆ ก่อนหักภาษีน่าจะอยู่ที่ประมาณ 900 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 28,206 ล้านบาท!
ขณะที่ ประมาณการยอดขายวัคซีนต้านโควิด-19 ภายในปี 2021 อยู่ที่ประมาณ 15,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 470,100 ล้านบาท จากข้อตกลงซื้อขายล่าสุด แต่เบื้องต้นตัวเลขที่ว่านี้อาจเปลี่ยนเป็น 30,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 940,200 ล้านบาท หลังล่าสุด บริษัท ไฟเซอร์-ไบออนเทค แถลงว่าสามารถส่งมอบวัคซีนได้มากถึง 2,000 ล้านโดสภายในปีนี้
ความคาดหวังในอนาคต
นักวิเคราะห์จากกลุ่มธนาคารบาร์เคลย์ส (Barclays) คาดการณ์ว่า บริษัท ไฟเซอร์-ไบออนเทค จะมียอดขาย 21,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (673,810 ล้านบาท) ภายในปี 2021 ในขณะที่ปี 2022 จะมียอดขายอยู่ที่ประมาณ 8,600 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (269,524 ล้านบาท) และปี 2023 จะมียอดขายอยู่ที่ประมาณ 1,950 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (61,113 ล้านบาท)
2. บริษัท โมเดอร์นา (Moderna)
วัคซีนเทคโนโลยี mRNA ราคาต่อโดส 15 ดอลลาร์สหรัฐ (470 บาท) ต่อโดส (ฉีด 2 เข็ม)
รายงานผลประกอบการไตรมาสแรกของปีนี้
บริษัท โมเดอร์นา แถลงผลประกอบการไตรมาสแรกของปี 2021 มีผลกำไรสูงถึง 1,200 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 37,608 ล้านบาท
ซึ่งตัวเลขนี้นอกจากจะ "แตกต่าง" จากตัวเลขขาดทุนถึง 124 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (3,886 ล้านบาท) ในช่วงเดียวกันของเมื่อปีที่ผ่านมาแล้ว ยังถือเป็นผลประกอบการที่มี "กำไร" เป็นครั้งแรก นับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทมา 10 ปีอีกด้วย
โดยรายได้ของบริษัทซึ่งมีตัวเลขสูงถึง 1,900 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 59,546 ล้านบาท เพียงแค่ใน 3 เดือนแรกของปีนี้ มาจากยอดขายวัคซีนต้านโควิด-19 มากถึง 1,700 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 53,278 ล้านบาท! และยังถือเป็นยอดขายแตะระดับเกิน 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เป็นครั้งแรกของบริษัทอีกด้วย
...
ซึ่งถึงแม้ว่ายอดขายวัคซีนของโมเดอร์นาในไตรมาสนี้จะต่ำกว่าตัวเลข 2,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 62,680 ล้านบาท ที่บรรดานักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้เล็กน้อย แต่มันก็ยังคงเป็นตัวเลขที่ทำให้บรรดานักลงทุนในวอลล์สตรีท "ตาลุกวาว" ด้วยความคลั่งไคล้ได้อยู่ดี
นั่นเป็นเพราะตัวเลขยอดขายวัคซีนของโมเดอร์นาในช่วงไตรมาสก่อนหน้านี้ มันอยู่ที่เพียง 199 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 6,237 ล้านบาทเท่านั้น!
ซึ่งแน่นอนเหลือเกินว่า สาเหตุสำคัญที่ทำให้ "ยอดขายวัคซีน" ของโมเดอร์นาพุ่งทะลุเพดานได้มากมายถึงขนาดนี้ ก็เป็นเพราะหลายๆ ประเทศในโลกเริ่มอนุญาตให้วัคซีนของโมเดอร์นาฉีดให้กับพลเมืองของตัวเองแล้วนั่นเอง
และเบื้องต้น ทางบริษัทคาดว่าจะสามารถผลิตวัคซีนได้มากถึง 800-1,000 ล้านโดส ภายในปี 2021 และตัวเลขนี้อาจเพิ่มขึ้นเป็น 3,000 ล้านโดส ภายในปี 2022 อีกด้วย
ความคาดหวังในอนาคต
นักวิเคราะห์จากกลุ่มธนาคารบาร์เคลย์ส (Barclays) คาดการณ์ว่า โมเดอร์นา จะสร้างยอดขาย 19,600 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (614,264 ล้านบาท) ในปี 2021 และ 12,200 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (382,348 ล้านบาท) ในปี 2022 และ 11,400 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (357,276 ล้านบาท) ในปี 2023
3. บริษัท จอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน (Johnson & Johnson)
...
วัคซีนเทคโนโลยี Adenovirus ราคาต่อโดส 10 ดอลลาร์สหรัฐ (313 บาท) ต่อโดส (ฉีด 1 เข็ม)
รายงานผลประกอบการไตรมาสแรกปีนี้
บริษัท จอนห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน ประกาศผลประกอบการที่ออกมาดีเกินกว่าที่บรรดานักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ โดย J&J มีรายรับจากธุรกิจในเครือรวมกันถึง 22,320 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 699,509 ล้านบาท ซึ่งสูงกว่าตัวเลขประมาณการ 21,980 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (688,853 ล้านบาท) ที่วอลล์สตรีทคาดการณ์ไว้เล็กน้อย
ขณะที่ในส่วนธุรกิจยาของ J&J ซึ่งผลิตวัคซีนต้านโควิด-19 ด้วยนั้น สร้างรายได้อย่างงดงามถึง 12,190 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (382,035 ล้านบาท) ซึ่งถือเป็นตัวเลขที่เพิ่มขึ้นถึง 9.6% เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของเมื่อปีที่ผ่านมา โดยได้รับแรงหนุนมาจากยอดขายยาในกลุ่มรักษาอาการลำไส้อักเสบเรื้อรัง ในขณะที่รายงานยอดขายวัคซีนต้านโควิด-19 ในช่วงไตรมาสแรกนี้อยู่ที่ 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 3,134 ล้านบาท
ทั้งนี้ วัคซีนของ J&J พบปัญหา "ขลุกขลักเล็กน้อย" จากการที่คณะกรรมการอาหารและยาของสหรัฐฯ (Food and Drug Administration) หรือ FDA ได้สั่งให้ระงับการฉีดวัคซีนชั่วคราว หลังพบว่ามีผู้ที่ได้รับวัคซีนเกิดปัญหาลิ่มเลือดอุดตัน เช่นเดียวกับกรณีของวัคซีนจากบริษัท แอสตราเซเนกา เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา จนส่งผลกระทบต่อกระบวนการผลิตและการส่งมอบ อย่างไรก็ดี ปัจจุบัน FDA ได้มีคำสั่งให้วัคซีนของ J&J กลับมาฉีดให้กับชาวอเมริกันได้อีกครั้งแล้ว
แต่ถึงแม้จะต้องพบกับ "ปัญหาขลุกขลัก" แต่ในเบื้องต้น J&J ยังคงมั่นใจว่าจะสามารถส่งมอบวัคซีนต้านโควิด-19 จำนวน 100 ล้านโดส ได้ทันภายในช่วงครึ่งปีแรกนี้
...
โดยก่อนหน้าที่จะพบกับ "ปัญหาขลุกขลัก" บริษัท จอนห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน คาดการณ์ยอดขายในปี 2021 เอาไว้สูงถึงประมาณ 10,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 313,400 ล้านบาท จากยอดการส่งมอบวัคซีนอย่างน้อย 1,000 ล้านโดสภายในปีนี้ หลังได้รับยอดสั่งซื้อเข้ามาล้นหลาม ไม่ว่าจะเป็น สหรัฐอเมริกาสั่งซื้อรวม 300 ล้านโดส, สหภาพยุโรปสั่งซื้อรวม 400 ล้านโดส และโครงการ Covax อีกรวมกว่า 500 ล้านโดส!
4. บริษัท แอสตราเซเนกา (AstraZeneca) บริษัทเภสัชภัณฑ์สัญชาติอังกฤษ
วัคซีนเทคโนโลยี Adenovirus Vector ราคาต่อโดส 4 ดอลลาร์สหรัฐ (125 บาท) ต่อโดส (ฉีด 2 เข็ม)
รายงานผลประกอบการไตรมาสแรกของปีนี้
รายงานผลประกอบการไตรมาสแรกของปีนี้ บริษัท แอสตราเซเนกา ทำยอดขายวัคซีนต้านโควิด-19 ได้รวม 275 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 8,619 ล้านบาท จากปริมาณ 68 ล้านโดสที่ส่งมอบในช่วง 3 เดือนแรกของปีนี้
โดยยอดการสั่งซื้อส่วนใหญ่มาจากหลายประเทศในทวีปยุโรป (ปัจจุบันได้รับการอนุมัติให้ใช้ใน 78 ประเทศทั่วโลก แต่สหรัฐอเมริกายังคงอยู่ในระหว่างการพิจารณาของ FDA ทั้งๆ ที่รัฐบาลสหรัฐฯ ยอมรับว่ามีคลังอยู่หลายสิบล้านโดส และจนถึงปัจจุบันยังไม่ได้ถูกนำออกไปใช้งาน ณ วันที่ 16 พ.ค.2021)
โดยรายได้ 275 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จากวัคซีนต้านโควิด-19 นี้ คิดเป็นเพียง 4% ของรายได้ทั้งหมดที่แอสตราเซเนกาได้รับในช่วง 3 เดือนแรกของปีนี้อีกด้วย!
โดยรายได้ไตรมาสแรกของแอสตราเซเนกาอยู่ที่ 7,320 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (229,409 ล้านบาท) หรือเพิ่มขึ้น 15% เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของเมื่อปีที่ผ่านมา และสูงกว่าที่บรรดานักลงทุนคาดการณ์เอาไว้ว่าน่าจะอยู่ที่ 6,990 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (219,067 ล้านบาท) โดยได้รับแรงหนุนสำคัญมาจากยอดขายอันแข็งแกร่งของยารักษาโรคมะเร็งของบริษัท
1. บริษัท ไฟเซอร์-ไบออนเทค ยอดขายวัคซีนต้านโควิด-19 ใน 3 เดือนแรกของปีนี้ 3,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 109,690 ล้านบาท
2. บริษัท โมเดอร์นา ยอดขายวัคซีนต้านโควิด-19 ใน 3 เดือนแรกของปีนี้ 1,700 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 53,278 ล้านบาท
3. บริษัท จอนห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน ยอดขายวัคซีนต้านโควิด-19 ใน 3 เดือนแรกของปีนี้ 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 3,134 ล้านบาท
4. บริษัท แอสตราเซเนกา ยอดขายวัคซีนต้านโควิด-19 ใน 3 เดือนแรกของปีนี้ 275 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 8,619 ล้านบาท
*หมายเหตุ: อ้างอิงราคาที่รัฐบาลสหรัฐฯ สั่งซื้อจาก 4 บริษัท ตามรายงานของเว็บไซต์ fiercepharma.com ซึ่งเป็นเว็บไซต์ที่รวบรวมข่าวสารในวงการอุตสาหกรรมยาและเภสัชภัณฑ์โลก
1. วัคซีนของบริษัท ไฟเซอร์-ไบออนเทค มีราคา 19.50 ดอลลาร์สหรัฐต่อโดส
2. วัคซีนของบริษัท โมเดอร์นา มีราคา 15 เหรียญสหรัฐต่อโดส
3. วัคซีนของบริษัท จอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน มีราคา 10 เหรียญสหรัฐต่อโดส
4. วัคซีนของบริษัท แอสตราเซเนกา มีราคา 4 เหรียญสหรัฐต่อโดส
อ่อ...เราลืมบอกอะไรไปนิดนึง ก่อนหน้านี้ทั้ง 4 บริษัทได้ให้คำมั่นต่อสาธารณชนเหมือนๆ กันว่า จะไม่แสวงหาผลกำไรจากวัคซีน (มากเกินไป) ในยามที่ชาวโลกกำลังเดือดร้อนทุกหย่อมหญ้าจากโรคระบาดครั้งใหญ่นี้
และนั่นเอง...จึงได้นำมาสู่การประกาศให้ความร่วมมือในโครงการ Covax ภายใต้การนำขององค์การอนามัยโลก หรือ WHO ที่จะมีการส่งมอบวัคซีนทั้งในแบบ "สั่งซื้อราคามิตรภาพ" (แต่ต้องวางเงินจองล่วงหน้า และไม่สามารถเลือกวัคซีนเองได้ รวมถึงไม่รู้ว่าจะได้รับมอบเมื่อไหร่) และยังมีแบบ "ให้ฟรี" แก่บรรดาประเทศยากจนอีกด้วย
ซึ่งประเด็นนี้ คือ...อีกหนึ่งเหตุผลสำคัญที่บรรดาบริษัทยาและเวชภัณฑ์โลก "หยิบยก" ขึ้นมาว่า "พวกเขา" ล้วนแล้วแต่เห็นอกเห็นใจชาวโลก โดยเฉพาะบรรดาผู้คนในประเทศยากจน ที่กำลังเดือดร้อนจากการแพร่ระบาดโควิด-19 เป็นอย่างยิ่ง ทำให้พวกเขาจะยอมขายวัคซีนให้ในราคาทุนกับประเทศยากจน ด้วยเหตุนี้จึงไม่น่าจะเป็นเหตุที่จะต้องทำตามข้อเรียกร้องให้สละสิทธิ์ในสิทธิบัตรวัคซีนต้านโควิด-19 (สักหน่อย)
แล้วการแบ่งปันวัคซีนให้กับกลุ่มประเทศยากจนตามโครงการ Covax ปัจจุบันเป็นอย่างไร?
ความเป็นจริง คือ ตามข้อมูลของ WHO ระบุว่า หากนับจนถึงกลางเดือนเมษายนที่ผ่านมา กลุ่มประเทศร่ำรวยได้รับวัคซีนต้านโควิด-19 ไปมากถึง 87% ของปริมาณ 700 ล้านโดสที่กระจายไปทั่วโลก ในขณะที่บรรดากลุ่มประเทศยากจนได้รับไปเพียง 0.2%
ซึ่งนั่นจะเท่ากับว่า ในกลุ่มประเทศร่ำรวย ประชาชนจะได้รับการฉีดวัคซีนถึง 1 ใน 4 ในขณะที่ประชาชนของกลุ่มประเทศยากจนจะอยู่ในสัดส่วนเพียง 1 ใน 500 เท่านั้น
ขณะที่รายงานการส่งมอบวัคซีนต้านโควิด-19 ล่าสุด ระหว่างวันที่ 19 ก.พ. - 14 พ.ค. 2021 จาก เว็บไซต์สำนักงานเพื่อการประสานงานด้านมนุษยธรรมแห่งสหประชาชาติ (UN Office for the Coordination of Humanitarian Affairs) หรือ OCHA ที่รวบรวมมาจากการคาดการณ์ปริมาณวัคซีน ตลอดจนการส่งมอบจริงที่ได้รับการยืนยันอย่างเป็นทางการ
พบว่า ประเทศที่เข้าร่วมโครงการ Covax ได้รับมอบวัคซีนต้านโควิด-19 ในปริมาณดังต่อไปนี้
ประเทศโคลอมเบีย
ได้รับวัคซีนของบริษัท ไฟเซอร์-ไบออนเทค 1 ครั้ง 117,000 โดส
ได้รับวัคซีนของบริษัท แอสตราเซเนกา 2 ครั้ง 244,800 และ 912,000 โดส
อย่างไรก็ดี เมื่อโคลอมเบียดำเนินการ "จัดซื้อ" วัคซีนของบริษัท ไฟเซอร์-ไบออนเทค โคลอมเบียได้รับมอบทั้งหมด 3 ครั้ง
ครั้งที่ 1 ได้รับ 1,600,000 โดส, ครั้งที่ 2 ได้รับ 400,242 โดส และครั้งที่ 3 ได้รับ 549,900 โดส!
ส่วนประเทศยูเครน ได้รับวัคซีนจากบริษัท ไฟเซอร์-ไบออนเทค ผ่านโครงการ Covax 1 ครั้ง ด้วยจำนวน 117,000 โดส
ในขณะที่อีก 17 ประเทศที่ร่วมในโครงการ Covax ประกอบด้วย 1.คองโก, 2.ไนจีเรีย, 3.ซูดาน, 4.มาลี, 5.เอธิโอเปีย, 6.อัฟกานิสถาน, 7.โมซัมบิก, 8.โซมาเลีย, 9.ซูดานใต้, 10.อิรัก, 11.เยเมน, 12.ลิเบีย, 13.ไนเจอร์, 14.แคเมอรูน, 15.ซีเรีย, 16.ปากีสถาน, 17.ยูเครน ได้รับวัคซีนจาก บริษัท แอสตราเซเนกา ในปริมาณรวม 12,394,200 โดส
ทำให้รวมแล้ววัคซีนของ บริษัท แอสตราเซเนกา ส่งมอบวัคซีนตามโครงการ Covax ในช่วงระหว่างวันที่ 19 ก.พ. - 14 พ.ค. 2021 รวมทั้งสิ้น 13,551,000 โดส ใน 18 ประเทศ
ส่วนบริษัท ไฟเซอร์-ไบออนเทค ส่งมอบวัคซีนตามโครงการ Covax ในช่วงระยะเวลาเดียวกัน รวม 234,000 โดส ใน 2 ประเทศ!
มันจึงทำให้เกิด "คำถาม" ตามมาว่า หากวัคซีนต้านโควิด-19 ของทั้งบริษัท ไฟเซอร์-ไบออนเทค และบริษัท โมเดอร์นา ผลิตออกมาได้ตามที่นักลงทุนจากวอลล์สตรีทคาดการณ์เอาไว้ว่า น่าจะมีตัวเลขรวมกันที่ 3,000 ล้านโดสภายในปีนี้ได้จริง
"ประเทศยากจน" ที่กำลังรอวัคซีนจากโครงการ Covax จะได้รับการ "ปันส่วน" ทั้งในแบบ "ราคามิตรภาพ" และ "ให้ฟรี" ในปริมาณเท่าไร?
รวมถึงมันยังพอมีความเป็นไปได้หรือไม่ว่า "ราคาวัคซีน" ในยามที่ชาวโลกโดยเฉพาะบรรดาประเทศกำลังพัฒนากำลังโหยหาอย่างยิ่งนั้น อาจจะมี "ราคาที่ถูกลง" กว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน เพราะยังมีผู้คนอีกหลายพันล้านคนทั่วโลกที่ยังไม่ได้รับการฉีดวัคซีนเลยสักเข็ม!
ข่าวน่าสนใจ:
- เดิมพันสิทธิบัตรวัคซีนโควิด เสียงร้องขอที่อุตสาหกรรมยา (แกล้ง) ไม่ได้ยิน
- เบื้องหลังวิกฤติญี่ปุ่น! ระบบล่ม บริหารเหลว วัคซีนค้างสต๊อก 24 ล้านโดส
- สร้างสมดุลอำนาจ เคล็ดลับบริหารวัคซีนโควิด-19 สไตล์รัฐบาลเซอร์เบีย
- 6 ข้อ "โมเดลจีน" ชนะโควิด เร็ว แรง ศรัทธา ใช้ Data ไร้วิวาทะนักการเมือง
- เทียบ 7 วัคซีนโควิด Johnson & Johnson ความหวังที่น่าจับตา