"มีแนวโน้มของโอกาสที่อุกกาบาตจะพุ่งชนคุณที่สนามหญ้าหน้าบ้าน มากกว่าโอกาสที่คุณจะได้รับอันตรายจากการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 เสียอีก ฉะนั้น วิธีการเดียวที่จะหยุดวิกฤติในครั้งนี้ คือ คุณต้องมาฉีดวัคซีน"
นั่นคือ เสียงสะท้อนจาก จิม จัสติก (Jim Justice) ผู้ว่าการรัฐเวสต์เวอร์จิเนีย หลังพบว่า ตัวเลขการเข้าขอรับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ค่อยๆ ลดต่ำลงอย่างน่าใจหาย ไม่ต่างจากรัฐอื่นๆ ในประเทศสหรัฐอเมริกา
ชาวอเมริกันยอมเข้ารับการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ลดน้อยลงมากแค่ไหนแล้ว?
ตามรายงานของกระทรวงสาธารณสุขและบริการประชาชนของสหรัฐอเมริกา (Department of Health and Human Services) พบว่า ปัจจุบันมีจำนวนประชากรในรัฐเวสต์เวอร์จิเนียเพียง 27% ที่ได้รับวัคซีนป้องกันโควิด-19 ครบตามกระบวนการ (ฉีดครบ 2 เข็ม ด้วยวัคซีนจาก บริษัท โมเดอร์นา และไฟเซอร์) ในขณะที่ อีกเพียง 38% เพิ่งยอมเข้ารับการฉีดวัคซีนเข็มแรก!
แต่ที่น่าตกตะลึงมากไปกว่านั้น คือ ในจำนวนผู้เข้ารับการฉีดวัคซีนนั้น มากกว่า 60% เป็นผู้ที่อายุเกินกว่า 65 ปี แถมในจำนวนนี้มากกว่า 70% เพิ่งเข้ารับการวัคซีนเข็มแรก ขณะเดียวกัน กลุ่มผู้สูงอายุ 65-70 ปี ยังเป็นกลุ่มที่ได้รับการฉีดวัคซีนครบ 2 เข็มมากที่สุด ที่จำนวน 128,498 คนด้วย!
...
ในขณะที่ กลุ่มคนหนุ่มสาวกลับกลายเป็นกลุ่มคนที่ยอมมาเข้ารับการฉีดวัคซีนน้อยที่สุด โดยปัจจุบัน ในรัฐเวสต์เวอร์จิเนียมีจำนวนคนหนุ่มสาวในวัย 16-24 ปี เพียง 17,319 คน เท่านั้น ที่ได้รับการฉีดวัคซีนครบ 2 เข็ม ในขณะที่ อีกเพียง 50,866 คนในกลุ่มอายุนี้ ที่ได้รับการฉีดวัคซีนเข็มแรก
และในปัจจุบันมีรายงานว่า หลายรัฐในอเมริกาเตรียมปิดศูนย์ให้บริการฉีดวัคซีนแก่ประชาชน หลังพบว่า มีจำนวนผู้มาเข้าใช้บริการลดต่ำลง หรือแทบไม่มีเลยในแต่ละวัน แต่ที่วิตกมากไปกว่านั้น คือ จำนวนผู้ที่มาขอลงทะเบียนเพื่อรับวัคซีนยังลดต่ำลงเรื่อยๆ อย่างมีนัยสำคัญด้วย
อะไรคือ สาเหตุที่ทำให้ชาวอเมริกันโดยเฉพาะคนหนุ่มสาวไม่ยอมไปฉีดวัคซีนกันแน่?
คำตอบความคลางแคลงใจเรื่องผลข้างเคียงหลังได้รับวัคซีน โดยเฉพาะล่าสุดกับการที่มีคำสั่งให้ระงับการใช้วัคซีนของ บริษัท จอห์นสัน & จอห์นสัน ชั่วคราว (อ่านเพิ่มเติม: วัคซีนจอห์นสัน & จอห์นสัน เทียบแอสตราเซเนกา โอกาสเกิดลิ่มเลือด 1 ในแสน) ซึ่งประเด็นนี้แทบจะกลายเป็นฟางเส้นสุดท้าย ที่ทำให้ชาวอเมริกันส่วนหนึ่งเสื่อมความเชื่อมั่นที่มีต่อวัคซีนป้องกันไปโดยปริยาย โดยเฉพาะที่รัฐเทกซัสมีรายงานว่า หลังจากมีการระงับใช้วัคซีนของ บริษัท จอห์นสัน & จอห์นสัน ชั่วคราว ตัวเลขผู้ขอเข้ารับการฉีดวัคซีนต่อวันลดต่ำลงจากก่อนหน้านี้มาก และแม้เจ้าหน้าที่จะพยายามเสนอวัคซีนจากบริษัทอื่นให้ แต่ก็ยังถูก "ปฏิเสธ"
ในขณะที่อีกส่วนหนึ่งไม่เชื่อว่า แม้จะฉีดวัคซีนครบ 2 เข็มแล้ว แต่ก็ยังไม่สามารถป้องกันการติดเชื้อซ้ำได้ คือ คำถามตัวโตๆ ของชาวอเมริกันโดยทั่วไป
โดยกลุ่มที่ดูจะคลางแคลงในประเด็นดังกล่าวมากที่สุด คือ กลุ่มคนผิวขาวที่มีแนวคิดอนุรักษนิยมแบบสุดโต่งซึ่งอาศัยอยู่ตามชนบท และมีแนวโน้มสูงว่าเป็นกลุ่มที่ให้การสนับสนุนพรรครีพับลิกัน
โดยตามการสำรวจของ ไคเซอร์ แฟมิลี ฟาวเดชั่น (Kaiser Family Foundation) ซึ่งเป็นองค์กรที่รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับสุขภาพของชาวอเมริกัน พบว่า กลุ่มคนดังกล่าวคิดเป็นสัดส่วนมากถึง 1 ใน 5 จากผู้ทำแบบสำรวจ 1,001 คน ยืนยันว่าจะไม่ยอมไปฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19
ในขณะที่ กลุ่มคนผิวสีถูกพบว่า สามารถเข้าถึงการให้บริการด้านสาธารณสุข โดยเฉพาะการลงทะเบียนเพื่อเข้ารับการฉีดวัคซีนได้ในระดับต่ำ
ทั้งๆ ที่ตามข้อเท็จจริง ซึ่งอ้างอิงมาจากข้อมูลของศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคติดต่อแห่งชาติสหรัฐฯ (Centers for Disease Control) หรือ CDC ระบุว่า หลังมีการฉีดวัคซีนไปจำนวนทั้งสิ้นกว่า 77 ล้านโดสในประเทศสหรัฐอเมริกา พบว่ามีกรณีการติดเชื้อซ้ำเพียง 5,800 ครั้ง นอกจากนี้ จากสถิติยังพบว่า จากจำนวนชาวสหรัฐฯ 1.8% ที่เสียชีวิตจากการติดเชื้อโควิด-19 มีเพียง 0.00001% เท่านั้นที่เสียชีวิตจากการติดเชื้อซ้ำก็ตาม
...
แล้วชาวอเมริกันจำนวนเท่าไรที่ควรเข้ารับการฉีดวัคซีน?
ปัจจุบัน รัฐบาลสหรัฐฯ ยืนยันว่า ได้ทำการสั่งซื้อวัคซีนของ บริษัท โมเดอร์นา และไฟเซอร์ เป็นจำนวนรวม 600 ล้านโดส ซึ่งมากเพียงพอสำหรับการฉีดให้กับชาวอเมริกันที่มีประมาณ 300 ล้านคนได้ทุกคน
โดยตามการคาดการณ์ของ นายแพทย์แอนโทนี เฟาซี (Dr.Anthony Fauci) ผู้อำนวยการสถาบันภูมิแพ้และโรคติดต่อในสหรัฐฯ และหัวหน้าที่ปรึกษาด้านการแพทย์ประจำทำเนียบขาว ได้ระบุไว้อย่างชัดเจนว่า จะต้องมีจำนวนประชากรอเมริกันที่ได้รับวัคซีนอย่างน้อย 70-85% จึงจะเพียงพอสำหรับการหยุดยั้งการแพร่ระบาดได้
70-85% ของจำนวนประชากรสหรัฐฯ 331 ล้าน ก็เท่ากับประมาณ 281 ล้านคน
...
ในขณะที่ ปัจจุบัน ตามรายงานล่าสุดของมหาวิทยาลัยจอห์นฮอปกินส์ ณ วันที่ 16 เมษายน 2021 รัฐบาลสหรัฐฯ ฉีดวัคซีนให้กับชาวอเมริกันไปแล้วทั้งสิ้นประมาณ 128 ล้านคน หรือประมาณ 38.72 % ของจำนวนประชากรเท่านั้น โดยถือเป็นประเทศที่มีการฉีดวัคซีนให้กับประชากรมากเป็นอันดับที่ 4 ของโลก (เมื่อคิดตามสัดส่วนของประชากร ที่ได้รับวัคซีนอย่างน้อย 1 โดส)
ในขณะที่ อันดับ 1 คือ ประเทศอิสราเอล ซึ่งมีประชากรทั้งสิ้นประมาณ 8.66 ล้านคน ฉีดวัคซีนให้ประชาชนไปแล้วประมาณ 5.3 ล้านคน หรือประมาณ 61.73%
อันดับที่ 2 สหราชอาณาจักร 67 ล้านคน ฉีดวัคซีนให้ประชาชนไปแล้วประมาณ 32 ล้านคน หรือประมาณ 48.16%
ส่วนอันดับที่ 4 คือ ประเทศชิลี ซึ่งมีประชากรทั้งสิ้นประมาณ 19 ล้านคน ฉีดวัคซีนให้ประชาชนไปแล้วประมาณ 7.6 ล้านคน หรือประมาณ 40%
จำนวนชาวสหรัฐฯ ที่ยอมมาฉีดวัคซีนลดต่ำลงจะส่งผลกระทบอย่างไร?
คำตอบ ระดับการป้องกันการติดเชื้อในสหรัฐอเมริกาจะลดต่ำลง โดยเฉพาะในหมู่คนหนุ่มสาวอายุระหว่าง 10-19 ปี ซึ่งถือเป็นกลุ่มวัยที่สามารถแพร่กระจายเชื้อได้มากที่สุด
...
แต่อะไรก็คงไม่น่าวิตกกังวลมากไปกว่า การที่เริ่มพบไวรัสโควิด-19 กลายพันธุ์ ทั้งสายพันธ์ุบราซิล แอฟริกาใต้ และอังกฤษ ซึ่ง "ดุกว่า" ไวรัสสายพันธุ์เดิมในหลายรัฐของสหรัฐอเมริกาแล้ว
ปัจจุบัน สหรัฐอเมริกามีจำนวนผู้ติดเชื้อสะสมรวม 31,670,353 คน ในขณะที่ ยอดผู้เสียชีวิตสะสมรวมอยู่ที่ 567,217 ศพ (อ้างอิงข้อมูลจากมหาวิทยาลัยจอห์นฮอปกินส์ ณ วันที่ 19 เมษายน 2021)
ข่าวน่าสนใจ:
- โควิดกลายพันธุ์ ฉีดวัคซีนดีกว่าเสี่ยง "เซลล์ CD8+T" อาจเป็นกุญแจสำคัญ
- 146 หมอ พยาบาล ติดโควิดยังเอาอยู่ ดูแล 1 ต่อ 200 แม้หนักแต่สู้ไหว
- หายจากโควิดแล้ว...ใช่ว่าสบายดี Long Covid อาการต่อเนื่องที่ต้องจับตา
- แกะรอยอวสาน "ผ่าพิภพไททัน" จุดพีคดำมืด หรือ "เอเรน" คือบทสรุป
- "ก็อดซิลลา" vs. "คอง" เทียบหลักฟิสิกส์จริงจัง และการอยู่รอดในกฎธรรมชาติ