มันเกิดอะไรขึ้นกับวัคซีนความหวังล่าสุดของมนุษยชาติกันแน่? หลังองค์การอาหารและยาของสหรัฐฯ (Food and Drug Administration หรือ FDA) ออกคำสั่งให้พักการใช้วัคซีนป้องกันโควิด-19 ของบริษัท จอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน (Johnson & Johnson หรือ J&J) ลงชั่วคราว
ทั้งๆ ที่ ณ ปัจจุบัน วัคซีนของ J&J ได้รับการชื่นชมทั้งในแง่ของประสิทธิภาพและการเก็บรักษาที่สะดวกกว่าคู่แข่งมาโดยตลอด อะไรคือ คำถามที่เกิดขึ้นดังๆ หลังการตัดสินใจดังกล่าว เราค่อยไปสังเคราะห์กันทีละประเด็น นับจากบรรทัดนี้เป็นต้นไป
อะไรคือ เหตุผลสำคัญที่ทำให้ต้องพักการใช้วัคซีนของบริษัท J&J ชั่วคราว?
นายแพทย์แอนโทนี เฟาซี ผู้อำนวยการสถาบันภูมิแพ้และโรคติดต่อในสหรัฐฯ และหัวหน้าที่ปรึกษาด้านการแพทย์ประจำทำเนียบขาว ชี้แจงในประเด็นนี้ว่า องค์การอาหารและยาของสหรัฐฯ และศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคของสหรัฐฯ (Centes for Disease Control and Prevention หรือ CDC) ได้รายงานว่า พบผู้หญิงที่ได้รับวัคซีนของบริษัท จอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน ถึง 6 คน ที่อายุต่ำกว่า 50 ปี เกิดภาวะผิดปกติร้ายแรงในระบบไหลเวียนเลือด จนกระทั่งทำให้เกิดภาวะลิ่มเลือดอุดตัน ซึ่งเป็นรูปแบบอาการที่พบได้ยาก
ระยะเวลาสำหรับการพักใช้วัคซีนของบริษัท J&J?
การประกาศพักการใช้วัคซีนของ J&J ชั่วคราวนี้ นายแพทย์แอนโทนี เฟาซี ให้ความเห็นว่า น่าจะกินระยะเวลาประมาณ 2-3 สัปดาห์เป็นอย่างน้อย เพื่อให้หน่วยงานกำกับดูแลด้านสุขภาพของสหรัฐฯ มีเวลาในการสืบสวนหาสาเหตุที่แท้จริง การค้นหากรณีที่อาจจะเกิดขึ้นคล้ายๆ กันในกลุ่มผู้ที่ได้รับวัคซีนของ J&J รวมถึงมีเวลาให้เจ้าหน้าที่สาธารณสุขทำความเข้าใจถึงผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นจากวัคซีน และจะรักษาอาการเหล่านั้นได้ดีที่สุดอย่างไร
...
ซึ่งนอกจากจะมีการพักใช้วัคซีนของ J&J แล้ว จะมีคำแนะนำถึงบุคลากรทางการแพทย์ด้วยว่า ไม่ควรใช้ยาเฮพาริน (Heparin) หรือยาป้องกันการแข็งตัวของเลือด ซึ่งปกติจะถูกนำมาใช้ในกรณีผู้ป่วยเกิดอาการลิ่มเลือดอุดตันกับคนไข้ที่เกิดอาการดังกล่าวหลังได้รับวัคซีนของ J&J ด้วย เนื่องจากอาจทำให้คนไข้ได้รับอันตรายหรืออาการวิกฤติมากขึ้นด้วย
เมื่อไหร่ที่มีการพบ "ความผิดปกติ" หลังคนไข้ได้รับวัคซีนของ J&J?
นายแพทย์ปีเตอร์ มาร์ค (Dr.Peter Marks) ผู้อำนวยการศูนย์ประเมินผลและวิจัยทางชีววิทยา ของ FDA ให้ข้อมูลว่า เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ของสหรัฐฯ พบอาการลิ่มเลือดอุดตันในคนไข้หลังได้รับวัคซีนของ J&J ไปประมาณ 1 สัปดาห์ แต่ไม่เกิน 3 สัปดาห์ หรือมีกรอบระยะเวลาเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 9 วัน
จะรู้ได้อย่างไรว่าเกิดภาวะลิ่มเลือดอุดตันจากวัคซีนของ J&J?
ที่ผ่านมา คนไข้ที่รับวัคซีนโควิด-19 โดยมากมักเกิดผลข้างเคียงที่มีอาการคล้ายเป็นไข้หวัดใหญ่หรือปวดศีรษะรวมอยู่ด้วย แต่หากแพทย์ตรวจพบว่า มีอาการปวดศีรษะอย่างรุนแรงบวกกับมีเกล็ดเลือดต่ำ ควรมีการซักถามทันทีว่า เพิ่งได้รับวัคซีนของ J&J มาหรือไม่ ก่อนที่จะมีการวางแผนการรักษาต่อไป
อะไรคือสาเหตุ?
ผู้อำนวยการศูนย์ประเมินผลและวิจัยทางชีววิทยาของ FDA กล่าวว่า ล่าสุด นักวิจัยยังไม่พบสาเหตุที่สามารถระบุได้อย่างเฉพาะเจาะจงถึงการทำให้เกิดอาการลิ่มเลือดอุดตันในกลุ่มผู้ได้รับวัคซีนของ J&J แต่เบื้องต้น ผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่เชื่อว่า น่าจะคล้ายกับที่เคยเกิดกับวัคซีนในกลุ่ม Adenovirus Vector Vaccine หรือการใช้อนุภาคเทียม (Pseudovirus) หรือการใช้ไวรัสไม่ก่อโรค แล้วฝากส่วนหนึ่งของไวรัสที่ก่อโรคเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของตัวไวรัส เพื่อส่งสารพันธุกรรมของ Covid-19 เข้าไปในเซลล์มนุษย์ จนกระทั่งกระตุ้นให้เกิดแอนติบอดีขึ้นมาต่อต้านโรค มาก่อนหน้านี้ นั่นคือ บางคนเกิดการตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกันน้อย หรือน้อยมากๆ ภายหลังจากได้รับวัคซีน ซึ่งผลของมันนำไปสู่การกระตุ้นเกล็ดเลือด จนกระทั่งทำให้เกิด "ภาวะลิ่มเลือดอุดตัน" ซึ่งเป็นกลุ่มอาการที่พบได้ยากมากๆ
ผลกระทบต่อแคมเปญต่อสู้โควิด-19 ของประธานาธิบดี โจ ไบเดน?
นักวิเคราะห์ทางการเมืองในสหรัฐฯ มองตรงกันว่า การประกาศพักการฉีดวัคซีนของ J&J ลงชั่วคราวในครั้งนี้ จะกระทบต่อแคมเปญสู้โควิด-19 ของประธานาธิบดี โจ ไบเดน ที่ประกาศเอาไว้อย่างเสียงดังฟังชัดว่า ชาวอเมริกันในกลุ่มผู้ใหญ่ (Adult) ทุกคนจะได้รับสิทธิการฉีดวัคซีนภายในวันที่ 19 เมษายน ซึ่งกำลังจะครบกำหนดในอีกไม่กี่วันข้างหน้าอย่างแน่นอน
...
และบางทีอาจรวมถึงการวางเป้าหมายให้ชาวอเมริกัน 200 ล้านคน ได้รับวัคซีนภายในสิ้นเดือนเมษายนนี้ด้วย เพราะที่ผ่านมา แม้รัฐบาลสหรัฐฯ จะจัดซื้อวัคซีนจากบริษัท ไฟเซอร์ และบริษัท โมเดอร์นา ได้รวม 600 ล้านโดส ซึ่งมากเพียงพอสำหรับการฉีดให้กับชาวอเมริกันที่มีทั้งหมดรวมกันประมาณ 300 ล้านคน แต่ภายใต้การดำเนินการดังกล่าวยังคงต้องพึ่งพาบริการวัคซีนของ J&J เข้ามาร่วมเป็นส่วนหนึ่ง เนื่องจากมีคุณสมบัติเด่น คือ การฉีดเพียงเข็มเดียว (ไฟเซอร์และโมเดอร์นาต้องฉีด 2 เข็ม) รวมถึงยังมีการเก็บรักษาได้ง่ายกว่า
อ่านเพิ่มเติม: เทียบ 7 วัคซีนโควิด Johnson & Johnson ความหวังที่น่าจับตา
มีชาวสหรัฐฯ ได้รับวัคซีนของ J&J ไปแล้วเท่าไร?
ปัจจุบัน มีรายงานว่า ชาวสหรัฐฯ ได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ของ J&J ไปแล้วอย่างน้อย 6.9 ล้านคน ในขณะที่ ผู้ที่ได้รับวัคซีนของบริษัท ไฟเซอร์ (Pfizer) และบริษัท โมเดอร์นา (Moderna) ที่ใช้หลักการ DNA หรือ mRNA วัคซีน คือ การใช้อนุพันธ์ของอาร์เอ็นเอหรือดีเอ็นเอ ที่ให้ผลต่อการแปลโค้ดสร้างโปรตีนในส่วนที่ใช้ป้องกันโรคโควิด-19 แล้วให้เซลล์ของร่างกายมนุษย์สร้างโปรตีนตัวนี้ขึ้นมาเพื่อป้องกันโรคนั้น จนถึงขณะนี้ยังไม่พบ "สัญญาณอันตราย" เช่นที่เกิดขึ้นกับวัคซีนของ J&J
...
ท่าทีของบริษัท จอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน หลังคำสั่งพักการใช้วัคซีนชั่วคราว?
ภายหลังมีคำสั่งให้ "พักการใช้วัคซีนในสหรัฐฯ" ทางบริษัท J&J ได้ออกแถลงการณ์อย่างเป็นทางการว่า "ไม่มีการระบุถึงสาเหตุความสัมพันธ์ที่ชัดเจน" ระหว่างการเกิดภาวะลิ่มเลือดอุดตันที่เป็นกลุ่มอาการที่เกิดขึ้นได้ยากกับวัคซีน และบริษัทกำลังทำงานอย่างใกล้ชิดกับหน่วยที่กำกับดูแลเพื่อประเมินข้อมูลจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
กรณีที่เกิดขึ้นกับบริษัท จอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน เมื่อเปรียบเทียบกับกรณีที่เกิดกับบริษัท แอสตราเซเนกา?
นายแพทย์ปูรวี พาริค (Dr.Purvi Parikh) ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคภูมิแพ้และระบบภูมิคุ้มกัน รวมถึงทำงานเป็นผู้ตรวจสอบวัคซีนป้องกันโควิด-19 ได้ให้ความเห็นถึงคำสั่งให้ชะลอการใช้วัคซีนของบริษัท J&J ว่า การชะลอการฉีดชั่วคราวถือเป็นเรื่องปกติ และการตัดสินใจดังกล่าวถือเป็นเรื่องที่ถูกต้อง เพราะการฉีดวัคซีนให้กับคนอีกหลายล้านคนจำเป็นต้องเลือกวิธีการที่ปลอดภัยที่สุด และวิธีการนี้จะทำให้เรามั่นใจเรื่องความปลอดภัยได้ ก่อนที่จะเดินหน้ากันต่อไป
...
"เมื่อเปรียบเทียบกับกรณีที่คล้ายๆ กันจากข้อมูลการตรวจสอบวัคซีนที่ใช้ในสหราชอาณาจักรและยุโรป ซึ่งผลิตโดยบริษัท แอสตราเซเนกา (AstraZeneca) จาก องค์กร Thrombosis CanadaTM
พบว่า ความเชื่อมโยงระหว่างส่วนผสมของวัคซีนกับอาการไม่พึงประสงค์ที่พบได้ยาก นั่นคือ ภาวะผิดปกติร้ายแรงในระบบไหลเวียนเลือด เช่น ภาวะลิ่มเลือดอุดตันและภาวะเกล็ดเลือดต่ำนั้น มีโอกาสเกิดขึ้นได้เพียง 1 ใน 250,000 ถึง 1 ใน 500,000 ของจำนวนผู้ที่ได้รับวัคซีนเท่านั้น
นอกจากนี้ หากนำข้อมูลดังกล่าวมาเปรียบเทียบกับจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 แล้ว ยังพบว่า ผู้ป่วยที่ติดเชื้อโควิด-19 ยังมีความเสี่ยงมากกว่าต่อการที่จะเกิดภาวะลิ่มเลือดอุดตัน ในอัตรา 1 ต่อ 20 คน สำหรับผู้ที่ต้องพักรักษาตัวในโรงพยาบาล และ 1 ต่อ 100 คน สำหรับกรณีผู้ป่วยที่กลับมาพักรักษาตัวที่บ้านด้วย
ด้วยเหตุนี้ องค์กร Thrombosis CanadaTM จึงแนะนำว่า ผู้ที่จะเข้าฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ของบริษัท แอสตราเซเนกา จึงควรเข้าหลักเกณฑ์ดังต่อไปนี้
1. ไม่เคยมีประวัติหรือมีแนวโน้มว่าจะเกิดอาการลิ่มเลือดอุดตันมาก่อน
2. คนในครอบครัวไม่เคยมีประวัติว่าเคยเกิดอาการลิ่มเลือดอุดตัน
3. ไม่เคยมีประวัติได้รับยาเฮพาริน (Heparin) มาก่อน
"ด้วยเหตุนี้ หากพิจารณาในภาพรวมจากข้อมูลที่มี ณ ปัจจุบัน ประโยชน์ที่จะได้รับยังคงมีมากกว่า ความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากการฉีดวัคซีนนี้" นายแพทย์ปูรวี พาริค (Dr.Purvi Parikh) กล่าวทิ้งท้าย.
ข่าวน่าสนใจ:
- โควิดกลายพันธุ์ ฉีดวัคซีนดีกว่าเสี่ยง "เซลล์ CD8+T" อาจเป็นกุญแจสำคัญ
- แกะรอยความเสี่ยง "วัคซีนโควิด" หลังฉีดให้มนุษย์ชุดแรกทั่วโลก
- แตกต่างแต่ไม่ตอบโจทย์ ที่มาหายนะสมาร์ทโฟน LG เจ๊งแสนล้าน
- แกะรอยอวสาน "ผ่าพิภพไททัน" จุดพีคดำมืด หรือ "เอเรน" คือบทสรุป
- "ก็อดซิลลา" vs. "คอง" เทียบหลักฟิสิกส์จริงจัง และการอยู่รอดในกฎธรรมชาติ