ร้องรัฐบาลไทย ‘หยุดสังฆกรรม’ กับกองทัพพม่า ขับ ‘มิน อ่อง หล่าย’ ออกจาก BIMSTEC

วานนี้ 30 มี.ค. 2568 กลุ่มปกป้องประชาธิปไตย (Defend Myanmar Democracy - DMD) โพสต์จดหมายเปิดผนึกถึง แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีและรัฐบาลไทย รวมถึงรัฐบาลกลุ่มประเทศ BIMSTEC ให้ขับ ‘มิน อ่อง หล่าย’ และกองทัพพม่าออกจากการประชุม BIMSTEC ครั้งที่ 6 ที่ไทยเป็นเจ้าภาพในวันที่ 3-4 เม.ย. 2568 ที่จะถึงนี้ และเสนอให้ไทย ‘ไม่ร่วมสังฆกรรม’ กับเผด็จการทหาร

โดยจดหมายนี้ มีหน่วยงาน 319 องค์กร ร่วมลงชื่อแสดงจุดยืน ประกอบด้วยตัวแทนของเมียนมา ภาคประชาสังคมระดับภูมิภาคและสากล 285 องค์กร และ 34 องค์กรซึ่งไม่ประสงค์จะระบุชื่อของตนเอง โดยมีเนื้อหาดังนี้

  1. ห้ามไม่ให้มิน อ่อง หล่าย ผู้นำกองทัพเมียนมา เข้าร่วมการประชุม BIMSTEC
  2. ห้ามไม่ให้ตัวแทนทุกคนของกองทัพเมียนมา และผู้ที่ได้รับแต่งตั้ง เข้าร่วมประชุมและร่วมกิจกรรมใดๆ ของ BIMSTEC

โดยในจดหมายระบุอีกว่า

นับแต่มีความพยายามทำรัฐประหารเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2564 กองทัพเมียนมาได้ทำการสังหารหมู่ โจมตีทางอากาศอย่างไม่เลือกเป้าหมาย ระดมยิงปืนใหญ่ ก่อเหตุความรุนแรงทางเพศและความรุนแรงด้วยเหตุแห่งเพศ สังหารหมู่และวางเพลิงสถานที่จำนวนมาก ทั้งยังได้จับกุมบุคคลโดยพลการกว่า 28,900 คน ในแต่ละปี กองทัพเมียนมายังได้เพิ่มการโจมตีทางอากาศบ่อยครั้งมากขึ้น ทำให้จำนวนพลเรือนที่เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บเพิ่มขึ้นเช่นกัน กองทัพเมียนมาได้ทำการโจมตีทางอากาศ 4,631 ครั้ง รวมทั้งในพื้นที่ค่ายผู้ลี้ภัยในประเทศ สถานพยาบาล โรงเรียน และศาสนสถาน การก่ออาชญากรรมอย่างร้ายแรงนี้เป็นการละเมิดต่อกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ ในการนี้รวมถึงการใช้ระเบิดเพลิงซึ่งห้ามใช้ในพื้นที่พลเรือน จากการโจมตีทางอากาศเพียงอย่างเดียวทำให้พลเรือนเสียชีวิตมากกว่า 2,603 คน และบาดเจ็บ 4,184 คน 

สืบเนื่องจากการก่ออาชญากรรมเหล่านี้ ทำให้ปัจจุบันจึงมีผู้พลัดถิ่นฐานในประเทศแล้วกว่า 3 ล้านคน กองทัพเมียนมากระทำการเข้ากับหลักเกณฑ์ที่จัดว่าเป็น องค์กรก่อการร้าย ทั้งตามกฎหมายในประเทศของเมียนมา และตามที่นิยามในกฎหมายระหว่างประเทศ ความทารุณของกองทัพเมียนมารุนแรงถึงขั้นเป็นอาชญากรรมสงคราม และอาชญากรรมต่อมนุษยชาติ โดยได้ต้องตกเป็นจำเลยในคดีการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ และอาชญากรรมระหว่างประเทศอื่น ๆ ที่กระทำต่อชาวโรฮิงญา และอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ ศาลอาญาระหว่างประเทศ และการพิจารณาตามหลักเขตอำนาจศาลสากลที่ศาลอาร์เจนตินา โดยเมื่อเร็ว ๆ นี้ศาลอาญากลางของอาร์เจนตินาใช้หลักเขตอำนาจศาลสากล ออกหมายจับพลเมืองชาวเมียนมา 25 คน เนื่องจากมีส่วนเกี่ยวข้องกับการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์และอาชญากรรมต่อมนุษยชาติที่เกิดขึ้นกับชาวโรฮิงญา รวมทั้งมิน อ่อง หล่ายซึ่งเป็นผู้นำกองทัพเมียนมา และผู้นำทหารระดับสูงคนอื่นๆ

ไม่ว่าจะพิจารณาจากนิยามใด กองทัพเมียนมาไม่ถือว่าเป็นรัฐบาล และจึงไม่มีความชอบธรรมที่จะเป็นตัวแทนของประชาชนชาวเมียนมาเพื่อเข้าร่วมในกิจกรรมหรือการประชุมใด ๆ ของ BIMSTEC ไม่ว่าจะเป็นการประชุมในระดับใด หรือไม่ว่าจะเป็นตัวแทนใดจากกองทัพ หากรัฐบาลต่างประเทศและองค์กรระหว่างประเทศร่วมมือทำงานกับกองทัพเมียนมา เสมือนกับว่าพวกเขาเป็นรัฐบาล และ/หรือ ส่งเสริมให้ผู้ที่แต่งตั้งและผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับกองทัพ เข้าเป็นเครือข่ายกับประชาคมระหว่างประเทศ ย่อมก่อให้เกิดอันตรายอย่างร้ายแรงต่อประชาชนชาวเมียนมา รวมทั้ง:

  1. ทำให้กองทัพเมียนมาเกิดความฮึกเหิม และจะยิ่งเพิ่มการก่อความรุนแรงต่อพลเรือน
  2. ทำให้พวกเขามีอำนาจตัดสินใจแทนประชาชนชาวเมียนมาได้อย่างชอบธรรม
  3. สร้างความชอบธรรมให้กับกองทัพเมียนมาและมีส่วนช่วยเหลือในการกระทำที่ผิดกฎหมายของพวกเขา ทำให้มีภาพเสมือนเป็นรัฐบาล
  4. ช่วยเหลือกองทัพเมียนมาในการสร้างความสัมพันธ์ และเข้าถึงแหล่งทุนและทรัพยากร และ
  5.  ประการสุดท้าย เป็นการช่วยเหลือกองทัพเมียนมาในการทำสงครามกับประชาชนในประเทศของตนเอง

หน่วยงานใดซึ่งสร้างความชอบธรรม หรือสนับสนุนการให้เงินทุนและทรัพยากรกับกองทัพเมียนมา ย่อมเสี่ยงจะมีส่วนร่วมในการก่ออาชญากรรมที่ทารุณอย่างต่อเนื่องของกองทัพเมียนมา จึงเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่งที่เราจะต้องหลีกเลี่ยงการมีความสัมพันธ์ทั้งทางการทูตและการเงินใด ๆ กับกองทัพเมียนมา และบุคคลอื่น ๆ ผ่านการประชุมและการสร้างเครือข่ายระหว่างประเทศ

องค์กรระหว่างรัฐบาลอื่น ๆ รวมทั้งอาเซียนและองค์การสหประชาชาติ ได้ใช้มาตรการเพื่อตอบโต้กองทัพเมียนมาแล้ว ยกตัวอย่างเช่น อาเซียนได้ลงมติไม่อนุญาตให้เมียนมา เป็นประธานอาเซียนตามวาระในปี 2569 และยังได้กีดกันไม่ให้กองทัพเมียนมาเข้าร่วมการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศและการประชุมสุดยอดอื่น ๆ ในการประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียน (ADMM) ก็มีการกีดกันไม่ให้ผู้แทนของกองทัพเมียนมาเข้าร่วมการประชุมสุดยอดของตน ประเทศฟิลิปปินส์ มาเลเซีย และอินโดนีเซีย ได้พากันคว่ำบาตรไม่เข้าร่วมการประชุมผู้บัญชาการทหารอากาศของกลุ่ม ADMM ซึ่งมีกองทัพเมียนมาเป็นเจ้าภาพ ประเทศสิงคโปร์ได้คว่ำบาตรไม่เข้าร่วมการอบรมต่อต้านการก่อการร้าย ADMM-Plus ซึ่งมีกองทัพเมียนมา และรัสเซียเป็นเจ้าภาพ ปฏิบัติการเหล่านี้สร้างความพอใจให้กับประชาชนชาวเมียนมาอย่างยิ่ง

ถึงอย่างนั้น จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีปฏิบัติการที่จริงจังมากกว่านี้ การตัดสินใจของท่านที่จะกีดกันไม่ให้ กองทัพเมียนมาที่ผิดกฎหมายเข้าร่วมในการเยือนและการประชุมที่จะมีขึ้น สอดคล้องกับข้อมติขององค์การสหประชาชาติที่จะหลีกเลี่ยงไม่ให้สมาชิกของกองทัพเมียนมา เป็นตัวแทนของประเทศเมียนมาในที่ประชุมสมัชชาใหญ่ คำร้องขอของเรายังสอดคล้องกับข้อกังวลของผู้รายงานพิเศษแห่งสหประชาชาติว่าด้วยสถานการณ์ด้านสิทธิมนุษยชนในเมียนมา ซึ่งเสนอแนะให้อาเซียนต้องไม่อนุญาตให้ตัวแทนจากกองทัพเมียนมาเข้าร่วมในการประชุมของอาเซียน ผู้รายงานพิเศษยังเรียกร้องรัฐภาคีอาเซียน “ไม่ให้เข้าร่วมการประชุม หากไม่มีการยกเลิกจดหมายเชิญต่อตัวแทนจากกองทัพเมียนมา” นอกจากนั้น ผู้รายงานพิเศษยังกระตุ้นว่า

“รัฐภาคีซึ่งสนับสนุนสิทธิมนุษยชน ประชาธิปไตย และอุดมการณ์ของประชาชนชาวเมียนมา ต้องประกาศไม่ยอมรับข้ออ้างที่หลอกลวงของ SAC (สภาบริหารแห่งรัฐ) ที่อ้างว่าตนเองเป็นรัฐบาลอันชอบธรรม”

"เราหวังว่าจะได้รับฟังคำตอบจากท่าน ในระหว่างนี้ เราจะยังคงติดตามดูว่าท่านจะมีปฏิบัติการเพื่อสนับสนุนประชาชนชาวเมียนมา หรือจะสนับสนุนกองทัพที่โหดร้ายและขาดความชอบธรรม"

(BIMSTEC มีชื่อเต็มว่า Bay of Bengal Initiative for Multi-Sectoral Technical and Economic Cooperation หรือชื่อไทยคือ ความริเริ่มแห่งอ่าวเบงกอลสำหรับความร่วมมือหลากหลายสาขาทางวิชาการและเศรษฐกิจ เป็นการรวมตัวของ 7 ประเทศ ไทย เมียนมา ศรีลังกา บังกลาเทศ อินเดีย ภูฏาน และเนปาล)



ที่มา: Defend Myanmar Democracy


สร้างสรรค์โดย
ทีมข่าวเฉพาะกิจ

ทีมข่าวเฉพาะกิจ

Share

เราใช้คุ้กกี้ 

เพื่อให้ทุกคนได้ประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น

อ่านเพิ่มเติมคลิก (Privacy Policy) และ (Cookie Policy)

รับทราบ