24 มี.ค.2568 ที่รัฐสภา ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร วาระการพิจารณาญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล ตามมาตรา 151 วิโรจน์ ลักขณาอดิศร สส.พรรคประชาชน ลุกขึ้นอภิปรายโดยการตั้งประเด็นกล่าวหาว่า แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ‘มีพฤติกรรมหนีภาษี’ โดยตั้งคำถามว่า หลังจากได้รับการโปรดเกล้าฯ ให้ดำรงตำแหน่งนายกฯ เมื่อวันที่ 18 ส.ค. 2567 แพทองธาร ได้โอนหุ้น 2 บริษัท มูลค่า 393.5 ล้านบาทไปให้แม่และพี่สาว ด้วยวิธีการใด… เป็นการให้หุ้น หรือขายหุ้น ดังนี้

  1. โอนให้แม่ - บริษัทอัลไพน์ กอล์ฟ แอนด์ สปอร์ตคลับ จำกัด จำนวน 22,410,000 หุ้น มูลค่าตามทุนจดทะเบียน 224.1 ล้านบาท
  2. โอนให้พี่สาว - บริษัทประไหมสุหรี พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด จำนวน 16,949,990 หุ้น มูลค่าตามทุนจดทะเบียน 169.4 ล้านบาท
ฟังสองข้าง ‘หนีภาษีด้วยตั๋ว PN’ วิโรจน์ถาม นายกฯ ตอบ

วิโรจน์ ตั้งคำถามว่า การโอนหุ้นดังกล่าวของนายกฯ เป็นการ ‘ให้’ หรือ ‘ขายหุ้น’ เพราะหากเป็นการให้หุ้น แม่และพี่สาวของนายกฯ ต้องจ่าย ‘ภาษีการรับให้’ รวมกันทั้งสิ้น 18.2 ล้านบาท 

...

"รัฐจะได้รับภาษีการรับให้จากการโอนหุ้นครั้งนี้ของนายกฯ ก้อนนี้หรือไม่?" วิโรจน์กล่าว 

(ภาษีการรับให้ 5% คือ ‘ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา’ ที่จัดเก็บจากทรัพย์สินที่ได้รับจากการให้โดยเสน่หา ก่อนผู้ให้เสียชีวิต ภาษีนี้มีขึ้นเพื่อให้สอดคล้องกับการจัดเก็บภาษีการรับมรดก และป้องกันการหลีกเลี่ยงภาษีมรดก)

จากนั้น วิโรจน์ ได้เปิดข้อมูลที่อ้างว่า นายกฯ มีพฤติกรรมทำ ‘นิติกรรมอำพราง’ ในการหนีภาษีการรับให้มาตั้งแต่ปี 2559 โดยวิโรจน์ได้เปิดข้อมูลหนี้สินของแพทองธารที่ยื่นต่อ ป.ป.ช. 9 รายการ มูลค่าหนี้สินรวม 4,434.5 ล้านบาท โดยนายกฯ ได้ยื่นเอกสารแนบ 9 แผ่น ดังนี้

  1. พินทองทา ชินวัตร คุณากรวงศ์ (พี่สาว) 4 ฉบับ รวมเป็นเงิน 2,388,724,095.42 บาท ชำระค่าหุ้นบริษัท พี.ที.คอร์ปอเรชั่น จำกัด, บริษัท เรนด์ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด, บริษัท เอสซี ออฟฟิซ พลาซ่า จำกัด และ บริษัท เอส ซี เค เอสเทต จำกัด โดยจะต้องเสียภาษีอย่างน้อย 118.9 ล้านบาท
  2. พานทองแท้ ชินวัตร (พี่ชาย) 1 ฉบับ เป็นเงิน 335,420,541 บาท ชำระค่าหุ้น บริษัท เรนด์ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด ต้องเสียภาษีอย่างน้อย 16.3 ล้านบาท
  3. บรรณพจน์ ดามาพงศ์ (ลุง) 2 ฉบับ เป็นเงิน 1,315,460,000 บาท ชำระค่าหุ้น บริษัท โอเอ ไอ แมนเนจเม้นท์ จำกัด และ บริษัท บี.บี.ดี. ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด ต้องเสียภาษีอย่างน้อย 65.3 ล้านบาท
  4. บุษบา ดามาพงศ์ (ป้าสะใภ้) 1 ฉบับ เป็นเงิน 258,400,000 บาท ชำระค่าหุ้น บริษัท บี.บี.ดี. ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด ต้องเสียภาษีอย่างน้อย 12.4 ล้านบาท
  5. คุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์ (มารดา) 1 ฉบับ เป็นเงิน 136,517,701.60 บาท ชำระค่าหุ้น บริษัท โอเอไอ คอนซัลแต้นท์ แอนด์ แมนเนจเม้นท์ จำกัด ต้องเสียภาษีอย่างน้อย 5.8 ล้านบาท
ฟังสองข้าง ‘หนีภาษีด้วยตั๋ว PN’ วิโรจน์ถาม นายกฯ ตอบ

วิโรจน์ ฟันธงว่า หนี้สินของนายกฯ 9 รายการดังกล่าว ไม่ใช่หนี้ในรูปแบบสัญญาเงินกู้ แต่เป็นหนี้ที่เรียกว่า 'ตั๋วสัญญาใช้เงิน' หรือ 'ตั๋ว PN'

(ตั๋วสัญญาใช้เงิน หรือ ตั๋ว PN ย่อมาจาก Promissory Note คือหนังสือตราสารซึ่งบุคคลคนหนึ่ง เรียกว่า ‘ผู้ออกตั๋ว’ หรือลูกหนี้ ให้คำมั่นสัญญาว่าจะใช้เงินจำนวนหนึ่งให้แก่บุคคลอีกคนหนึ่ง หรือใช้ให้ตามคำสั่งของบุคคลอีกคนหนึ่ง เรียกว่า ‘ผู้รับเงิน’)

ตั๋ว PN ถือเป็นเอกสารทางการเงินที่ใช้ในการกู้ยืมเงินกันอย่างถูกกฎหมาย โดยในเอกสารนั้นจะมีสัญญาลายลักษณ์อักษรว่า จะกำหนดใช้เงินคืนในระยะเวลาที่กำหนด รวมไปมีองค์ประกอบอย่าง ชื่อของผู้กู้ และผู้ให้กู้, เงินต้น, อัตราดอกเบี้ย, กำหนดวันชำระเงิน, วันสิ้นสุดการชำระเงิน ในบางกรณีอาจมีเงื่อนไขอื่นๆ ที่หากผู้กู้กระทำผิดตามข้อกำหนด ผู้ให้กู้อาจทำการยึดทรัพย์ตามที่กำหนดกันไว้

โดย วิโรจน์อ้างข้อมูลจากสำนักข่าวอิศราว่า ตั๋ว PN ทั้ง 9 ใบนี้ มีเงื่อนไขคือ ลูกหนี้จะชำระหนี้ค่าซื้อหุ้น ก็ต่อเมื่อ ‘เจ้าหนี้ทวงถาม’ โดยไม่มีดอกเบี้ย หมายความว่า หนี้สินทั้ง 9 รายการ มูลค่า 4,434.5 ล้านบาท จากเครือญาติของนายกฯ เป็นหนี้สินที่ไม่มีกำหนดเวลาการจ่ายเงิน และไม่มีดอกเบี้ย

...

ประเด็นคือ หากนายกฯ ได้รับหุ้นดังกล่าวจากการ ‘ให้’ นายกฯ ต้องเสียภาษีให้กับรัฐ 218 ล้านบาท แต่ถ้านายกฯ ได้รับหุ้นจากการ ‘ซื้อ’ นายกฯ จะไม่ต้องจ่ายภาษีเลยนั่นเอง

วิโรจน์ ตั้งข้อสงสัยว่า การซื้อหุ้นของนายกฯ จาก พี่สาว พี่ชาย ลุง ป้าสะใภ้ และแม่ ในครั้งนี้ อาจเป็นการใช้ตั๋ว PN ทำนิติกรรมอำพราง ซื้อปลอม ตบตาการได้หุ้นจากการ ‘ให้’ มาเป็นการซื้อหุ้น เพื่อหลีกเลี่ยงการจ่ายภาษีการรับให้ มูลค่ารวม 218.7 ล้านบาท ใช่หรือไม่

นายกฯ ตอบ เหตุที่ใช้ตั๋ว PN เพื่อทำธุรกิจอย่างเปิดเผย-โปร่งใส 

แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ลุกขึ้นตอบคำถามกรณีที่ วิโรจน์ ลักขณาดิศร สส. พรรคประชาชน อภิปรายไม่ไว้วางใจ โดยเขาตั้งประเด็นว่า แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ‘มีพฤติกรรมหนีภาษี’ ด้วยการออกตั๋ว PN ในการซื้อหุ้นจากเครือญาติ โดยมีเจตนาหลบเลี่ยงการจ่าย ‘ภาษีการรับให้’ มูลค่า 218.7 ล้านบาท

นายกฯ แพทองธาร ชี้แจงว่า ข้อกล่าวหาเรื่องการหนีภาษีนั้น ไม่เป็นความจริง และความจริงนั้นเป็นเรื่องตรงกันข้าม โดยตนได้แสดงบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินต่อ ป.ป.ช. ตั้งแต่วันที่ดำรงตำแหน่งฯ ได้ยื่นต่อ ป.ป.ช. ครบถ้วนตามขั้นตอน และ ณ ขณะนี้ก็อยู่ในกระบวนการตรวจสอบความถูกต้องโดย ป.ป.ช. จากคำร้องต่างๆ ตามขั้นตอนต่อไป 

“ดิฉันมีความยินดีและเต็มใจที่จะแสดงข้อมูลและหลักฐานทุกอย่างที่ ป.ป.ช. ขอมา ให้ความร่วมมือทุกประการจนกว่าจะได้ข้อสรุปจาก ป.ป.ช.”

ฟังสองข้าง ‘หนีภาษีด้วยตั๋ว PN’ วิโรจน์ถาม นายกฯ ตอบ

...

นายกฯ กล่าวว่า ในส่วนเรื่องธุรกรรมก่อนการดำรงตำแหน่ง ทรัพย์สินและกิจการของครอบครัว รวมถึงทรัพย์สินและหนี้สินของดิฉันและครอบครัวนั้น ถูกตรวจสอบอย่างเข้มข้นตั้งแต่การรัฐประหาร 19 ก.ย. 2549 และไม่เคยมีช่วงไหนที่ไม่เข้มข้นเลย ทุกบัญชี ทุกธุรกรรม อยู่ในสายตา เปิดเผย และโปร่งใสมานานมากแล้ว

นายกฯ ย้ำว่า ทรัพย์สินที่โดนตรวจสอบมาทั้งหมดนั้น ถูกต้องตามกฎหมาย ที่ดินทุกแปลง ทุกตารางวาที่ดิฉันและครอบครัวมี ออกโฉนดโดยรัฐทั้งหมด ไม่มีการซื้อที่ดินไม่มีโฉนด

ส่วนกรณีการทำธุรกรรมหุ้นนั้น นายกฯ ชี้แจงว่า เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อปี 2559 ก่อนเข้าสู่การเมืองหลายปี และเกิดขึ้นจากความตั้งใจในการปรับโครงสร้างการถือหุ้นของบริษัท โดยการซื้อขายผ่าน ตั๋ว PN เป็นหนังสือให้คำมั่นสัญญาว่าจะใช้เงินคืนตามระยะเวลาที่กำหนดไว้ ซึ่งหนังสือดังกล่าวได้ติดอากรแสตมป์ตามกฎหมาย ซึ่งการซื้อขายแบบนี้ บางรายการยังไม่มีการเสียภาษี เหตุเพราะยังไม่มีการชำระเงิน ทำให้ยังไม่ทราบจำนวนและยังเสียภาษีไม่ได้

“การซื้อขายแบบนี้ เป็นภาระหนี้สินของดิฉันซึ่งเป็นผู้ซื้อและครอบครัวซึ่งเป็นผู้ขาย จริงๆ มันก็ชัดเจนอยู่แล้วว่าไม่ได้มีนิติกรรมอำพรางใดๆ เพราะยอดหนี้ทั้งหลายก็แสดงชัดเจนอยู่ในบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินของดิฉันอยู่แล้ว และได้ยื่น ป.ป.ช. ไปหมดแล้ว”

นายกฯ อธิบายเรื่องของตั๋ว PN ระบุว่า เรื่องตั๋ว PN หรือการปรับโครงสร้างการถือหุ้นต่างๆ ที่กล่าวไปนั้น ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่เป็นเรื่องที่ทำกันมาเป็นปกติอยู่แล้ว และถามกลับไปยังผู้อภิปรายว่า “ลองถาม สส.ฝ่ายค้านในพรรคท่านเองก็ได้ว่ามีการทำอะไรประมาณนี้ไหม เคยทำตั๋วสัญญาการใช้หนี้แบบนี้บ้างไหม ลองถามดูนะคะ”

ส่วนกรณีที่ วิโรจน์ แสดงความกังวลว่า การใช้ตั๋ว PN เช่นนี้ จะเป็นตัวอย่างที่นำไปสู่การใช้เป็นเครื่องมือตัดสินบน คอร์รัปชัน ธุรกิจฟอกเงิน ฯลฯ

...

นายกฯ ชี้แจงว่า เรื่องดังกล่าวถือว่าจินตนาการเกินไปเยอะ เพราะการออกตั๋วสัญญา PN นั้น จะใช้เฉพาะธุรกิจถูกกฎหมาย ดำเนินการได้โดยเปิดเผย และฝ่ายผู้ซื้อและผู้ขายรับภาระหนี้สินระหว่างกัน ไม่มีการกระทำนอกกฎหมายใดๆ นั่นเพราะการออกตั๋วสัญญา PN โดยระบุที่มาของเงินไม่ได้ นั้นไม่สามารถทำได้ ดังนั้น เหตุผลที่ตนเลือกใช้วิธีออกตั๋ว PN นั้น เป็นเพราะนี่คือการดำเนินการทางธุรกิจอย่างเปิดเผย ไม่สามารถแอบทำได้ และต้องถูกกฎหมาย

อีกทั้งการปรับโครงสร้างหุ้นเมื่อปี 2559 นั้น จำเป็นต้องใช้การซื้อขายหุ้น ทว่า ณ เวลานั้น ตนไม่มีความพร้อมที่จะชำระค่าหุ้นด้วยเงินสด จึงทำตั๋วสัญญาใช้หนี้ PN แทน และแสดงเอกสารต่อ ป.ป.ช. ไปเรียบร้อยแล้ว รวมถึงได้พูดคุยกันในครอบครัวถึงแผนการชำระเงินแล้วด้วย โดยการชำระเงินรอบแรกจะเกิดขึ้นภายในปีหน้า 2569 โดยเป็นเรื่องที่ตนและครอบครัวตกลงกัน

“แน่นอนว่า เมื่อมีการซื้อขายเกิดขึ้น หลักฐานต่างๆ จะปรากฏในบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินของดิฉันแน่นอน โดย ป.ป.ช. ก็ตรวจได้อีกเช่นกัน อย่างไรก็ดี เมื่อมีการต้องซื้อขายและต้องจ่ายภาษี อย่างไรก็ไม่สามารถหลบเลี่ยงการจ่ายภาษีได้อยู่แล้ว”