20 มีนาคม องค์กร Protection International (PI) เปิดตัวรายงาน 'การต่อต้านคือพลัง' เสริมสร้างกลไกคุ้มครองผู้หญิงนักปกป้องสิทธิมนุษยชน และนักปกป้องสิทธิมนุษยชนในประเทศไทย พร้อมจัดเวทีเสวนา 'รัฐบาลเพื่อไทยอยู่ดาวดวงไหน ในกลไกการคุ้มครองผู้หญิงและนักปกป้องสิทธิมนุษยชน' โดยมีตัวแทนผู้หญิงและนักปกป้องสิทธิมนุษยชนร่วมงาน พร้อมทั้งตัวแทนสถานทูต เช่น สวีเดน ฝรั่งเศส และเยอรมณี รวมทั้งสหภาพยุโรปและ สำนักงานข้าหลวงใหญ่เพื่อสิทธิมนุษยชนแห่ง สหประชาชาติ (UHCHR)
เปิดข้อเสนอเสริมสร้างกลไกผู้หญิง และนักปกป้องสิทธิมนุษยชน
ปรานม สมวงศ์ และสุธิรา เปงอิน ตัวแทน Protection International (PI) แถลงเปิดรายงาน จากการลงพื้นที่รับฟังเสียงสะท้อนและข้อเสนอแนะจากผู้หญิงและนักปกป้องสิทธิมนุษยชนกว่า 110 คนทั่วประเทศไทย โดยมีเนื้อหาที่สำคัญว่า ผู้หญิงและนักปกป้องสิทธิมนุษยชนในประเทศไทยยืนหยัดต่อสู้ ในการปกป้องแผ่นดิน ทรัพยากร ความยุติธรรมด้านสิ่งแวดล้อม สิทธิแรงงาน เสรีภาพขั้นพื้นฐาน และความเป็นธรรมภายใต้ภาวะของทุนผูกขาด ทำให้ภายใต้ความกล้าหาญนี้กลับถูกตอบแทนด้วย การกดขี่เชิงโครงสร้าง การดำเนินคดีที่ไม่เป็นธรรม การใช้กระบวนการยุติธรรมในการคุกคาม การสอดแนม และการใช้ความรุนแรง

...
สะท้อนจากการที่ประเทศไทย เป็นประเทศที่มีคดีฟ้องร้องเชิงยุทธศาสตร์ต่อการมีส่วนร่วมของสาธารณะ (SLAPPs) มากที่สุดในอาเซียน จากรายงานของ Protection International พบว่า ตั้งแต่หลังรัฐประหาร ในเดือนพฤษภาคม 2557 - กุมภาพันธ์ 2568 พบว่า มีผู้หญิงและนักปกป้องสิทธิมนุษยชนถูกฟ้องปิดปากทั้งหมด 595 คดี จาก 13 ฐานความผิด โดยทุกเดือนจะมีอย่างน้อยสองคนที่ต้องเผชิญการถูกใช้กระบวนการยุติธรรมในการคุกคามในฐานความผิดต่างๆ ทั้งกฎหมายหมิ่นประมาท, พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์, ข้อหายุยงปลุกปั่น, ละเมิดกฎหมายการชุมนุมสาธารณะ, ความผิดฐานขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าพนักงาน, คดีความผิดตาม พ.ร.บ. คนเข้าเมือง พ.ศ.2522 และ พ.ร.ก.การบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว
ขณะที่กองทุนยุติธรรมซึ่งควรเป็นที่พึ่งของผู้หญิงและนักปกป้องสิทธิมนุษยชน กลับเต็มไปด้วยเงื่อนไขยุ่งยากจากระบบ และเจ้าหน้าที่ผู้ขาดความรู้ความเข้าใจปฏิเสธไม่ให้เข้าถึง ทำให้ผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือมากที่สุดคือผู้หญิงและนักปกป้องสิทธิมนุษยชนกลับเข้าไม่ถึงสิทธิของตนเอง
นอกจากนี้ยังต้องเผชิญกับอำนาจของกลุ่มทุนที่ละเมิดสิทธิมนุษยชน เช่น การต่อต้านโครงการเหมืองแร่ โครงการพัฒนาขนาดใหญ่และการละเมิดสิทธิแรงงานกำลังถูกคุกคามหนักขึ้น โดยภาคธุรกิจใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือเพื่อกำจัดการเคลื่อนไหวเพื่อความเป็นธรรมและการปกป้องสิทธิมนุษยชนของพวกเธอ
ดังนั้นข้อเรียกร้องดังนี้
- กระทรวงยุติธรรมต้องมีคำนิยามและมีการรับรองทางกฎหมาย และการคุ้มครองผู้หญิงนักปกป้องสิทธิมนุษยชนและนักปกป้องสิทธิมนุษยชน ให้สอดคล้องกับ ปฏิญญาสหประชาชาติว่าด้วยนักปกป้องสิทธิมนุษยชน (1998) เนื่องจากปัจจุบันเจ้าหน้าที่กระทรวงยุติธรรมยังไม่เข้าใจว่านักปกป้องสิทธิคือใคร
- ยุติคดีฟ้องร้องเชิงยุทธศาสตร์ต่อการมีส่วนร่วมของสาธารณะ และการใช้กระบวนการยุติธรรมในการคุกคามอย่างเด็ดขาด ผ่านการออกกฎหมายต่อต้าน SLAPPs โดยทันทีและกฎหมายนี้ต้องมีผลผูกพันทางกฎหมายที่ใช้บังคับ
- การปฏิรูปกองทุนยุติธรรม ให้สามารถเข้าถึงได้โดยแท้จริง ลดข้อจำกัดที่เป็นอุปสรรค และรับรองว่าผู้หญิงนักปกป้องสิทธิมนุษยชนและนักปกป้องสิทธิมนุษยชนจะได้รับการสนับสนุนทางการเงินอย่างเป็นธรรม และทันท่วงทีจากที่ในปัจจุบันนักปกป้องสิทธิบางคนใช้เวลานานกว่า 33 เดือนก็ยังไม่ได้รับการช่วยเหลือแต่อย่างใด
- สร้างความรับผิดชอบของรัฐและภาคธุรกิจ ในการปกป้องผู้หญิงและนักปกป้องสิทธิมนุษยชน โดยกำหนดมาตรการคว่ำบาตรและกลไกตรวจสอบที่เข้มงวด
- ฟื้นฟูความเป็นอิสระของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เพื่อให้สามารถทำงานด้านสิทธิมนุษยชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ปราศจากอิทธิพลทางการเมืองและการแทรกแซงจากหน่วยงานความมั่นคงและทหาร
นอกจากนี้ยังมีข้อเสนอต่อสำนักงานข้าหลวงใหญ่เพื่อสิทธิมนุษยชนของสหประชาชาติ ในการทำงานกับนักสิทธิมนุษยชนกับชุมชนเช่นสถานการณ์ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ซึ่งต้องแก้ปัญหาจากรากเหง้าต้นเหตุความรุนแรงดังนั้นจึงต้องยกเลิกกฎอัยการศึกหรือกฎหมายพิเศษต่างๆที่ละเมิดสิทธิประชาชนและเป็นการลงทุนที่ไม่ชอบธรรมเช่นโครงการแลนด์บริดจ์
“การต่อต้านคือพลัง ถึงเวลาที่เราทุกคนต้องลุกขึ้นสู้ เพื่อให้ผู้หญิงนักปกป้องสิทธิมนุษยชน และนักปกป้องสิทธิมนุษยชนไม่ใช่เหยื่อของการละเมิดสิทธิอีกต่อไป แต่เป็นแรงขับเคลื่อนแห่งการเปลี่ยนแปลง และเป็นพลังที่ผลักดันสังคมไทยไปสู่อนาคตที่มีความเป็นธรรม และการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนอย่างแท้จริง ไม่ใช่เพียงแค่คำมั่นสัญญาที่ไร้ความหมาย แต่เป็นการลงมือทำเพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลงที่จับต้องได้”
อังคณา นีละไพจิตร ประธานกมธ.การพัฒนาการเมืองฯ กล่าวว่า การคุกคามนักปกป้องสิทธิเมื่อ 20 ปีที่ผ่านมาคือการ ลอบสังหาร ทรมาน และบังคับสูญหาย ซึ่งคดีทั้งหมดไม่สามารถนำตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษได้ แต่รูปแบบการคุกคามใหม่ คือการฟ้องร้องดำเนินคดี ด้อยค่า มีการโจมตี การใช้เรื่องเพศเป็นเครื่องมือทำให้ไร้ค่า
“ตอนรัฐบาลแถลงนโยบายใช้คำสละสลวยเรื่องสิทธิมนุษยชน การมีหลักยุติธรรมและธรรมาภิบาล รวมทั้งไปรับคำมั่นจากต่างประเทศในการปกป้องสิทธิมนุษยชน แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นไม่ได้ที่การมีคำมั่นที่ดี แล้วจะเกิดการปฏิบัติ ตั้งแต่ปี 2548 จนถึงวันนี้ไม่มีการปฏิบัติจริง ทั้งนี้เห็นว่ารัฐบาลควรให้ความสำคัญกับการเยียวยาด้านจิตใจกับผู้หญิงนักปกป้องสิทธิ และต้องปฏิบัติตามกฎหมายที่คุ้มครองนักต่อสู้ปกป้องสิทธิ เช่น กฎหมายอุ้มหายทรมาน ขณะเดียวกันต้องยกเลิกการดำเนินคดีเพื่อปิดปากนักต่อสู้เรียกร้องสิทธิรวมถึงกระทรวงยุติธรรม” อังคณาระบุ
...

ด้าน ธนพร วิจันทร์ ผู้หญิงนักปกป้องสิทธิมนุษยชนด้านสิทธิแรงงาน กล่าวว่า ตนและเครือข่ายแรงงานถูกดำเนินคดีมาตั้งแต่สมัยรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จนมาถึงรัฐบาลเพื่อไทยการดำเนินคดีกับนักปกป้องสิทธิมนุษยชนไม่ได้ลดลงแต่อย่างใด ล่าสุดมีการรื้อคดีตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินปี 2564 ที่ยกเลิกไปนานมากแล้ว มาฟ้องร้องพวกตน ที่ไปเรียกร้องให้มีการฉีดวัคซีนโควิดให้กับแรงงานข้ามชาติ
“ไม่ใช่หน้าที่บทบาทของรัฐที่จะต้องมาฟ้องประชาชน แต่ควรที่จะแก้ไข วันนี้ต้องถามว่ากระบวนการยุติธรรมของรัฐบาลเพื่อไทย อยู่ไหน ยุติธรรมกี่โมง ขอให้รัฐบาลทำอะไรสักเรื่องให้ประชาชนได้หรือไม่ ไม่รู้ว่ารัฐบาลเพื่อไทยทำเพื่อใคร สิ่งที่เราเห็นคือกลุ่มทุน และพวกพ้อง พรรคเพื่อไทยหัวใจคือประชาชนตรงไหน พรรคเพื่อไทยหัวใจคือทักษิณ” ธนพร กล่าว

...
แฉ จนท.รัฐ ตามติด คุกคาม-ล่อไปพื้นที่เสี่ยง หวังยัดคดีให้
สมปอง เวียงจันทร์ จากสมัชชาคนจนเขื่อนปากมูล กล่าวว่า เมื่อออกมาคัดค้านเขื่อนปากมูล ตนถูกตั้งข้อกล่าวหาในคดีกบฎซึ่ง เป็นข้อกล่าวหาที่รุนแรงมาก ทั้งที่พวกตนปกป้องแม่น้ำมูลแหล่งอาหารที่ใหญ่ที่สุดของชาวบ้าน นอกจากนี้ยังต้องเจอกับการคุกคามจากเจ้าหน้าที่รัฐ ที่มาติดตามตนและพยายามให้พวกตนไปในสถานที่ที่เสี่ยงกับการถูกดำเนินคดี เพื่อยัดเยียดข้อกล่าวหาร้ายแรงให้ จนสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นกับรัฐบาลที่ถูกเลือกตั้งเข้ามา แทนที่จะแก้ปัญหาให้ชาวบ้านในเรื่องที่สิทธิทำกินสิทธิที่อยู่อาศัย แต่กลับมาใช้กฎหมายมากดทับพวกตน ส่วนตัวเห็นว่ารัฐบาลประชาธิปไตยควรให้สิทธิชาวบ้านในการเรียกร้องและปกป้องชาวบ้านที่รักษาสิทธิในการปกป้องแม่น้ำ

ถามหาความเป็นมนุษย์ แม่ไปรับศพลูก ยังถูกฟ้อง?
ขณะที่ อัสมาดี บือเฮง นักปกป้องสิทธิมนุษยชน และนักข่าวพลเมืองชายแดนใต้ กล่าวว่าในช่วงโควิด 19 มีชาวบ้านในพื้นที่ถูกวิสามัญกว่า 60 ราย ตนก็เช่นเดียวกันที่ถูกดำเนินคดี หลังจากเขาไปสังเกตการณ์ในเหตุการณ์ที่แม่พยายามเข้าไปรับศพลูกชายที่ถูกวิสามัญ ทำให้เกิดคำถามขึ้นมากมายต่อกระบวนการยุติธรรม โดยเฉพาะคำถามต่อความเป็นมนุษย์ ที่ลูกชายตาย และแม่ถูกดำเนินคดี ทั้งที่ปัญหาในจังหวัดชายแดนใต้จะต้องใช้การเมืองแก้ปัญหา แต่กลับใช้กฎหมายมาทำร้ายประชาชน นอกจากนี้ยังดำเนินคดีในการจัดเวทีเสวนาของนักศึกษาโดย กอ.รมน. ซึ่งสะท้อนว่าไม่ใช่แค่การใช้กฎอัยการศึก ยังใช้ พ.ร.บ.ความมั่งคงภายในด้วย ทำให้ กอ.รมน. มีอำนาจมากและเกิดการแทรกแซงทุกกิจการ
...
“รัฐบาลเพื่อไทยมีบาดแผลในคดีตากใบ และรัฐบาลก็เป็นอีกหนึ่งเงื่อนไขที่ทำให้กอ.รมน.เดินหน้านโยบายการปราบปรามใหญ่ขึ้น และรัฐบาลในปัจจุบันก็ไม่มีเจตจำนงทางการเมืองแต่อย่างใด ไม่เหมือนกับรัฐบาลยิ่งลักษณ์ที่ยังมีการเจรจาสันติภาพ ทำให้การไปเยือนของนายทักษิณ ชินวัตรทั้งสองครั้งมีแรงเหวี่ยงกลับมาอย่างมีนัยยะสำคัญ อยากฝากให้ทุกคนติดตามการดำเนินคดีภาคประชาชนในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งจะเป็นจุดวิกฤตเปลี่ยนสถานการณ์ให้รุนแรงมากขึ้นได้” อัสมาดี ระบุ

ขณะที่ ชลธิชา แจ้งเร็ว สส.พรรคประชาชน กล่าวว่า ในฐานะที่เป็นผู้ต้องหาและจำเลยรวม 28 คดี จึงเข้าใจถึงปัญหาของผู้หญิงนักปกป้องสิทธิที่ได้รับการคุกคามต่างๆ โดยเฉพาะการคุกคามบนโลกออนไลน์ในมิติทางเพศ ซึ่งส่งผลกระทบในเชิงสภาพจิตใจของคนที่ลุกขึ้นมาต่อสู้อย่างมาก ทำให้บรรยากาศการเคลื่อนไหวหดแคบลง หรือแม้แต่งานการเมืองเองก็ไม่ได้มีการสร้างบรรยากาศความปลอดภัยให้กับผู้หญิงในการทำงานการเมืองแต่อย่างใด
“ดัชนีชี้วัดประชาธิไตยของประเทศ ไม่ได้ดูแค่กลไกของการเลือกตั้ง แต่เพียงอย่างเดียว แต่รวมถึงความเข้มแข็งของภาคประชาสังคมด้วย ที่ผ่านมานักต่อสู้จำนวนมากถูกคุกคาม มีการจำกัดสิทธิเสรีภาพหนักขึ้นเรื่อยๆ พรรคเพื่อไทยเคยโฆษณาตัวเองเป็นพรรคการเมืองที่ยึดมั่นในประชาธิปไตย แต่ทำไมตัวเลขคดีความในยุคไม่ลดลง มีการหยิบคดีใน คสช. ขึ้นมาพิจารณาอีกครั้ง แม้แต่คนเป็นสส.เอง ก็ไม่ปลอดภัย ถูกฟ้องโดยรัฐมนตรี ไม่เห็นถึงแนวโน้มในทิศทางทีดีขึ้นเลย” ชลธิชา กล่าว
