"อดีตนายกฯ ทักษิณ" ออกไอเดีย "ซื้อหนี้ประชาชน" จากระบบธนาคารล้างเครดิตบูโร ให้เอกชนมาลงทุนโดยไม่ต้องใช้เงินรัฐ "นักวิชาการ" มองไม่ใช้เงินรัฐเป็นไปได้ยาก ห่วงทำให้ประชาชนเคยชิน เป็นหนี้แล้วไม่ต้องจ่าย
“เราจะซื้อหนี้ประชาชนทั้งหมดออกจากระบบธนาคารดีไหม แล้วให้ประชาชนค่อยๆ ผ่อน ไม่ต้องชำระเต็มจำนวน ให้เริ่มต้นชีวิตใหม่ ยกออกจากเครดิตบูโร ให้เป็นคนบริสุทธิ์ผุดผ่อง ทำมาหากินใหม่”
เป็นคำกล่าวตอนหนึ่งของอดีตนายกรัฐมนตรี ทักษิณ ชินวัตร ขณะลงพื้นที่ปราศรัยช่วยหาเสียงเลือกตั้งนายกเทศมนตรีนครพิษณุโลก เมื่อวันที่ 17 มี.ค. 2568 ที่ผ่านมา ระบุว่า ได้พูดคุยกับนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกฯ ว่าจะทำอย่างไรให้หนี้สินของคนไทยหมดไป และเกิดแนวคิด “ซื้อหนี้ประชาชน” ออกจากระบบธนาคาร ล้างเครดิตบูโร และเปิดให้ภาคเอกชนมาลงทุนโดยไม่ต้องใช้เงินรัฐสักบาท แต่อย่างไรก็ดี นายทักษิณบอกว่า นี่เป็นแค่การ “คิดดังๆ ยังไม่บอกว่าจะทำ”
ต่อมา 18 มี.ค. นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง กล่าวถึงแนวคิดของนายทักษิณ ว่าจะเป็นไปได้หรือไม่ต้องดูข้อมูลและความเห็นจากทุกฝ่ายก่อน และในวันนี้ที่ตนจะพบกับสมาคมธนาคาร จะนำเรื่องนี้มาหารือด้วย (อ่านข่าว : “พิชัย” ยัน ซื้อหนี้ธนาคาร คิดก่อน “ทักษิณ” เตรียมคุยสมาคมธนาคาร)
ทีมข่าวไทยรัฐออนไลน์ พูดคุยประเด็นนี้กับ ดร.นณริฏ พิศลยบุตร นักวิชาการอาวุโสด้านเศรษฐศาสตร์สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) ว่าแนวคิดนี้เป็นไปได้จริงหรือไม่ และจะส่งผลอย่างไรกับประเทศไทยบ้าง?
...

สถานการณ์หนี้ในปัจจุบัน
ดร.นณริฏ เปิดเผยว่า ในปัจจุบันประเทศไทยอยู่ในสถานการณ์ที่ ตลาดสินเชื่อตึงตัว จากปัจจัยด้านโครงสร้าง เนื่องจากระดับหนี้ครัวเรือนของไทยสูง ในขณะที่เศรษฐกิจก็ไม่เติบโต ทั้งยังมีผลพวงจากโควิด-19 ทำให้ปริมาณหนี้สูงมาก ทั้งหนี้ SM (Special Mention Loan: ยอดหนี้ที่ต้องจับตาเป็นพิเศษ) และหนี้ NPL (Non-Performing Loan: หนี้เสีย) ขณะเดียวกันสถาบันการเงินก็จะไม่อยากปล่อยกู้เพิ่ม เพราะกลัวปล่อยแล้วจะไม่ได้รับการชำระคืน ทำให้เศรษฐกิจย่ำแย่มากขึ้นไปอีก เกิดเป็นวงจรอุบาทว์แบบหนึ่ง
กลไกการแก้ไขหนี้ที่มีอยู่ในตลาดปัจจุบัน ทั้งธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงินต่างๆ จะมีการตัดจำหน่ายหนี้เสียและหนี้ที่เสี่ยงจะเสียออกไปอยู่แล้ว และมอบหนี้บางส่วนให้กับบริษัทเอกชนหรือธุรกิจที่มีความชำนาญในการจัดการหนี้รับไปดูแลต่อ โดยบริษัทเหล่านี้จะรับหนี้มาในราคาที่ต่ำกว่ายอดหนี้ และจะไปตามไล่เก็บจากลูกหนี้เสีย โดยอาจจะออกดีลให้ เช่น ให้ลูกหนี้ชำระเงินแค่ 20-30% แล้วจะยกหนี้ให้แลกกับการไม่ต้องเข้าสู่กระบวนการฟ้องร้อง
ขณะเดียวกันทางธนาคารแห่งประเทศไทย ก็มีความพยายามในการจัดการหนี้อย่างต่อเนื่อง ที่ผ่านมามีการออกโครงการแก้ไขปัญหาหนี้หลายโครงการ เช่น คุณสู้เราช่วย ที่ให้คนที่เป็นหนี้แล้วจ่ายไม่ไหวไปลงทะเบียนแล้วปรับพฤติกรรมและจะมีการลดหนี้ให้ ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นกลไกทั่วไปในการจัดการหนี้ แต่ประเด็นคือใช้เวลาค่อนข้างนาน
“กลไกเหล่านี้เป็นกลไกที่มีและดำเนินอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าทำได้ในสเกลที่จำกัด เพราะหนี้มีขนาดใหญ่มาก จากการพูดคุยและรับฟังจากผู้เชี่ยวชาญประเมินกันว่าต้องใช้เวลาอย่างน้อย 3-5 ปี กว่าสถานการณ์หนี้จะกลับมาเป็นปกติ หมายความเศรษฐกิจจะฝืดเคือง ปล่อยเงินกู้ยาก”
ทั้งนี้ตนเห็นด้วยกับคุณทักษิณ ว่าเรื่องนี้เป็นปัญหาใหญ่ที่ควรได้รับการแก้ไข แต่ไม่เห็นด้วยในแง่ของวิธีการ และมองว่าอาจทำให้ปัญหาแย่ลงไปอีก

...
ซื้อหนี้ประชาชนโดยไม่ใช้เงินรัฐ เป็นไปแทบไม่ได้
ดร.นณริฏ กล่าวต่อว่า ไอเดียการซื้อหนี้ของประชาชนโดยไม่ใช้เงินภาครัฐแต่ใช้กลไกเอกชนดำเนินการ ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมาก เพราะกลไกการจัดการหนี้เสียของเอกชนตอนนี้ก็ทำงานเต็มพิกัดอยู่แล้ว ตนจึงไม่เชื่อว่าจะมีเงินเหลือมาจัดการกับเรื่องนี้ได้โดยที่ภาครัฐไม่ต้องออกเงินอะไรเลย โดยมองว่ารูปแบบที่เป็นไปได้ คือ
1. ภาครัฐเข้าไปจัดการเองทั้งหมด คือ รับหนี้ไปแก้ไขเองโดยตรง ด้วยการตั้งกองทุนหรือนำงบประมาณของประชาชนไปต่อรองขอซื้อหนี้ต่อจากธนาคารและสถาบันการเงินต่างๆ ในราคาที่ต่ำกว่ายอดหนี้ และให้ลูกหนี้จ่ายกับภาครัฐ
2. ภาครัฐเข้าไปอุดหนุนให้ตลาดทำงาน คือ ไปคุยกับบริษัทที่มีความชำนาญในการจัดการหนี้ โดยภาครัฐให้ส่วนลดหรือผลประโยชน์เพิ่มเติม เช่น หากบริษัทเอกชนไปซื้อหนี้มาจัดการ ภาครัฐจะช่วยออกเงินให้ 20-30% วิธีนี้เป็นการเอางบประมาณของประเทศไปอุดหนุนเพื่อทำให้เกิดตลาดขึ้น ซึ่งกลไกนี้จะคล้ายกับ บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) ที่เป็นหน่วยงานรัฐวิสาหกิจภายใต้กระทรวงการคลัง ที่ไปช่วยเป็นค้ำประกันให้ SME ขอสินเชื่อกับธนาคาร วิธีนี้จะช่วยให้รัฐใช้งบประมาณน้อยลงและไม่ต้องดำเนินการเอง
“ตอนนี้ภาคเอกชนซื้อหนี้เต็มที่แล้ว หนี้ที่เหลืออยู่เป็นหนี้ที่เสี่ยงมาก ถ้าอยากให้เอกชนเข้ามาเล่นในตลาดนี้มากขึ้น รัฐก็ต้องเข้ามาร่วมจ่ายบางอย่าง แต่ขนาดโครงการอาจไม่ต้องใหญ่มากและไม่ต้องแก้หนี้ทั้งหมด แต่แก้ในระดับหนึ่งที่คิดว่าเราพอมีงบประมาณ เช่น แทนที่จะไปแจกเงินดิจิทัล ก็ผันมาสัก 2-3 หมื่นล้านมาร่วมจ่ายแก้ไขปัญหาหนี้ คิดว่าเป็นไอเดียที่น่าสนใจมากกว่าการแจกเงิน”
...

ห่วงทำคนเคยชิน เป็นหนี้แล้วไม่ใช้คืน
ดร.นณริฏ ระบุว่า การที่ประเทศจะเดินหน้าต่อไปได้โดยได้รับการยอมรับ โครงสร้างสถาบันการเงินไม่พังทลาย ทุกคนต้องยึดหลักการ “เป็นหนี้แล้วต้องจ่าย” เมื่อไหร่ก็ตามที่คุณเลือกจะเป็นหนี้ก็ต้องยอมรับภาระให้ได้ หากไม่รักษาหลักการนี้แล้ว ระบบเศรษฐกิจจะมีปัญหาทันที เพราะไม่สามารถเชื่อถือใครได้อีกต่อไปว่าหากทำสัญญากู้ยืมแล้วจะชำระหนี้
ดังนั้น สิ่งที่ภาครัฐควรระวังหากจะเข้ามาแทรกแซง คือต้องไม่ทำลายหลักการนี้ และไม่ทำให้เกิดพฤติกรรมเป็นหนี้แล้วไม่จ่าย
ดร.นณริฏ ยกตัวอย่างในภาคการเกษตรของไทย ที่มองว่าปัจจุบันหลักการนี้เริ่มถูกทำลายแล้ว เนื่องจากเป็นภาคส่วนที่รัฐเข้าไปแทรกแซงเยอะ เช่น ออกนโยบายช่วยพยุงหนี้ ลดดอกเบี้ย ยืดระยะเวลาการชำระหนี้ ฯลฯ จนตอนนี้เอกชนแทบไม่เข้ามาเล่นในตลาดนี้ละมีภาครัฐเป็นหน่วยงานหลักในการดำเนินการ โดยพบว่าเกษตรกรหลายคนมียอดหนี้ที่ไม่น่าจะชำระคืนได้หมดในช่วงชีวิตนี้ หมายความว่าผู้กู้รู้อยู่แล้วว่าหากวันหนึ่งเขาเสียชีวิตไป ยอดหนี้จะหายไปตามกฎหมายและไม่อาจไปฟ้องร้องเอากับลูกหลานได้ เกิดเป็นความเชื่อว่าเราสามารถกู้ได้เรื่อยๆ โดยที่วันหนึ่งธนาคารของรัฐจะเป็นผู้รับภาระ
...
การศึกษาของสถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์ สะท้อนให้เห็นว่าการที่ภาครัฐเข้าไปช่วยภาคเกษตร ทั้งการออกนโยบายลดหนี้ ยกหนี้ต่างๆ ไม่ได้ช่วยให้เกษตรกรหลุดพ้นจากกับดักหนี้หรือมีคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ท้ายที่สุดแล้วเกษตรกรก็ยังมีหนี้เยอะเหมือนเดิม เมื่อลดหนี้ไปส่วนหนึ่งก็มีการก่อหนี้ใหม่ในจำนวนที่ไม่แตกต่างจากเดิม
ซึ่งแนวคิดการซื้อหนี้จากประชาชน จะรวมไปถึงตลาดอีกเยอะมาก เช่น ตลาดสินเชื่อที่อยู่อาศัย, ตลาดสินเชื่อรถยนต์, ตลาด SME, ตลาดบัตรเครดิต ถ้าภาครัฐเข้ามาแทรกแซงและทำให้เกิดพฤติกรรมที่ไม่ดีแบบเดียวกันจะเป็นอันตรายอย่างมาก เพราะท้ายที่สุดในอนาคต คนอาจจะไม่อยากชำระหนี้เพราะคิดว่าเดี๋ยวภาครัฐก็มาซื้อหนี้เสียไป ทำลายหลักการเป็นหนี้ต้องจ่าย เป็นการเอาปัญหาออกไปเพียงชั่วคราวเท่านั้นแต่ไม่ได้แก้ไขในระยะยาว
“เปรียบเทียบว่าเราเจอปัญหาน้ำไม่ไหล ก็ไปเอาน้ำจากที่อื่นมาให้ใช้ก่อน แต่ไม่ได้แก้ไขหรือหาสาเหตุว่าทำไมน้ำไม่ไหล เรื่องนี้ก็เช่นเดียวกัน คุณเอาปัญหาออกไปได้เพียงชั่วคราว แต่ไม่ได้เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของเขา ก็ไม่มีทางที่ในท้ายที่สุดเขาจะกลับมาเป็นคนหนี้น้อยได้”