วันที่ 15 มี.ค. 2568 คณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) ร่วมกับสภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ จัดงานเสวนาในหัวข้อ “จริยธรรมกับกฎหมายสื่อ: โลกอนาคตของคนสื่อ 2025” เพื่ออัปเดตข้อมูลสถานการณ์วงการสื่อสารมวลชน ในยุคที่ปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI (Artificial Intelligence) เข้ามามีส่วนร่วมในชีวิตและการทำงานมากขึ้น สื่อมวลชนควรต้องวางตัวอย่างไร และปรับใช้ AI อย่างไรเพื่อให้เกิดประโยชน์แก่สื่อมวลชนและผลประโยชน์ของสาธารณะ ควบคู่ไปกับแนวทางกฎหมายและมาตรฐานทางจริยธรรม 

อนาคตสื่อมวลชนไทย “กฎหมาย-จริยธรรม” ในยุค AI ครองเมือง

จริยธรรม AI 

ผศ.ดร.รัชฎา คงคะจันทร์ ผู้ช่วยอธิการบดีฝ่ายวิชาการ คณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน มธ. กล่าวว่า ในปัจจุบันเราไม่สามารถหลีกเลี่ยง AI ได้ แต่โจทย์คือเราจะอยู่กับ AI ได้อย่างไรมากกว่า

ในตอนนี้มีงานที่ AI ทำแทนมนุษย์ได้ 100% คืองานจำพวกที่ใช้เครื่องมือ เป็นระบบที่ตายตัว ขณะที่งานที่ AI ยังไม่สามารถทำแทนมนุษย์ได้ คืองานประเภทความคิดสร้างสรรค์ ความเป็นผู้นำ ความเห็นอกเห็นใจ การใช้วิจารณญาณตัดสินต่างๆ เพราะว่า AI ยังไม่พัฒนาไปถึงขั้นนั้น แต่ก็ไม่ใช่ว่า AI จะทำไม่ได้ในอนาคต

...

การปรับตัวในปัจจุบัน คือการที่ใช้ AI เป็นเครื่องมือในการช่วยขยายความรู้ รวบรวมข้อมูล และช่วยทำงานบางส่วนเพื่อให้งานมีประสิทธิภาพมากขึ้น แต่การเลือกใช้งาน AI ก็ต้องเลือกใช้อย่างมีจริยธรรม นอกจากจะใช้ AI ในการช่วยเราแล้ว เราก็ยังต้องช่วย AI ด้วย ด้วยการเทรนข้อมูลที่มีคุณภาพ เป็นธรรมไม่ลำเอียง และทำให้ AI มีความยั่งยืนและปลอดภัย

หลักจริยธรรมของ AI คือ

  1. ต้องมีการแข่งขันและพัฒนาอย่างยั่งยืน
  2. สอดคล้องกับกฎหมาย จริยธรรม และมาตรฐานสากล
  3. โปร่งใสและรับผิดชอบ ต้องอธิบายได้ว่าทำงานอย่างไร
  4. มีความปลอดภัยและเป็นส่วนตัว
  5. ครอบคลุม เท่าเทียมและเป็นธรรม ทุกคนสามารถใช้งานได้ ไม่ลำเอียง
  6. ต้องมีความน่าเชื่อถือ ถูกต้อง ถ้าเกิดข้อผิดพลาดขึ้นมายอมรับฟีดแบ็กและแก้ไข
ผศ.ดร.รัชฎา คงคะจันทร์ ผู้ช่วยอธิการบดีฝ่ายวิชาการ คณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน มธ.
ผศ.ดร.รัชฎา คงคะจันทร์ ผู้ช่วยอธิการบดีฝ่ายวิชาการ คณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน มธ.

“มีกรณีที่เอา AI มารับสมัครคนเข้าทำงาน ตำแหน่งวิศวกรและพบว่าผู้หญิงถูกปฏิเสธหมดเลย จนถึงมีการฟ้องร้องกันว่า AI ลำเอียง แต่จริงๆ แล้ว AI ถูกเทรนจากข้อมูลที่มี โดยเหตุการณ์นี้เกิดเมื่อปี 2018 และ AI ถูกเทรนด้วยข้อมูลย้อนหลัง 10 ปี ซึ่งสมัยนั้นวิศวกรหญิงมีไม่มาก AI จึงไม่ถูกเทรน พอเราเทรนข้อมูลที่ลำเอียง AI ก็เลยลำเอียง ดังนั้นหากเราจะใช้ AI ควรตรวจสอบก่อนว่าถูกเทรนมาอย่างบาลานซ์หรือเปล่า”

ในปัจจุบัน เราใช้งาน AI ในระดับ AI Agent เช่น ChatGPT, DeepSeek ที่สามารถทำงานแทนมนุษย์ได้บางส่วน แต่เราไม่สามารถปล่อยให้ AI ทำงานด้วยตัวเองโดยไม่รับผิดชอบได้ การนำ AI มาใช้ ผู้ใช้ต้องมีการประเมินความเสี่ยงของกิจกรรมที่จะเลือกใช้งานด้วย

อ้างอิงจากสหภาพยุโรป (อียู) ที่มีกฎหมายควบคุม AI เป็นที่แรกของโลก ได้แบ่งความเสี่ยงออกเป็น 4 ระดับ คือ เสี่ยงน้อย (Minimal Risk) คือ ใช้แล้วไม่มีผลกระทบกับใคร สามารถใช้ได้ทั่วไป, มีความเสี่ยงบางส่วน (Limited Risk) เช่น ดีปเฟค (Deep Fake) หากใช้ต้องมีความโปร่งใส ต้องแสดงตัวว่าเป็น AI

ความเสี่ยงสูง (High Risk) เช่น การจ้างงาน การบังคับใช้กฎหมาย การเข้าถึงบริการสาธารณะ รถยนต์อัตโนมัติ ในกรณีจะใช้งานได้ต้องได้รับการประเมินจากหน่วยงานที่มีอำนาจก่อน ว่ามีคุณสมบัติและจริยธรรมหรือไม่ และสุดท้ายคือ ความเสี่ยงสูงเกินรับได้ (Unacceptable Risk) ไม่ควรนำมาใช้งาน เช่น ใช้สอดส่องพฤติกรรมประชาชนและให้คะแนนทางสังคม (Social Scoring)

กฎหมาย AI และจริยธรรมสื่อ

รศ.คณาธิป ทองรวีวงศ์ คณะนิติศาสตร์ ผู้อำนวยการสถาบันกฎหมายสื่อดิจิทัล มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต กล่าวว่า ในปัจจุบันมีเพียงไม่กี่ประเทศที่มีกฎหมายควบคุม AI อย่างเป็นทางการ เช่น สหภาพยุโรป หรือบางรัฐในสหรัฐฯ

...

นิยามของ AI ในเชิงกฎหมายคือการที่เครื่องมือนำข้อมูลมาเรียนรู้ และสามารถตัดสินใจได้โดยปราศจากมนุษย์แทรกแซง และผลของการตัดสินใจนั้นกระทบกับมนุษย์ ตัวอย่างการกำกับ AI ตามกฎหมายสหภาพยุโรปจะไม่ได้เข้าไปควบคุมในทุกมิติ แต่เป็นการวางกรอบว่าจะจัดการความเสี่ยงของ AI อย่างไรบ้าง จากนั้นจะอาศัยกฎหมายอื่นเข้ามาช่วยกำกับเพิ่มเติม เช่น กฎหมายคุ้มครองผู้บริโภคและข้อมูลส่วนบุคคล 

รศ.คณาธิป ทองรวีวงศ์ คณะนิติศาสตร์ ผอ.สถาบันกฎหมายสื่อดิจิทัล มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต
รศ.คณาธิป ทองรวีวงศ์ คณะนิติศาสตร์ ผอ.สถาบันกฎหมายสื่อดิจิทัล มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต

ในปัจจุบัน AI กระทบกับวงการสื่อมวลชนหลักๆ คือ การละเมิดลิขสิทธิ์ของภาพและเนื้อหาที่ AI ดึงมาเทรนและสร้างขึ้นมาใหม่, ภาวะ AI หลอน (Hallucination) สร้างเนื้อหาที่ไม่ถูกต้องขึ้นมา และละเมิดข้อมูลส่วนบุคคล

...

หรือในอีกแง่มุมหนึ่ง หากเรานำ AI มาใช้เป็นเครื่องมือในการควบคุมเนื้อหาออนไลน์ ก็จะมีปัญหาตามมาเช่นกัน เนื่องจากกฎหมายไทยที่ถูกนำมาใช้ในคดีที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาออนไลน์ คือ กฎหมายหมิ่นประมาท ที่มีโทษทั้งทางแพ่งและอาญา และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ เรื่องการนำเข้าข้อมูลอันเป็นเท็จ ซึ่งมีการตีความที่กว้างและมักถูกนำมาใช้ฟ้องร้องในประเด็นวิพากษ์วิจารณ์หรือฟ้องปิดปากกัน ซึ่งในระดับสากลกฎหมายหมิ่นประมาทส่วนใหญ่เป็นแค่กฎหมายแพ่งเท่านั้นไม่มีโทษทางอาญา 

นอกจากเรื่องกฎหมายแล้ว ยังมีการเข้ามาปกปิดข้อมูล หรือเซ็นเซอร์ชิปของรัฐบาล ทั้งการปิดเว็บไซต์ต่างๆ ห้ามนำเสนอเนื้อหาบางอย่าง และแต่ละแพลตฟอร์มเองยังมีมาตรฐานชุมชน (Community Standard) ที่ตีความกว้างและกำกับมากกว่ากฎหมายร่วมด้วย 

ดังนั้นเมื่อ AI เรียนรู้และสร้างมาตรฐานว่าอะไรเหมาะสมหรือไม่เหมาะสม ควบคุมเนื้อหาตามที่กฎหมายหรือแพลตฟอร์มกำหนดไว้อย่างกว้าง ก็จะนำไปสู่การปิดกั้นเนื้อหาและจำกัดเสรีภาพในการพูด (Freedom of speech) ได้ โดยที่เจ้าของเนื้อหาโต้แย้งได้ยาก เพราะไม่มีมนุษย์อยู่ในระบบอีกแล้ว 

คุณจักรกฤษ เพิ่มพูล กรรมการนโยบายองค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย (ส.ส.ท.) กล่าวว่า ภูมิทัศน์ของสื่อในปัจจุบันเปลี่ยนไปจากอดีตมาก ตอนนี้ AI ทำได้ทุกอย่างตั้งแต่เรียบเรียง ค้นหาข้อมูล การเขียนข่าว จนถึงการเป็นผู้ประกาศข่าว ซึ่งก็มีคำถามตามมาว่าหากผู้ประกาศ AI ทำผิดพลาดหรือละเมิดจริยธรรม แล้วความรับผิดชอบจะตกอยู่ที่ใคร

ในด้านของจริยธรรมสื่อนั้น คุณจักรกฤษ ให้ความเห็นว่า ในโลกของสื่อมวลชนมีการทับซ้อนกันอยู่ระหว่างธุรกิจและอุดมการณ์ และปัญหาที่เกิดขึ้นในตอนนี้คือทั้งสองอย่างไปด้วยกันไม่ได้

...

คุณจักรกฤษ เพิ่มพูล กรรมการนโยบายองค์การกระจายเสียงและแพร่ ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย (ส.ส.ท.)
คุณจักรกฤษ เพิ่มพูล กรรมการนโยบายองค์การกระจายเสียงและแพร่ ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย (ส.ส.ท.)

อาชีพสื่อมวลชน มีลักษณะพิเศษคือต้องมีความรับผิดชอบ ต้องระวังทั้งเรื่องกฎหมายและจริยธรรม แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องมีเสรีภาพด้วย ซึ่งการ "ระวัง" นั้นต้องไม่ใช่การไม่กล้านำเสนอความจริงเพราะกลัวถูกฟ้อง ตราบใดที่สื่อยืนหยัดในหลักการ นำเสนอข้อเท็จจริงและเป็นประโยชน์ต่อสาธารณะก็ต้องพร้อมที่จะสู้คดี

ในส่วนของจริยธรรมมีความแตกต่างออกไป เพราะจริยธรรมไม่ได้มีสภาพบังคับเหมือนกฎหมาย ขึ้นอยู่กับจิตสำนึกส่วนบุคคล ตระหนักรู้ว่าข่าวสารที่นำเสนอมีผลกระทบอย่างไร ซึ่งข่าวที่สร้างเรตติ้งอาจไม่เข้าลักษณะเหล่านี้ก็ได้ ซึ่งต้องหาจุดสมดุลให้ได้ระหว่างความรับผิดชอบของสื่อและความอยู่รอดขององค์กร 

ไทยออกกฎหมายกำกับ AI และจริยธรรม ทำได้ไหม?

ผศ.ดร.รัชฎา มองว่า การออกกฎหมายบังคับนั้นเป็นกระบวนการปลายทาง ต้นทางคือการที่ทุกคนมีความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับเรื่องนั้นๆ สามารถใช้วิจารณญาณของตัวเองในการตัดสินได้ ส่วนจริยธรรมเป็นเรื่องสำคัญที่ควรต้องปลูกฝังตั้งแต่เด็ก เพราะสุดท้ายแล้วแม้จะมีกฎหมาย แต่ถ้าคนไม่มีจริยธรรมก็จะหาทางเลี่ยงอยู่ดี

นอกจากนี้การจะออกกฎหมายกำกับ AI ที่เบ็ดเสร็จครอบคลุมนั้นเป็นไปได้ยากมาก เพราะ AI พัฒนาตลอดเวลาและพัฒนาอย่างรวดเร็ว กฎหมายอาจจะตามไม่ทัน อีกทั้งการออกกฎหมายบังคับอย่างเข้มงวดก็อาจเป็นเส้นบางๆ ในการจำกัดกรอบไม่ให้เทคโนโลยีพัฒนา เราอาจจะต้องมาดูว่ากฎหมายพื้นฐานที่มีอยู่ทั้งหมดในขณะนี้ มีตัวไหนที่สามารถนำมาปรับใช้ได้บ้าง เช่น กฎหมายลิขสิทธิ์ กฎหมายการเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล เป็นต้น

อนาคตสื่อมวลชนไทย “กฎหมาย-จริยธรรม” ในยุค AI ครองเมือง

ด้าน รศ.คณาธิป มีข้อเสนอคือ อันดับแรกต้องทำให้สื่อพูดได้อย่างเสรี ไม่ควรต้องพะวงเรื่องถูกฟ้องขึ้นศาล จึงอยากเสนอว่า กฎหมายหมิ่นประมาทไม่ควรเป็นความผิดอาญา ควรเป็นแค่กฎหมายแพ่งเท่านั้น เพราะในกระบวนการกฎหมายแม้สื่อจะสามารถโต้แย้งได้ว่าเป็นการวิจารณ์อย่างสุจริตแต่ก็ต้องเสียเวลาและทรัพย์สินเพื่อต่อสู้คดี ทำให้สื่อบางคนกลัวและเลือกที่จะเซ็นเซอร์ตัวเองแต่แรก

ต่อมาในส่วนของกฎหมายกำกับ AI ไทยอาจจะนำโมเดลของสหภาพยุโรปมาปรับใช้ก็ได้ ในการประเมินความเสี่ยงของแต่ละกิจกรรม AI และเสริมกฎหมายตัวอื่นที่ยังขาดเพื่อให้การกำกับมีความรัดกุมมากขึ้น เช่น เรื่องการเข้ามามีส่วนร่วมของมนุษย์ (Human intervention) ความโปร่งใส เป็นต้น ขณะเดียวกันก็ควรแก้กฎหมายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ไม่ให้มีปัญหาการถูกตีความกว้างเกินไป 

“พฤติกรรมจาก AI กว้างมาก ส่งผลกระทบในหลายมิติ จึงไม่สามารถออกกฎหมายฉบับเดียวมาควบคุม AI ในทุกมิติได้ ประเทศที่มีกฎหมายกำกับ AI ไม่มีที่ไหนใช้กฎหมายเพียงฉบับเดียวแล้วตอบโจทย์ทั้งหมด แต่เป็นการเสริมปิดช่องโหว่จากกฎหมายที่มีอยู่แล้วมากกว่า เช่น เข้ามาตรวจสอบว่ากิจกรรม AI ไหนห้ามทำ บังคับให้มีความโปร่งใส ต้องระบุว่าเอาข้อมูลจากไหนมาเทรน”

ขอบคุณภาพ : คณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์