ฟังอีกมุม “บำนาญสูตรใหม่ CARE” คำนวณเฉลี่ยตลอดการทำงาน แก้ปัญหา ม.33 ย้ายมา ม.39 ได้บำนาญต่ำกว่าที่ควร “ภาคแรงงาน” ห่วงผู้ประกันตน ม.39 อาจต้องสมทบเงินเพิ่มขึ้น ขณะที่ ม.33 อาจเสียประโยชน์ได้บำนาญลดลง หลังเศรษฐกิจผันผวน ทำเงินเดือนไม่แน่นอน

ภายหลัง “บอร์ดประกันสังคม" มีมติเอกฉันท์เมื่อวันที่ 11 มี.ค. 2568 ที่ผ่านมา เห็นชอบสูตรคำนวณบำนาญแบบใหม่ ตามระบบ CARE (Career-Average Revalued Earnings) หรือ “เฉลี่ยตลอดการทำงาน ปรับเป็นค่าเงินปัจจุบัน” จากสูตรเดิมที่คิดจากฐานเงินเดือนแค่ 60 เดือนสุดท้าย (5 ปี) และหากสมทบเกิน 180 เดือน (15 ปี) ส่วนที่เกินจะได้เพิ่มปีละ 1.5% โดยผู้ประกันตน ม.33 จะคิดจากเพดานเงินเดือนไม่เกิน 15,000 บาท ขณะที่ ม.39 คิดจากเพดานเงินเดือนไม่เกิน 4,800 บาท 

ทำให้พบปัญหาคือ หากผู้ประกันตนส่ง ม.33 มาหลายปี แต่เปลี่ยนมาส่ง ม.39 ในภายหลัง เช่น ตกงาน, ลาออกมาทำฟรีแลนซ์ เงินบำนาญจะถูกคิดจากฐานเงินเดือน 4,800 บาท ทำให้ได้น้อยกว่าที่ควร ซึ่งสูตรคำนวณใหม่นี้จะเป็นการเฉลี่ยฐานเงินเดือนตลอดการทำงานทำให้คนกลุ่มนี้ได้รับเงินบำนาญที่เป็นธรรมมากขึ้น ขณะที่ผู้ประกัน ม.33 ที่ส่งฐาน 15,000 บาทมาโดยตลอด เมื่อเพดานขยับเป็น 17,500 บาท ในปี 2569 จะได้รับบำนาญเพิ่มขึ้น ส่วนกลุ่มที่ค่าจ้างต่ำกว่า 15,000 บาทจะได้บำนาญใกล้เคียงเดิม ขณะที่กลุ่มผู้ที่ฐานเงินเดือนต่ำเกือบตลอด แต่ไปเร่งสูงในช่วงท้ายบำนาญอาจจะลดลง

จากนี้จะมีการทำประชาพิจารณ์ กรอบ 90 วัน และในกลุ่มที่เกษียณอายุไปแล้วก็ได้รับผลการปรับสูตรนี้ด้วย คนที่ได้รับบำนาญอยู่ถ้าลดลงก็จะพิจารณาให้ได้เท่าเดิม แต่หากคนที่ได้รับบำนาญอยู่แล้วก็จะได้รับเพิ่มขึ้น (อ่านข่าว : "บอร์ดประกันสังคม" เห็นชอบปรับสูตรคำนวณบำนาญ ผู้ประกันตน ม.33 และ ม.39

...

ฟังอีกมุม “บำนาญสูตรใหม่” หวั่น ม.39 จ่ายสมทบเพิ่ม ม.33 เสียประโยชน์

ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ ได้พูดคุยกับ นายมนัส โกศล ประธานสภาองค์การลูกจ้างพัฒนาแรงงานแห่งประเทศไทย (สพท.) และประธานเครือข่ายประกันสังคมคนทำงาน (คปค.) เครือข่ายภาคประชาชนที่ผลักดันนโยบายประกันสังคมมาอย่างยาวนาน ถึงความเห็นที่มีต่อการคำนวณบำนาญสูตรใหม่นี้

นายมนัส กล่าวว่า สูตรคำนวณบำนาญใหม่นี้มาจากการผลักดันของทีมประกันสังคมก้าวหน้า ที่นำโดย รศ.ดร.ษัษฐรัมย์ ธรรมบุษดี ซึ่งเป็นตัวแทนฝ่ายผู้ประกันตนในบอร์ดประกันสังคม ซึ่งตนก็มองว่าก็เป็นสูตรที่ดี เช่นเดียวกับในเรื่องของการตรวจสอบความโปร่งใสที่ต้องให้เครดิต 

อย่างไรก็ดี ตนก็มีความกังวลว่าการใช้สูตรบำนาญใหม่นี้ เมื่อได้รับผลประโยชน์เพิ่มขึ้นจะทำให้ผู้ประกันตน ม.39 ต้องจ่ายเงินสมทบเพิ่มขึ้นด้วยหรือไม่ ซึ่งในส่วนนี้ยังไม่มีรายละเอียดที่ชัดเจน และมองว่า สูตรบำนาญใหม่นี้อาจจะทำให้ผู้ประกันตน ม.33 ซึ่งเป็นผู้ประกันตนส่วนใหญ่ เสียประโยชน์ก็เป็นได้ เนื่องจากสถานการณ์เศรษฐกิจในปัจจุบันทั้งในประเทศและทั่วโลกอาจไม่เอื้อกับสูตรคำนวณนี้ เพราะอาจมีช่วงที่ผู้ประกันตนตกงาน ขาดส่งเงินสมทบ ถูกเลย์ออฟไปเริ่มงานที่ใหม่ได้เงินเดือนลดลง เมื่อเอาช่วงนั้นมาคำนวณเฉลี่ยด้วยก็จะทำให้เงินเดือนเฉลี่ยลดลง

“เมื่อเปรียบเทียบสูตรเก่ากับสูตรใหม่นั้น มองว่าการคำนวณแทบไม่แตกต่างกัน ต่างกันเพียงช่วงเวลาที่นำมาคิด ซึ่งมองว่า ม.33 อาจจะเสียเปรียบด้วยซ้ำไป เพราะมีช่วงจังหวะที่เงินเดือนลดหรือเพิ่ม ซึ่งอาจมีช่วงที่ผู้ประกันตนว่างงานไป เช่น ตกงานในช่วงการระบาดโควิด-19” 

ส่วนที่มีการกล่าวว่า หากคำนวณตามสูตรใหม่แล้วได้บำนาญลดลงจะชดเชยให้เท่าสูตรเก่านั้น ตนมองว่าเป็นการโลกสวยและเป็นคำพูดทางการเมือง เพราะกฎหมายเขียนแบบนี้ไม่ได้ ต้องเขียนให้บังคับใช้อย่างเท่าเทียมกัน

 นายมนัส โกศล
นายมนัส โกศล

“มาตรา 39” หวังใช้สิทธิคุ้มครอง มากกว่าหวังเงินบำนาญ

ข้อมูลยอดผู้ประกันตนล่าสุด ณ เดือนมีนาคม 2568 จากสำนักงานประกันสังคม พบว่ายอดรวมอยู่ที่ 24.7 ล้านคน โดยแบ่งเป็นผู้ประกันมาตรา 33 จำนวน 12 ล้านคน มาตรา 39 จำนวน 1.7 ล้านคน และมาตรา 40 จำนวน 11 ล้านคน

นายมนัส กล่าวว่า ถ้าหากผู้ประกันตน ม.33 ฐานเงินเดือน 15,000 บาท ที่ส่งเงินสมทบครบ 180 เดือน (15 ปี) ออกจากระบบนายจ้าง-ลูกจ้าง ก็อาจเลือกไม่ส่ง ม.39 ต่อ เมื่อมีกรณีเจ็บป่วยก็ไปใช้สิทธิบัตรทองแทน เมื่ออายุครบ 55 ปี ก็จะได้รับเงินบำนาญในเรทที่มากกว่า ม.39 และจากการพูดคุยกับภาคแรงงานพบว่า ผู้ประกันตน ม.39 ส่วนใหญ่ไม่ได้ส่งเงินสมทบเพื่อหวังเงินบำนาญอยู่แล้ว แต่เลือกจ่ายเงินสมทบเพื่อใช้สิทธิคุ้มครอง 6 กรณี คือ เจ็บป่วย คลอดบุตร ทุพพลภาพ เสียชีวิต สงเคราะห์บุตร และชราภาพ ที่ผ่านมาปัญหาของผู้ประกันตน ม.39 คือการขาดส่งเงินสมทบจนถูกตัดสิทธิผู้ประกันตน จนมีการเรียกร้องให้นิรโทษกรรมคืนสิทธิแล้วหลายครั้ง

...

“ตอนนี้มาตรา 39 มีประมาณ 1.7 ล้านคน ซึ่งไม่มีคนที่จะลาออกไปเพื่อรับบำนาญมากนัก แต่อาจมีปัญหาขาดส่ง ที่ผ่านมาสมัยรัฐบาลนายกฯ อภิสิทธิ์ จึงมีการออกกฎหมายนิรโทษกรรมให้คืนสิทธิ ม.39 ประมาณ 3 แสนคน ต่อมาจังหวะเศรษฐกิจไม่ดี ผู้ประกันตนไม่มีเงินส่ง พอตกหล่นสิทธิไปก็ขอกลับมาเข้าระบบอีก ในรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ก็มีการออกกฎหมายแบบเดียวกันอีก 3 แสนกว่าคน ปัจจุบันจึงมีจำนวนถึง 1.7 ล้านคน ซึ่งต้องให้ความเป็นธรรมคณะกรรมการบอร์ดตั้งแต่ก่อตั้งมาจนถึงปัจจุบัน ที่สามารถรักษาเงินลงทุนและทำให้เติบโตมา 2.6 ล้านล้าน มีผลประกอบการ 7 หมื่นกว่าล้าน ตอนนี้กลัวอย่างเดียวว่ามีการเมืองเข้ามาวุ่นวาย ทำให้กองทุนสะดุดแทนที่จะเดินหน้าต่อไปเรื่อยๆ” 

มอง “รับเงินบำนาญ แต่ยังอยู่ในประกันสังคม” ตอบโจทย์มากกว่า

นายมนัส กล่าวว่า ในส่วนของทางสภาองค์การลูกจ้างพัฒนาแรงงานแห่งประเทศไทย (สพท.) เอง ก็ได้พยายามผลักดันสูตรการคำนวณบำนาญอีกสูตรหนึ่ง ซึ่งได้เสนอไปตั้งแต่สมัยรัฐบาลก่อน ที่มีนายสุชาติ ชมกลิ่น เป็น รมว.แรงงาน และเสนอต่อเนื่องมาถึงรัฐบาลปัจจุบัน คือ สำหรับผู้ประกันตน ม.33 ให้คำนวณเงินบำนาญจากเงินเดือนงวดสุดท้ายเพียงงวดเดียว ขณะเดียวกันก็สามารถรับบำนาญ และเป็นผู้ประกันตนใน ม.39 ต่อได้ เพื่อให้ได้สิทธิคุ้มครอง 6 กรณีต่อไป หรืออาจจะลดเหลือแค่ 3 กรณีก็ได้ คือรักษาพยาบาล เสียชีวิต ทดแทนขาดแคลนรายได้ ซึ่งแนวทางนี้จะทำให้ผู้ประกันตนสามารถเลือกโรงพยาบาลในการรักษาได้ ไม่ต้องย้ายไปใช้สิทธิในระบบบัตรทอง ที่ตนมองว่าตอนนี้ก็รับภาระหนักมากพออยู่แล้ว 

“ตอนนี้มาตรา 39 หากจะรับบำนาญชราภาพ ก็ต้องหลุดจากมาตรา 39 ก่อน เราจึงเสนอว่าให้รับบำนาญและสามารถส่งเงินสมทบ ม.39 ไปพร้อมกันได้ เพื่อให้ผู้ประกันตนได้นำเงินบำนาญมาจ่าย และแบ่งส่วนหนึ่งมาจ่ายเงินสมทบ ม.39 ให้ได้สิทธิคุ้มครอง 6 กรณีไปตลอดชีวิต และยังเป็นการกระจายผู้ป่วยจากบัตรทอง เพราะตอนนี้บัตรทองก็กระจุกมากอยู่แล้ว”

...

ฟังอีกมุม “บำนาญสูตรใหม่” หวั่น ม.39 จ่ายสมทบเพิ่ม ม.33 เสียประโยชน์

“บำนาญสูตรใหม่” ลุ้นทันใช้ในรัฐบาลนี้

ขั้นตอนหลังบอร์ดประกันสังคมเห็นชอบ “สูตรคำนวณบำนาญ CARE” คือการทำประชาพิจารณ์ในกรอบเวลา 90 วัน เมื่อผ่านประชาพิจารณ์ สูตรคำนวณนี้จะเข้าไปประกบในกฎหมาย การแก้ไขเพิ่มเติมร่าง พ.ร.บ.ประกันสังคม ซึ่งเป็นฉบับเดียวกับการแก้สิทธิประโยชน์อีกหลายๆ อย่าง เช่น เงินชราภาพ 3 ข. “ขอเลือก ขอกู้ ขอคืน” ที่เกิดขึ้นในสมัย รมว.สุชาติ ที่ผู้ประกันสามารถเลือกรับเป็นเงินบำนาญหรือบำเหน็จ ขอกู้เงินชราภาพบางส่วนไปเป็นหลักประกันกับสถาบันการเงิน และขอคืน นำเงินชราภาพมาใช้ก่อนบางส่วน ซึ่งร่างกฎหมายฉบับนี้กำลังจะเข้าสู่สภาผู้แทนราษฎร

นายมนัส กล่าวต่อว่า มติบำนาญสูตรใหม่ที่ผ่านบอร์ดประกันสังคมไม่ใช่จะบังคับใช้ได้เลย ต้องรอกฎหมายแก้ไขก่อน อย่างน้อยข้าราชการประจำที่รับลูกผ่านมติ ต้องไปแก้ไขตัวร่างนี้และเข้ากฤษฎีกาใหม่อีกครั้ง ก่อนจะกลับเข้ากระบวนการตามลำดับ คาดว่าจะใช้เวลาอีกประมาณ 2 ปี ซึ่งก็ต้องลุ้นว่าจะทันใช้ในรัฐบาลสมัยนี้หรือไม่

...

“เมื่อผ่านกฤษฎีกา ก็จะลงมาให้เจ้ากระทรวงรับรอง ซึ่งท่านพิพัฒน์ (รมว.แรงงาน) ก็เห็นใจลูกจ้างอยู่แล้วไม่น่าจะมีปัญหาอะไร จากนั้นก็จะเข้าสภาผู้แทนราษฎร วาระ 1 รับหลักการ วาระ 2 แปรญัตติ ตั้งกรรมาธิการวิสามัญ วาระ 3 ลงมติ ก็ต้องมาลุ้นว่าจะผ่านทั้ง 3 วาระรวดหรือไม่ อย่างตอนนี้กฎหมายลาคลอด 180 วันก็ยังไม่ผ่าน ต้องมาทบทวนร่างใหม่ เข้าวิสามัญใหม่ กระบวนการกฎหมายบ้านเราค่อนข้างช้า ก็ยังไม่กล้าฟัน แต่ถ้ารัฐบาลนี้อยู่ครบเทอมก็น่าจะทันใช้”