พานั่งรถไฟขบวนวิทยาศาสตร์สายอินฟินิตี ไปพบกับเรื่องเล่าจากความทรงจำของ "ชัยวัฒน์ คุประตกุล" ในวันที่ชีวิตรู้สึกว่า "ยิ่งเรียนมากขึ้น ก็ยิ่งมองเห็นสิ่งที่ไม่รู้มากขึ้น" จนนำไปสู่ความคิด "วิทยาศาสตร์ ยิ่งเรียน ยิ่งโง่!"

************

จริงหรือ? วิทยาศาสตร์ ยิ่งเรียน ยิ่งโง่!

ถ้าจริง แล้วจะเรียนวิทยาศาสตร์ไปทำไม? รัฐบาลต้องทุ่มเทงบประมาณให้กับการศึกษา, การวิจัยและพัฒนาวิทยาศาสตร์ไปทำไม?

คำตอบของผู้เขียน คือ จริง! แต่...จริง...อย่างมิใช่แบบหรือดังที่เราคิดหรือเห็นกัน!

"เชื่อ คิด และทำอย่างวิทยาศาสตร์" วันนี้ ขอนำท่านผู้อ่านไปวิเคราะห์ศึกษาเรื่องนี้ ในมุมมองและประสบการณ์ของผู้เขียนเอง โดยไปเริ่มต้นกับรถไฟขบวนพิเศษที่ผู้เขียนขอเรียกเป็น "รถไฟขบวนวิทยาศาสตร์สายอินฟินิตี"

ภาพ : iStock
ภาพ : iStock

************

...

รถไฟขบวนวิทยาศาสตร์สายอินฟินิตี : การเริ่มต้น 

ทำไมจึงเป็น "รถไฟ" ?

ผู้เขียนยอมรับว่าเป็นคนชอบรถไฟ

เมื่อช่วงยุคสงครามโลกครั้งที่สอง ครอบครัวผู้เขียนย้ายจากตัวเมืองโคราช (เพราะโคราชเป็นเป้าหมายการทิ้งระเบิดของฝ่ายสัมพันธมิตรด้วย) ไปอยู่ที่ตำบลโนนสูง อำเภอพิมาย บ้านอยู่ไม่ไกลจากทางรถไฟนัก

ทุกวันเมื่อได้ยินเสียงหวูดรถไฟ ผู้เขียนก็จะวิ่งไปที่ไร่อ้อยใกล้ทางรถไฟ ฟังเสียงและดูขบวนม้าเหล็กอย่างตื่นเต้น

เมื่อสงครามโลกครั้งที่สองยุติลง ครอบครัวของผู้เขียนก็ย้ายกลับไปอยู่ในเมืองโคราชตามเดิม

เรื่องราวรถไฟขบวนวิทยาศาสตร์สายอินฟินิตีก่อตัวอย่างค่อนข้างเร็ว ที่เกิดกับผู้เขียนตั้งแต่เมื่อได้เข้าศึกษาวิทยาศาสตร์อย่างลงลึกจริง ๆ ที่คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยในปี พ.ศ. 2504 ได้เรียนวิทยาศาสตร์กับปรมาจารย์วิทยาศาสตร์ของประเทศ

*ได้เรียนฟิสิกส์กับศาสตราจารย์ เพ็ง โสมนะพันธุ์

*ได้เรียนเคมีกับศาสตราจารย์ ดร.แถบ นีละนิธิ และศาสตราจารย์ ทองสุข พงศทัต

*ได้เรียนชีววิทยากับศาสตราจารย์ ดร.คลุ้ม วัชโรบล

*ได้เรียนคณิตศาสตร์กับศาสตราจารย์ เสนาะ ตันบุญยืน

ดร.คลุ้ม วัชโรบล / ภาพ : ภาควิชาวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ดร.คลุ้ม วัชโรบล / ภาพ : ภาควิชาวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

*ได้เห็นศาสตราจารย์ เพ็ง ในชุดสูท นั่งบนเก้าอี้หมุนบนโต๊ะหน้าห้องบรรยาย มือสองข้างถือดัมบ์เบล สาธิตเรื่องการอนุรักษ์โมเมนตัมเชิงมุม ด้วยการกางแขนออกสลับกับการหุบแขนเข้า เหมือนนักแสดงบัลเลต์ที่ใช้หลักเดียวกันนี้ในการหมุนตัวเร็วขึ้นและช้าลง

*ได้ฟังศาสตราจารย์ ดร. แถบ ที่หันหลังให้กับนิสิต หันหน้าเข้าหากระดานดำหน้าห้อง เขียนสูตรเคมีและบรรยายความรู้ทางเคมีอย่างเกินร้อยเกือบตลอดชั่วโมง

*ได้ฟังศาสตราจารย์ ทองสุข ขู่เมื่อใกล้ถึงวันสอบว่า พวกเธอเหมือนหมูตาบอด อาจารย์จะเลือก (แทง) ออกข้อสอบยังไงก็ได้

*ได้ฟังศาสตราจารย์ คลุ้ม อธิบายอย่างลงลึก รายละเอียดการไหลเวียนของเลือดดำเข้าสู่หัวใจเพื่อส่งไปฟอกที่ปอด และรับเลือดแดงจากปอด สูบฉีดไปให้ส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สมอง

*ได้ฟังศาสตราจารย์ เสนาะ อธิบายเรื่องยาก ๆ ของคณิตศาสตร์ กลายเป็นเรื่องง่าย ๆ และน่าตื่นเต้นของตัวเลข บางครั้งก็ได้ฟังเรื่องผีเป็นของแถม แล้วก็ได้เรียนรู้ประสบการณ์เขย่าขวัญการทดลองเคมี

ดร.แถบ นีละนิธิ / ภาพ : ภาควิชาเคมี คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ดร.แถบ นีละนิธิ / ภาพ : ภาควิชาเคมี คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

...

************

เหตุจาก "น้ำ" กับ "น้ำกรด" ในห้องทดลองเคมี

วันหนึ่งในห้องทดลองเคมี!

แล้วจู่ ๆ ผู้เขียนก็ต้องตกใจ เมื่อน้ำผสมน้ำกรดในหลอดแก้วทดลองของเพื่อนนิสิตที่กำลังทดลองเคมีอยู่ทางขวามือของผู้เขียน พุ่งใส่ผู้เขียน

ผู้เขียนในชุดเสื้อแขนยาวสีขาว (เครื่องแบบนิสิตจุฬาฯ ปีที่หนึ่งในสมัยนั้น) ตกใจ ยกมือขวาขึ้นป้องหน้า

ผลคือ แขนเสื้อของผู้เขียนไหม้ น้ำกรดกัดทะลุลงไปถึงแขนจากข้อศอก เกือบถึงปลายแขนเสื้อ

แน่นอน...ผู้เขียนร้องดังลั่น รู้สึกปวดแสบปวดร้อนทั้งแขน!

ทุกคนในห้องทดลองหยุดการทดลอง หันมาทางผู้เขียน

อาจารย์ผู้กำลังควบคุมการทดลองก็ตกใจ รีบวิ่งมาหาผู้เขียน แล้วก็เทน้ำใส่แขนผู้เขียนเป็นปฐมพยาบาลขั้นต้น โดยมีเพื่อนนิสิตในห้องช่วยกันส่งน้ำจากก๊อกน้ำในเหยือกในโถหรือขันให้อาจารย์ ก่อนที่อาจารย์จะพาผู้เขียนไปห้องปฐมพยาบาล

ผู้เขียนยังจำหน้าของอาจารย์ได้ เสียดายที่จำชื่อไม่ได้ แต่จำเสียงของอาจารย์ (ชาย) ที่พูดปลอบใจผู้เขียนตลอดเวลาว่า "ไม่เป็นไร! ไม่เป็นไร!"

...

ส่วนเพื่อนนิสิตคนต้นเหตุก็หน้าซีด พูดคำว่า "ขอโทษ! ขอโทษ!..." และก็อยู่กับผู้เขียนตลอดเวลา ตั้งแต่เกิดเหตุและในห้องปฐมพยาบาล

ผู้เขียนยังจำหน้าเพื่อนได้ถึงทุกวันนี้ แต่จำชื่อไม่ได้แล้ว ทุกครั้งที่นึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และในขณะที่กำลังเขียนเล่าเรื่องนี้สู่ท่านผู้อ่าน ก็เหมือนกับเห็นเพื่อนกำลังนั่งหน้าซีดด้วยความเสียใจอยู่กับผู้เขียนด้วย 

************

จากอุบัติเหตุในห้องทดลองเคมี สิ่งหนึ่งที่ผู้เขียนได้เรียนรู้อย่างฝังใจ คือ "การปฏิบัติเป็นวิธีการเรียนรู้ที่ดีที่สุด!"

ก่อนเกิดเหตุในห้องทดลองเคมี ผู้เขียนยังต้องพยายามจำหลักปฏิบัติในการทดลองทางเคมีเกี่ยวกับการผสมน้ำกับน้ำกรด ว่าจะต้องเทน้ำใส่กรด หรือเทกรดใส่น้ำ?

แต่หลังจากเหตุในวันนั้น ถึงทุกวันนี้ผู้เขียนก็จำได้อย่างฝังใจว่า จะต้องเทกรดใส่น้ำ!

ห้ามเทน้ำใส่กรด!

แถมยังจำฝังใจอีกด้วยว่า ต้องเทกรดใส่น้ำอย่างช้า ๆ ด้วย!

...

************

จากเหตุในห้องทดลองเคมีสู่ขบวนรถไฟวิทยาศาสตร์สายอินฟินิตี

แล้วอุบัติเหตุในห้องทดลองเคมีครั้งนั้นไปเกี่ยวข้องกับประเด็นหลักของเราวันนี้ คือ "วิทยาศาสตร์ ยิ่งเรียน ยิ่งโง่!" อย่างไร?

นอกเหนือไปจากหลักคิดสำหรับการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ คือ "การปฏิบัติเป็นวิธีการเรียนรู้ที่ดีที่สุด!" และ "แผลเป็นที่แขนจากน้ำกรด" ที่ยังเหลือรอยอยู่ถึงทุกวันนี้แล้ว อุบัติเหตุในห้องทดลองเคมีนั้นก็ทำให้ผู้เขียนนึกถึงช่วงเวลาการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในชีวิตของผู้เขียน ที่เป็นครั้งแรก...จากโคราชเมืองแม่ย่าโม...ได้เดินเข้ารั้วจามจุรี

จำได้กับความรู้สึกหน้าฝน เดินไปบนถนนเปียกแฉะหลังฝนตกในมหาวิทยาลัย เต็มไปด้วยดอกจามจุรีสีชมพู แล้วก็ความรู้สึกที่ค่อย ๆ เกิดขึ้น ตั้งแต่ในช่วงเทอมแรกของการเป็นนิสิตวิทยาศาสตร์ปีที่หนึ่ง ได้เรียนฟิสิกส์ เคมี ชีววิทยา และคณิตศาสตร์ เป็นความรู้สึกที่ตื่นเต้น...แปลก...ประหลาดใจกับการเรียนวิทยาศาสตร์

เป็นความรู้สึกที่กระชากความรู้สึกของผู้เขียนจากที่เคยคิดว่า เรียนรู้วิทยาศาสตร์จบหมดแล้ว เมื่อเรียนจบ ม.8 ในยุคสมัยของผู้เขียน (ปัจจุบันคือ ม.ศ.5) รู้วิทยาศาสตร์หมดแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ฟิสิกส์และคณิตศาสตร์

ภาพ : iStock
ภาพ : iStock

ส่วนหนึ่งเป็นเพราะในระหว่างเรียนอยู่ชั้นมัธยมที่โรงเรียนราชสีมาวิทยาลัย ผู้เขียนจะสนุกกับการเรียนมาก ในช่วงปิดเทอมระหว่างปีการศึกษา ผู้เขียนจะหาหนังสือเรียน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ฟิสิกส์และคณิตศาสตร์ของปีต่อไปมาอ่านก่อน

สำหรับฟิสิกส์ ผู้เขียนจะอ่านหนังสือเรียนจบก่อนเปิดเทอม และทำโจทย์แบบฝึกหัดท้ายบทเกือบหมดเล่ม แต่สำหรับคณิตศาสตร์ ก่อนเปิดเทอม ผู้เขียนก็ทำโจทย์คณิตศาสตร์จนหมดทุกข้อทั้งเล่ม เมื่อเปิดเทอม ก็จึงเรียนฟิสิกส์และคณิตศาสตร์ได้อย่างสบาย ๆ

เมื่อเรียนจบชั้นมัธยม ผู้เขียนก็รู้สึกมั่นใจว่า รู้วิทยาศาสตร์อย่างดีแล้ว และเดินเข้ารั้วจามจุรีอย่างมั่นใจว่า รู้วิทยาศาสตร์พื้นฐาน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง 'ฟิสิกส์' อย่างดีแล้ว

แต่...อย่างค่อนข้างเร็ว เพียงในเทอมแรกที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผู้เขียนก็รู้สึกเหมือนเพิ่งตื่น จากที่เคยคิดว่า รู้ฟิสิกส์พื้นฐานหมดแล้ว กลับเริ่มรู้สึกว่า ยังรู้ฟิสิกส์น้อยมาก และยิ่งเรียนฟิสิกส์ลึกมากขึ้น ก็ยิ่งรู้สึกตัวว่า ที่รู้มาก่อนแล้วนั้น แสนจะน้อยนิดจริง ๆ ที่ยังไม่รู้แสนจะมากมายมหาศาล

แล้วผู้เขียนก็รู้สึก 'ตัวเล็กลง' อย่างทันที และนั่นก็คือความรู้สึกที่เกิดกับผู้เขียนว่า "วิทยาศาสตร์เป็นเช่นนี้ ยิ่งเรียน ยิ่งโง่!" เพราะยิ่งเรียนมากขึ้น ก็ยิ่งมองเห็นสิ่งที่ไม่รู้มากขึ้น

ภาพ : iStock
ภาพ : iStock

************

ความรู้สึกที่ถูกตอกย้ำอย่างแรง เมื่อผู้เขียนเรียนจบปริญญาตรีฟิสิกส์ แล้วก็เรียนต่อจนกระทั่งจบปริญญาเอกฟิสิกส์ ที่มหาวิทยาลัยโมนาช เมลเบิร์น ออสเตรเลีย

เพราะเมื่อจะเริ่มทำวิจัยสำหรับปริญญาโทและเอก (แต่สุดท้ายก็ได้เพียงปริญญาเอก)

ผู้เขียนก็ต้องเผชิญกับการตัดสินใจว่า จะใช้วิธีไหนในการเจาะศึกษาโจทย์ที่ตั้งใจจะทำ เพราะถ้าเลือกผิด หรือไม่ดีผลการวิจัยก็จะ 'ล้มเหลว' หรือ 'ไม่ดีพอ' สำหรับปริญญา

ในระหว่างที่กำลังตัดสินใจ ผู้เขียนยอมรับว่ารู้สึกตนเองยังโง่อย่างมาก แถมยังโง่มากขึ้นเสียอีก จากการเรียนจนกระทั่งจบปริญญาตรีฟิสิกส์ เพราะสิ่งที่กางอยู่ตรงหน้า คือ ฟิสิกส์แปลก ๆ หรือไม่ชัดเจน หรือไม่น่าเชื่อ

มหาวิทยาลัยโมนาช / ภาพ : Monash University
มหาวิทยาลัยโมนาช / ภาพ : Monash University

************

คนโง่ไม่ธรรมดาบนรถไฟขบวนวิทยาศาสตร์สายอินฟินิตี

รถไฟขบวนวิทยาศาสตร์สายอินฟินิตี มีอะไรเป็นพิเศษ?

ความพิเศษคือผู้โดยสารทุกคนล้วนเป็น 'คนโง่'

แถมยิ่งเดินทาง ความโง่ก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้น!

แต่เป็นความโง่ที่มิใช่อย่างที่คิดหรือเข้าใจกัน!

อย่างไรหรือ?

อย่างหนึ่งที่ชัดเจน คนโง่โดยทั่วไปไม่ยอมรับว่าตนโง่ หรือไม่รู้ตัวว่าเป็นคนโง่...

ในขณะที่คนร่วมเดินทางไปกับรถไฟขบวนพิเศษของเรา ทุกคนล้วนยอมรับว่าตนเองโง่ และก็รู้ตัวว่าตนเป็นคนโง่

แต่เป็นความโง่ในความหมายของ 'ระดับความรู้' ที่ยอมรับว่ายังรู้น้อย เพราะตระหนักว่าบนเส้นทางรถไฟข้างหน้ายังมีสิ่งที่ยังไม่รู้...มีความรู้ใหม่...ที่รอให้ค้นพบอีกมาก!

แล้วอย่างไร?

อย่างตรง ๆ ความวิเศษของการได้รับความรู้ใหม่ ได้พบได้เรียนรู้ ได้สัมผัสสิ่งใหม่

ภาพ : iStock
ภาพ : iStock

*จากผู้รู้

*จากหนังสือ

*จากวิทยุและโทรทัศน์

*จากสื่อดิจิทัล

*จากภาพยนตร์ (ชวนพิศวงหรือน้ำตาซึม)

แล้วก็ความรู้สึกวิเศษที่เกิดขึ้นเสมือนกับ สมองได้รับการอัดฉีดออกซิเจนอย่างแรง และหัวใจที่พองโต

ที่สำคัญ สำหรับความรู้สึกวิเศษเช่นนี้มิได้เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว...เพราะมีอยู่...และสามารถเกิดขึ้นหลายครั้ง...อย่างไม่มีสิ้นสุด สำหรับรถไฟขบวนวิทยาศาสตร์สายอินฟินิตี

จริงหรือ?

คำตอบตรงๆ คือ จริงอย่างแน่นอน

ภาพ : iStock
ภาพ : iStock

เพราะความรู้วิทยาศาสตร์ที่มีอยู่ทุกวันนี้ยังมิใช่ที่สุดของความรู้จริง

ถ้าถามว่า ที่สุดของความรู้จริงมีจริงหรือ?

วงการวิทยาศาสตร์เชื่อว่ามีอยู่จริง แต่ไม่ทราบว่าคืออะไร? อยู่ที่ไหน?

ตัวอย่างเช่น หน่วยหรือองค์ประกอบเล็กที่สุดของสสาร เราเคยเชื่อกันว่า คือ อะตอม (ที่มาของชื่อ-คำอะตอม มาจากคำภาษากรีก atomos แปลว่า ซึ่งแบ่งแยกไม่ได้อีกแล้ว) ต่อมาก็พบว่า อะตอมประกอบด้วยหน่วยเล็กลงไปอีก คือ โปรตอน, นิวตรอน และอิเล็กตรอน ต่อมาอีกถึงปัจจุบันก็พบว่า อนุภาคโปรตอนและนิวตรอนยังประกอบด้วยหน่วยเล็กลงไปอีก คือ ควาร์ก (quark)

โดยที่ถึงปัจจุบัน ควาร์กเป็นอนุภาคเล็กที่สุด แต่เมื่อถามต่อว่า ยังจะมีอะไรที่เล็กกว่าควาร์กอีกหรือไม่ ก็เชื่อกันว่ามี แต่ไม่ทราบว่าคืออะไร และจะพบเมื่อไร?

ดังนั้น รถไฟขบวนวิทยาศาสตร์สายอินฟินิตีก็ต้องมีสถานีปลายทาง คือ 'สถานีอินฟินิตี' แต่ไม่มีใครรู้ว่าอยู่ที่ไหน? จะถึงเมื่อไร?

ภาพ : iStock
ภาพ : iStock

************

"การลงทุน" และ "ผู้โดยสาร" ที่รถไฟขบวนวิทยาศาสตร์สายอินฟินิตีต้องการ!

รถไฟที่มีพลังขับเคลื่อนสูง และมีผู้โดยสารที่มีศักยภาพสูง ก็จะเดินทางได้เร็ว ถึง "เป้าหมายระหว่างทาง" ได้มาก และเกิดคุณค่าหรือผลประโยชน์จากผู้โดยสารที่สูงต่อส่วนรวม คือ ประเทศ เจ้าของรถไฟขบวนพิเศษ

สำหรับเรื่อง "พลังขับเคลื่อน" ความหมายและตัวอย่างตรงๆ ในโลกอย่างเป็นรูปธรรมก็คือ ประเทศที่มีการลงทุน คือ งบประมาณสนับสนุน การศึกษา และการวิจัยกับพัฒนาวิทยาศาสตร์ที่สูง ก็ประสบความสำเร็จในการพัฒนาประเทศที่สูงด้วย

ตัวอย่างข้อมูลล่าสุด (จากเว็บไซต์ Investopedia, 23 กรกฎาคม ค.ศ. 2024) ประเทศที่ทุ่มเทงบประมาณให้กับการวิจัยและพัฒนา (R&D) โดยคิดเป็นมูลค่าตัวเงิน (ดอลลาร์) มากที่สุดในโลก คือ สหรัฐอเมริกา ส่วนประเทศที่มีงบประมาณสำหรับการวิจัยและพัฒนา โดยคิดเป็นสัดส่วนกับผลิตภัณฑ์มวลรวม จีดีพี (GDP : gross domestic product) มากที่สุดในโลก คือ อิสราเอล ตามมาด้วย เกาหลีใต้

ภาพ : iStock
ภาพ : iStock

และอย่างที่ปรากฏชัด สหรัฐอเมริกา อิสราเอล และเกาหลีใต้ ก็ประสบความสำเร็จในการเป็นประเทศที่มีความก้าวหน้าอย่างสูงทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

โดยมีข้อมูลน่าสนใจว่า ประเทศจีน เป็นประเทศที่มีการลงทุนโดยคิดเป็นมูลค่า (ดอลลาร์) สำหรับการวิจัยและพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเป็นอันดับสองของโลก รองจากสหรัฐอเมริกา และก็เป็นที่ปรากฏเด่นชัดว่าประเทศจีนกำลังเป็นประเทศที่มีความก้าวหน้าอย่างรวดเร็วทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในหลายด้าน รวมทั้งด้านอวกาศที่ประเทศจีนกำลังประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็ว ในการสำรวจระบบสุริยะ และการบุกเบิกดวงจันทร์

สำหรับประเทศไทยของเรา ทุกรัฐบาลก็มีนโยบายสนับสนุนและส่งเสริมการวิจัยและพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยมีการเพิ่มงบประมาณสำหรับการวิจัยและพัฒนาเป็นลำดับ แต่ก็ยังเป็นสัดส่วน (เช่น กับผลิตภัณฑ์มวลรวม) ที่น้อยกว่าอีกหลายประเทศอยู่มาก

ภาพ : iStock
ภาพ : iStock

************

"ผู้โดยสาร" ล่ะ?

"ผู้โดยสาร" หรือ "ผู้ร่วมเดินทาง" ที่รถไฟขบวนวิทยาศาสตร์สายอินฟินิตีต้องการ อย่างแน่นอน ถ้าเป็นผู้โดยสารที่ "ฉลาด" อยู่แล้ว และต้องการใช้ความฉลาดให้เป็นประโยชน์ต่อ "ส่วนรวม" จริง ๆ ก็จะยิ่งทำให้ขบวนรถไฟพิเศษนี้ ไปถึงเป้าหมายระหว่าง คือ การค้นพบความรู้ใหม่ ความก้าวหน้าใหม่ ได้มากและเร็วขึ้น

แต่สำหรับคนทั่วไป ที่ไม่ถึงกับมีแววฉลาดอย่างเด่นชัด หรือผู้ที่คิดว่า ตนเองเป็นคนโง่ล่ะ?

ผู้เขียนขอตอบอย่างมั่นใจว่า "ก็เป็นที่ต้องการ!"

เพราะคุณสมบัติสำคัญที่สุดของผู้ที่จะเป็น "ผู้โดยสารชั้นยอด" ของรถไฟขบวนพิเศษนี้ คือ การเป็นคนใฝ่รู้ และ การเป็นคนไม่ยอมแพ้ต่ออุปสรรคและความล้มเหลว

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความล้มเหลว!

อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ / ภาพ : Getty
อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ / ภาพ : Getty

เพราะความล้มเหลวของความพยายามอย่างหนึ่ง อาจเปิดประตูสู่ความก้าวหน้าใหม่ที่ยิ่งใหญ่กว่าเก่าได้เสมอ
ที่สำคัญ นักวิทยาศาสตร์คนสำคัญของโลก ดังเช่น ไอน์สไตน์ และ ไอแซก นิวตัน ก็ไม่เคย “อวดอ้าง” ว่า ตนเป็นคนเก่ง คนฉลาด

ไอน์สไตน์ ยอมรับว่า ตนเองไม่เก่งเลข แต่ก็ยอมช่วยเด็กข้างบ้านทำการบ้านคณิตศาสตร์ ครั้นคุณแม่ของเด็กทราบ ก็ห้ามลูกไม่ให้รบกวนนักวิทยาศาสตร์คนดังของโลก ทว่า ไอน์สไตน์ก็กล่าวว่า ที่คุณแม่ห้ามลูกก็เพราะตนสอนเลขผิดบ่อย ๆ ต่างหาก

ไอแซก นิวตัน ก็มีคำกล่าวอย่างถ่อมตนว่า "ถ้าข้าพเจ้าเห็นได้ไกลขึ้น ก็เป็นเพราะได้อาศัยยืนบนบ่าของยักษ์ใหญ่"

************

เซอร์ไอแซก นิวตัน / ภาพ : Getty
เซอร์ไอแซก นิวตัน / ภาพ : Getty

ความสุขของคนยังโง่!

ช่วงระหว่างปีพ.ศ. 2513-2525 ที่ผู้เขียนทำงานประจำอยู่ที่มหาวิทยาลัยขอนแก่น ผู้เขียนก็เหมือนกับ "เดินสาย" บรรยายพิเศษเกี่ยวกับความก้าวหน้าใหม่ๆ ของวิทยาศาสตร์ ให้กับนักเรียนนักศึกษาในโรงเรียน, วิทยาลัยครู (ในยุคสมัยนั้น) และมหาวิทยาลัยหลายแห่งในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ, ภาคกลางและภาคตะวันออก

ซึ่งมีบางครั้ง และก็เป็นที่ตื่นเต้นของผู้เขียนเองด้วย ที่ฝ่ายผู้จัดการบรรยาย เปิด "โรงภาพยนตร์" ให้ผู้เขียนบรรยาย เช่น ที่อำเภอพล จังหวัดขอนแก่น

แล้วในการบรรยายวันหนึ่ง คิดว่าเป็นที่โรงเรียนแห่งหนึ่งในจังหวัดชลบุรี มีชื่อเป็นโรงเรียนเก่ง...เด่น...ดัง ทางด้านวิทยาศาสตร์

หลังจากที่ผู้เขียนบรรยายเกือบจบ ก็มีนักเรียนชายคนหนึ่งนั่งฟังอยู่ใกล้ท้ายห้อง ก็ลุกขึ้นกึ่งถามกึ่งแสดงความคิดเห็น ที่ผู้เขียนจำได้ฝังใจว่า :-

ภาพ : iStock
ภาพ : iStock

"ตอนแรก ผมก็อยากจะเป็นนักวิทยาศาสตร์ แต่ฟังจากอาจารย์ว่า การเรียนวิทยาศาสตร์เหมือนกับการเดินทางไปกับรถไฟสายที่ไม่รู้ว่า ปลายทางอยู่ที่ไหน แถมยิ่งเรียนวิทยาศาสตร์มากขึ้น กลับยิ่งโง่ลงเสียอีก ผมก็เลยชักไม่แน่ใจแล้วละครับ?"

จำได้ว่า ผู้เขียนก็ตอบยาวทีเดียว และสาระใหญ่ก็เป็นดังที่เล่าสู่ท่านผู้อ่านวันนี้

และจำบทสรุปสุดท้ายบอกแก่นักเรียนผู้ถามและทุกคนในห้องบรรยายว่า :-

วิทยาศาสตร์ ยิ่งเรียน ยิ่งโง่ ก็จริง แต่มิใช่เป็นคนโง่แบบ "ปัญญาอ่อน" หากเป็นคน (ยัง) โง่ ที่จะได้มีโอกาสได้มี "ความสุขของคน (ยัง) โง่!" กับการได้พบความรู้ใหม่หลายครั้ง ตลอดชั่วชีวิตบนรถไฟขบวนวิทยาศาสตร์สายอินฟินิตี

ภาพ : iStock
ภาพ : iStock

************

เวลาผ่านไปแล้วกว่า 40 ปี จากวันที่ผู้เขียนตอบคำถามนักเรียนในการบรรยายพิเศษนั้น

ผู้เขียนไม่ทราบว่า หลังจากวันนั้น เขายังอยากเป็นนักวิทยาศาสตร์อยู่อีกหรือไม่?

ผู้เขียนหวังว่า เขาจะยังอยากเป็นนักวิทยาศาสตร์ และได้เป็นนักวิทยาศาสตร์ดังความตั้งใจก่อนฟังการบรรยาย

เพราะเขามี "แวว" จะเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่ดีได้ จากการกล้าคิด กล้าถาม

บางที วันหนึ่ง "เรา" อาจจะได้พบกัน และถ้ายังจำผู้เขียนได้ ก็ทักทายบอกกล่าวกันด้วย ก็จะวิเศษอย่างที่สุด

และก็จะเป็นการทดสอบความจำของผู้เขียนที่ฝังจำว่า เป็นโรงเรียนหนึ่งในจังหวัดชลบุรีนั้น ถูกหรือไม่ด้วย!

ส่วนประเด็นหลักและมุมมองวันนี้ "วิทยาศาสตร์ ยิ่งเรียน ยิ่งโง่!" ท่านผู้อ่านคิดอย่างไรครับ?

ชัยวัฒน์ คุประตกุล
ชัยวัฒน์ คุประตกุล

************