ผงะ 41 ร่างไร้วิญญาณ ทอดร่างเป็นอาจารย์ใหญ่ ในสำนักสงฆ์ ฝึกภาวนา "หูตาทิพย์" ด้าน สำนักพุทธฯ ตั้งคณะตรวจสอบ แต่เอาผิดวินัยสงฆ์ไม่ได้ เตรียมตรวจสอบผิด พ.ร.บ.ฌาปนสถาน ย้ำสมัยพุทธกาล เพ่งกสิณ บรรลุได้ ไม่ต้องเพ่งศพ
วันนี้ 25 พ.ย. 67 ตำรวจและเจ้าหน้าที่ท้องถิ่น เดินทางไปยังสำนักสงฆ์แห่งหนึ่ง ในพื้นที่ อ.โพทะเล จ.พิจิตร โดยเป็นสำนักสาขาใหญ่ ที่เกี่ยวเนื่องกับกรณีเพจดังร้องตรวจสอบลัทธิประหลาด ที่เป็นสำนักฝึกเรียนหูทิพย์ตาทิพย์ โดยใช้ศพในพื้นที่ จ.กำแพงเพชร ที่โด่งดังเป็นข่าว จึงได้สืบค้นมาที่สาขาใหญ่ในพื้นที่ จ.พิจิตร
เมื่อเข้าตรวจสอบสำนักสงฆ์ พระอาจารย์ผู้ดูแลให้ข้อมูลว่า การเก็บชิ้นส่วนศพที่ตรวจพบ 41 ศพ ทางเจ้าสำนักอ้างว่ามีหลักฐานที่มาที่ไปถูกต้อง ร่างกายไร้วิญญาณที่มีผู้มีจิตศรัทธามอบให้เป็นอาจารย์ใหญ่ให้ใช้ฝึกจิตภาวนา ศึกษาปฏิบัติธรรม
เจ้าหน้าที่ได้ขอตรวจร่างไร้วิญญาณ ทางสำนักสงฆ์มีหลักฐาน 20 ศพ ที่มีญาตินำมายืนยันถูกต้อง ส่วนที่เหลือ 21 ศพ กำลังอยู่ในช่วงของการดำเนินการติดต่อญาตินำหลักฐานมายืนยัน เพราะบางรายญาติก็อยู่ต่างประเทศ และอยู่ต่างจังหวัด กำลังนำเอกสารมายืนยัน
...
เจ้าหน้าที่จึงอายัดร่างไร้วิญญาณทุกศพให้เจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐานเข้ามาตรวจสอบหาอัตลักษณ์แต่ละร่างให้ถูกต้องตามกฎหมายต่อไป
ตรวจสอบ 41 ศพ "อวดอุตริ" หรือไม่?
สุพัฒน์ เมืองมัจฉา ผอ.สำนักเลขาธิการมหาเถรสมาคม ในฐานะโฆษกสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) ให้ข้อมูลถึงการตรวจสอบสำนักสงฆ์ดังกล่าวใน จ.พิจิตร ว่า ตอนนี้สำนักพุทธในพื้นที่ได้เข้าไปตรวจสอบ และเตรียมรายงานกลับมาเป็นเอกสาร เบื้องต้นต้องไปตรวจสอบว่าเป็นสำนักสงฆ์หรือเป็นเพียงที่พักสงฆ์
ในส่วนของร่างผู้เสียชีวิตทั้ง 41 ศพ ต้องมีการตรวจสอบกับทางญาติเพื่อยืนยันว่า มีการขออนุญาตในการที่จะนำร่างผู้เสียชีวิตมาใช้ในการฝึกสมาธิอย่างชัดเจนหรือไม่ ซึ่งในทางกฎหมายของบ้านเมือง มี พ.ร.บ.ฌาปนสถาน ควบคุมอยู่ จึงต้องไปดูว่าการที่ท่านนำร่างผู้เสียชีวิตมาทำแบบนี้ จะมีความผิดหรือไม่
“การนำร่างผู้เสียชีวิตมาเก็บไว้เพื่อฝึกจิตตามความเชื่อ หากมองถึงความเหมาะสม ถือว่าไม่สมควร เพราะการเป็นพระแล้วมาฝึกในลักษณะเช่นนี้ แต่ถ้าพิจารณาตามวินัยสงฆ์ การกระทำเช่นนี้ ยังไม่มีการระบุว่าเป็นความผิดชัดเจน แต่กรณีนี้อาจต้องไปพิจารณาตามกฎหมายของบ้านเมือง ในส่วนของความยินยอมของญาติเป็นหลัก”
ขณะเดียวกัน สังคมยังตั้งคำถามถึงพฤติกรรมดังกล่าว อาจเข้าข่ายอวดอุตริหรือไม่ "สุพัฒน์" มองว่า หากมองโดยสายตาคนทั่วไปอาจเข้าข่าย แต่สุดท้ายแล้วต้องให้คณะสงฆ์เป็นผู้พิจารณา โดยมีการตั้งคณะกรรมการตรวจสอบ ซึ่งตอนนี้กำลังจะมีการแต่งตั้ง
หากพิจารณาจากสมัยพุทธกาล จะมีการเพ่งกสิณ 10 แต่ไม่มีระบุถึงการนั่งพิจารณาหน้าศพ ดังนั้น การอ้างว่านั่งสมาธิหน้าศพแล้วจะทำให้เกิดหูทิพย์ ตาทิพย์ ยังเป็นเรื่องที่พิสูจน์ไม่ได้ แต่ส่วนตัวมองว่า ความรู้สึกเหล่านั้นอาจมาจากความเคยชิน
“กรณีที่มีผู้กระทำในลักษณะนี้อยู่ ควรจะให้เจ้าหน้าที่บ้านเมืองเข้าไปตรวจสอบ ไม่เช่นนั้นก็จะเกิดปัญหาในลักษณะนี้ขึ้นอีก ซึ่งพอเกิดเรื่องแล้วมานั่งพิสูจน์กัน ทำให้เกิดเป็นประเด็นที่สังคมเกิดคำถามและข้อครหาต่อวงการสงฆ์”
...