4 วันล่าอดีตนักมวยคลั่ง อำพรางตัวหลบหนี ก่อเหตุลักทรัพย์หลายคดี หลบหนีจนรู้ทันตำรวจ นักอาชญาวิทยา มอง ตามจับยาก คนร้ายวางแผนเป็นขั้นตอน รู้วิธีตบตา หวังให้เจ้าหน้าที่ยกระดับยุทธวิธีการจับกุม
กว่า 4 วัน ตำรวจเร่งติดตามล่า อดีตนักมวยดัง "สันติ เจ๊ะอะหลี" อายุ 39 ปี หลบหนีคดีลักทรัพย์ เมื่อ 3 ต.ค. 67 ในพื้นที่ สน.บางซื่อ วันเกิดเหตุคนร้ายใช้อาวุธปืนยิงต่อสู้ หลบหนีเข้าไปในซอยอินทามระ 29 และบุกเข้าไปในบ้านแห่งหนึ่ง โชคดีไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บ ตำรวจใช้เวลาเกือบทั้งคืน ก่อนเข้าไปในพื้นที่บ้านได้ เมื่อเข้าไปก็ไม่พบตัวคนร้าย คาดว่ากระโดดหนีไปยังพื้นที่ป่าข้างบ้าน
ประกอบกับคืนเดียวกัน ภรรยาคนร้าย ออกอุบายว่าเกิดความเครียด ใช้อาวุธจ่อตัวเอง อ้างว่าทำร้ายตัวเอง พร้อมทั้งขอรถตำรวจ ให้นำตนเองออกไป เมื่อขึ้นรถแล้ว ภรรยาคนร้ายกลับเอาปืนจี้ตำรวจให้ขับไป จ.อยุธยา แต่ไม่ทันจะถึง ได้วิ่งลงจากรถเข้าไปในป่าข้างทาง สุดท้ายตำรวจจับกุมไว้ได้ และทำการฝากขังตัวภรรยาแล้ว ขณะที่นายสันติ คนร้ายยังลอยนวล
หลังจับกุมคนร้ายได้ พล.ต.ต.นพศิลป์ พูลสวัสดิ์ รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (รอง ผบช.น.) ให้ข้อมูลว่า ผลของการติดตามคนร้าย ได้ทำการตรวจสอบประวัติคนร้ายอย่างละเอียด ยังเคยก่อเหตุลักทรัพย์ในพื้นที่อื่นหลายพื้นที่ จากการก่อเหตุตำรวจได้ใช้การปิดล้อมอย่างระมัดระวัง เนื่องจากคนร้ายหลบซ่อนตัวอยู่ในชุมชน
...
ตำรวจสืบทราบว่า คนร้ายได้หลบหนีไปทางถนนวิภาวดีรังสิต ก่อนไปหานางกุล (นามสมมติ) เพื่อนของภรรยา ภายในซอยประชาสงเคราะห์ 28 ไปเอาเงินจำนวน 27,000 บาท ที่ฝากไว้ก่อนหน้านี้
ต่อมาเวลา 01.15 น. วันที่ 4 ต.ค. 67 กล้องวงจรปิดจับภาพนายสันติ ภายในซอยรัชดาภิเษก 7 โดยเรียกวินจักรยานยนต์ ให้ไปส่งย่านรามคำแหง 53 ก่อนเดินเท้าหลบหนีไปซอยรามคำแหง 112 และถอดเสื้อไรเดอร์ออกเพื่อพรางไม่ให้ถูกติดตามตัว
ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจสืบทราบข้อมูลว่านายสันติ จะหลบหนีไปยัง จ.อำนาจเจริญ ชุดสืบสวนได้ประสานกับทาง สภ.โพธิ์กลาง เพื่อตั้งจุดตรวจจุดสกัดจนสามารถจับกุมตัวได้ ได้ควบคุมตัวนายสันติ มายัง สน.บางซื่อ ซึ่งมีการยืนยันว่า คนร้ายมีพฤติกรรมติดยาเสพติด และต้องการขโมยเพื่อนำเงินไปซื้อยาเสพติด
เบื้องต้นนายสันติ ตกเป็นผู้ต้องหาในคดี พยายามฆ่าเจ้าพนักงาน มีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต พกพาอาวุธปืนและเครื่องกระสุนไปในเมือง หมู่บ้าน หรือที่สาธารณะ โดยไม่ได้รับอนุญาต พกพาอาวุธปืนและเครื่องกระสุนไปในเมือง หมู่บ้าน หรือที่สาธารณะ โดยไม่มีเหตุเร่งด่วน ยิงปืนโดยใช่เหตุ ในเมือง หมู่บ้าน หรือชุมชน และบุกรุกเคหสถานในเวลากลางคืน
วางแผนอำพราง คนร้ายรู้ทันตำรวจ
รศ.พ.ต.ท.ดร.กฤษณพงค์ พูตระกูล รองอธิการบดี และประธานกรรมการคณะอาชญาวิทยา และการบริหารงานยุติธรรม ม.รังสิต วิเคราะห์ว่า ด้วยความที่ผู้ก่อเหตุกระทำผิดบ่อยครั้ง ทำให้มีความรู้ในการหลบหนี ประกอบกับพื้นที่บ้านที่คนร้ายหลบหนีเข้าไปในวันแรก คนร้ายเคยอาศัยอยู่ในพื้นที่ดังกล่าวมาก่อน ทำให้ทราบถึงภูมิประเทศในพื้นที่เป็นอย่างดี เลยสามารถเอาตัวรอดออกมาจากช่องระบายอากาศของบ้าน
พฤติกรรมของคนร้ายรายนี้ เข้าใจกลไกการทำงานของตำรวจ และรู้จักพฤติกรรมในการอำพรางตัวเอง มาจากการเรียนรู้จากสื่อและภาพยนตร์ ทำให้คนร้ายมีองค์ความรู้ว่า ทำการอำพรางตัวได้อย่างไร ดังนั้น ตำรวจต้องมีการพัฒนาองค์ความรู้ ให้เท่าทันกับคนร้าย เช่น แก๊งคอลเซ็นเตอร์ ก็เริ่มมีการใช้เอไอ ในการทำให้คนที่ถูกหลอกหลงเชื่อมากขึ้น
...
เหตุผลหลักที่ตำรวจไม่บุกจับตั้งแต่วันแรก เพราะคนร้ายมีอาวุธปืน และบุกเข้าไปในบ้านของพลเรือน มีประชาชนอยู่ในบ้าน ทำให้ตำรวจต้องใช้ความระมัดระวัง ไม่ให้คนร้ายกระทำต่อเหยื่อและประชาชนทั่วไป ทำให้ตำรวจต้องใช้ความรอบคอบมากขึ้น แต่ในทางกลับกัน ถ้าคนร้ายเริ่มยิงใส่ตัวประกัน เจ้าหน้าที่ก็จะเริ่มปฏิบัติการเข้าช่วยเหลือทันที เพราะต่อไปเสี่ยงที่จะทำร้ายตัวประกันจนเสียชีวิต
กรณีนี้ ถือเป็นบทเรียนที่ตำรวจ ต้องมีการสืบสวน ตั้งสมมติฐานในการที่คนร้ายจะหลบหนีเพิ่มขึ้นจากเดิม และด้วยสภาพภูมิประเทศเป็นข้อจำกัด ทำให้ตำรวจต้องมียุทธวิธีที่ทันสมัยมากขึ้น.