คดีปริศนา ฆ่าปาดคอเด็กอายุ 14 เสียชีวิตในบ้าน ใกล้กันพบพ่อวัย 40 ปี ได้รับบาดเจ็บถูกปาดคอ ในพื้นที่ อ.บ้านหมอ จ.สระบุรี ล่าสุดตำรวจได้ทำการตรวจดีเอ็นเอ ผู้อยู่ในที่เกิดเหตุ เพราะไม่มีร่องรอยการต่อสู้ พบเพียงคราบเลือดของผู้เสียชีวิต แต่มีดที่ใช้ก่อเหตุ ถูกเคลื่อนย้าย ตำรวจยังพุ่งเป้าไปที่เหตุฆาตกรรม ด้านผู้เชี่ยวชาญมอง 7 ปมต้องสงสัยหาตัวคนก่อเหตุ
กลายเป็นคดีปริศนา ที่ตำรวจกำลังเร่งหาแรงจูงใจในการทำร้าย ฆ่าปาดคอเด็ก 14 ปี เสียชีวิตคาบ้านพัก พร้อมพ่อที่มีอาการบาดเจ็บสาหัส เหตุเกิดเมื่อ 22 ก.ค ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.บ้านหมอ จ.สระบุรี ได้รับแจ้งเกิดเหตุฆาตกรรม ที่บ้านแห่งหนึ่ง ในพื้นที่หมู่ 4 ต.หนองบัว อ.บ้านหมอ จ.สระบุรี
บ้านเกิดเหตุเป็นบ้านชั้นเดียวยกพื้นสูง พบศพเด็กชาย อายุ 14 ปี สภาพศพนอนหงายในห้องนอน ถอดเสื้อ ใส่กางเกงกีฬาสีดำ ขาสั้นมีบาดแผลถูกของมีคมปาดบริเวณลำคอ มีเลือดไหลนองเต็มพื้นห้อง ใกล้กันพบพ่อของเด็ก บาดเจ็บสาหัส ถูกของมีคมปาดที่ลำคอ ทราบชื่อนายบุญฤทธิ์ อายุ 40 ปี ถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลบ้านหมอ
...
ตรวจสอบในพื้นที่เกิดเหตุพบ มีดทำครัว ความยาว 20 เซนติเมตร ตกอยู่ใต้บันไดบ้าน มีคราบเลือดติดอยู่จำนวนมาก และพบกระดาษตกอยู่หน้าห้องเขียนเลข 1169 โดยใช้เลือดเขียน และยังพบแผ่นพลาสติกเขียนบทสวด และมีการปักธูปไว้บริเวณรอบบ้าน 3 แห่ง
เมื่อสอบถามย่าของเด็กผู้เสียชีวิต ให้ข้อมูลว่า ลูกชายที่เป็นพ่อของเด็ก มีอาการเครียด หลังถูกเพื่อนหักหลัง จนต้องย้ายกลับมาอยู่กับตนในบ้านพักที่เกิดเหตุ ปกติ "นายบุญฤทธิ์" รักลูกชายมาก เช้าก่อนเกิดเหตุยังพบว่า ลูกชายกับลูกยังลุกขึ้นมาสวดมนต์ ซึ่งเวลาประมาณ 08.00 น. ขณะที่ตนเองกำลังทำงานอยู่หลังบ้านก็ได้ยินเสียงผิดปกติ เมื่อขึ้นไปบนบ้านพบกองเลือดจำนวนมาก จึงเรียกให้สามีกลับมาบ้าน เพื่อช่วยเหลือลูกชายกับหลาน
จากการสอบถามล่าสุด "พ.ต.อ.มนัสเวท ทองอิ่ม" ผกก.สภ.บ้านหมอ จ.สระบุรี ให้ข้อมูลว่า หลังเก็บข้อมูลในสถานที่เกิดเหตุ ตอนนี้ได้ทำการตรวจดีเอ็นเอของผู้เกี่ยวข้องในสถานที่ คาดว่าผลดีเอ็นเอจะออกในเร็วนี้ ซึ่งเป็นข้อมูลสำคัญในการหาคนร้ายที่เกี่ยวโยงกับคดีฆาตกรรม
7 สาเหตุคดีฆาตกรรม ปริศนารอยเลือดบนกระดาษ
รศ.นพ.วีระศักดิ์ จรัสชัยศรี อาจารย์แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านนิติเวชศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (มศว) วิเคราะห์คดีนี้ว่า ถือเป็นคดีที่ต้องใช้การเก็บพยานหลักฐานในสถานที่เกิดเหตุมาก เพราะบ้านดังกล่าวไม่มีกล้องวงจรปิดที่เป็นพยานหลักฐานสำคัญ แต่จากพยานแวดล้อมต่างๆ คาดว่าไม่น่าจะมีบุคคลต้องสงสัยภายนอกเข้ามาในพื้นที่บ้าน นั่นแสดงว่าบุคคลที่เกี่ยวข้องกับปริศนาฆาตกรรมน่าอยู่ภายในพื้นที่บ้าน ซึ่งคนที่เป็นปู่มีหลักฐานจากกล้องวงจรปิดภายนอกว่าในช่วงเกิดเหตุไปที่ร้านขายของชำแห่งหนึ่ง
หากวิเคราะห์ตามหลักนิติเวชศาสตร์ สามารถมองได้ในประเด็นต่อไปนี้
พ่อของน้องที่ถูกปาดคอเสียชีวิตมีประวัติป่วยจิตเวช ประกอบกับพ่อเองก็มีความเครียดจากเรื่องตกงาน ดังนั้นต้องมาพิจารณารอยบาดแผลของน้องวัย 14 ปี ที่เสียชีวิต กับพ่อที่ได้รับบาดเจ็บ โดยปกติรอยบาดแผลที่ถูกทำร้ายโดยบุคคลอื่น รอยแผลจะมีความยาว ไม่มีรอยกรีดเล็กๆ บริเวณขอบบาดแผล
ถ้าเป็นบาดแผลจากของมีคม ลักษณะทำร้ายตัวเอง จะมีรอยกรีดที่ไม่ลึกมากบริเวณต้นแผล ลักษณะเหมือนเอามีดที่มาจ่อที่คอตัวเอง แต่มีความลังเล ทำให้มีรอยย้ำอยู่บริเวณต้นแผลประมาณ 2-3 เส้น ดังนั้น เจ้าหน้าที่ต้องมีการตรวจร่องรอยของบาดแผลทั้งของพ่อเด็กที่ได้รับบาดเจ็บ และน้องวัย 14 ปีที่เสียชีวิต
...
ขณะเดียวกันถ้ามีรอยบาดแผลลักษณะกรีดคอตัวเอง ปรากฏอยู่บนคอของพ่อ ก็อาจมีแนวโน้มว่าพ่อเป็นคนทำร้ายลูก แล้วมาทำร้ายตัวเองต่อ แต่ในทางกลับกัน ถ้าพบว่าบาดแผลของพ่อเป็นรอยลักษณะถูกทำร้าย ก็อาจตั้งข้อสงสัยคนที่อยู่บริเวณบ้านว่าอาจมีผู้ที่ทำร้ายซ่อนอยู่
ปกติบาดแผลที่ทำให้เสียชีวิตจะถูกบริเวณเส้นเลือดใหญ่ ทำให้มีเลือดออกปริมาณมาก ดังนั้น ถ้ามีบุคคลที่สามเป็นผู้ก่อเหตุ จะทิ้งร่องรอยฝ่าเท้าเปื้อนเลือดในที่เกิดเหตุ
น่าสนใจว่า ร่องรอยในที่เกิดเหตุ ไม่มีการต่อสู้ ขณะที่ทางญาติก็บอกว่า พ่อที่ได้รับบาดเจ็บ รักลูกที่เสียชีวิตมาก แต่ในหลายกรณี ที่ผู้กระทำมีภาวะป่วยทางจิต จะทำร้ายลูกตัวเอง มาจากความรักที่มาก จึงไม่อยากให้ลูกอยู่โดยที่ไม่มีตัวเอง
ด้านประเด็นที่มีการตั้งข้อสังเกตว่า หลังเกิดเหตุ ย่าได้นำมีดไปไว้ใต้บันได อาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับการทำร้ายหรือไม่ ซึ่งในความเป็นจริง หญิงสูงอายุที่จะไปทำร้ายลูกชายวัย 40 ปี และเด็กผู้ชายวัย 14 ปี ถือเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ยาก ประกอบกับในสถานที่เกิดเหตุไม่มีร่องรอยการต่อสู้
...
ส่วนรอยเลือดที่เขียนบนกระดาษ เป็นหมายเลข "1169" จะต้องมีการตรวจให้ทราบก่อนว่าเลือดที่เขียนเป็นของใคร ซึ่งหมายเลขดังกล่าวเป็นเบอร์โทรของหน่วยการแพทย์ฉุกเฉิน ซึ่งอาจเป็นไปได้ว่า พ่อที่ได้รับบาดเจ็บเป็นผู้เขียน และขอความช่วยเหลือ เพราะไม่สามารถพูดได้ เนื่องจากได้รับบาดเจ็บบริเวณลำคอ.