เจาะเบื้องหลัง รวบ พ.ต.ท. เชียงใหม่ โยงแก๊งคอลเซ็นเตอร์ จ่อให้ออกจากราชการไว้ก่อน ชี้ หลักฐาน SIM BOX 12 เครื่อง ใช้โทรวันละเป็นหมื่นสาย เร่งตรวจสอบชายแดน...
มุกประจำของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ในการข่มขู่ และหลอกลวงประชาชน คือการอ้างตัว เป็น “ตำรวจ” หรือ หน่วยงานด้านการสืบสวน จับกุมในการทำผิดกฎหมายทางใดก็ทางหนึ่ง
แต่กับข่าวล่าสุด เมื่อเร็วๆ นี้ กลายเป็นว่า “ตำรวจ” ซึ่งมียศถึง พ.ต.ท. หรือ สารวัตร ที่ จ.เชียงใหม่ กลายเป็นผู้ต้องหานำเครื่อง SIM BOX ที่ทำหน้าที่ ขยายสัญญาณ รันหมายเลข เป็นเบอร์ในประเทศไทย คล้ายเป็นการ “อำนวยความสะดวก” ให้กับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ มาหลอกลวงคนไทย ซึ่ง 1 วัน สามารถโทรหาคนอื่นได้ถึงหมื่นสาย มาตั้งในสถานที่ของตนเอง และอ้างว่า “ไม่รู้ว่าเป็นเครื่องอะไร” เป็นคุณ คุณจะเชื่อไหม...?
เกี่ยวกับเรื่องนี้ “เรา” ได้พูดคุยกับ พล.ต.ต.วีรชน บุญทวี รอง ผบช.ภ.5 ที่ร่วมจับกุมและสอบสวนในวันนั้น มาเล่าเบื้องหลังและความคืบหน้าเกี่ยวกับคดีนี้...
...
พล.ต.ต.วีรชน เผยว่า สิ่งที่เขาอ้าง อ้างว่าไม่รู้ว่าเป็นเครื่องอะไร ซึ่งการที่เป็นตำรวจ ไม่อ้างอะไรแบบนี้ไม่ได้ ขนาดประชาชนยังอ้างว่าไม่รู้กฎหมายไม่ได้ ฉะนั้น สิ่งที่เราทำในเวลานี้ คือ การหาหลักฐานต่างๆ ทั้งเส้นทางการเงิน โทรศัพท์ การติดต่อสื่อสารต่างๆ รวมถึงภาพกล้องวงจรปิด
“ตอนนี้มีการขยายผล และเตรียมออกหมายเรียก หรือหมายจับ เพิ่มเติม โดยเฉพาะผู้ร่วมขบวนการเพิ่มเติม ทั้งคนไทย และต่างชาติ โดยเฉพาะผู้ที่เกี่ยวข้องในการนำเครื่อง SIM BOX เข้ามา โดยเส้นทางที่เข้ามานั้น น่าจะมาจากจีน และเข้าไทยในทางแม่สาย ด้วยช่องทางที่ผิดกฎหมาย โดยเฉพาะลูกสาวที่ให้การว่า ตอนแรกไม่รู้จะนำเครื่องนี้ไปวางไว้ไหน เลยให้พ่อจัดการหาที่วางให้ ซึ่งเครื่องชุดแรก จึงนำมาวางในห้องลูกสาว จำนวน 4 เครื่อง”
จากนั้นก็มีการขนเครื่อง SIM BOX ชุดอื่นๆ มาอีก 8 เครื่อง รวมเป็น 12 เครื่อง โดยกระจายไปวางในจุดอื่น เนื่องจากไม่ให้ความถี่มันเต็ม เพราะ 1 เครื่อง สามารถโทรพร้อมกันได้ 32 เบอร์ ดังนั้น หากรวมกัน 12 เครื่อง จะโทรพร้อมกันได้ 384 เบอร์ โดยเบอร์จะรันไปเรื่อยๆ
“การทำงานของเครื่องนี้มันใช้ระบบออโต้ คอยรับส่งสัญญาณจาก “เครื่องแม่” อยู่ต่างประเทศ ที่คอยรับสัญญาณและแปลงเป็นเบอร์โทรศัพท์ไทย ฉะนั้น ตอนที่จับ เราเจอแค่คนเฝ้าไม่กี่คน คอยดูแลเรื่องระบบไฟฟ้า เปิดพัดลม ดูแลอินเทอร์เน็ต”
ข้อหาหลักในการดำเนินคดี
1. ร่วมกันทำ มี ใช้ นำเข้า นำออก หรือค้าซึ่งเครื่องวิทยุคมนาคม โดยไม่ได้รับใบอนุญาต
2. ร่วมกันตั้งสถานีวิทยุคมนาคม โดยไม่ได้รับใบอนุญาต
3. ร่วมกันใช้คลื่นความถี่ในการประกอบกิจการโทรคมนาคม โดยไม่ได้รับอนุญาต
ฟังแล้ว ข้อหาไม่หนักเท่าไร พล.ต.ต.วีรชน ยอมรับว่าเป็นเช่นนั้น โดย 2 ข้อหา จำคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับไม่เกิน 2 แสน หรือทั้งจำและปรับ นอกจากนี้ ยังมีโอกาสที่จะรอลงอาญา
ตอนนี้เรากำลังดำเนินการในข้อหาอื่นๆ โดยเฉพาะการพิสูจน์ในเรื่องข้อหาเกี่ยวกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ หากเข้าข่าย ก็จะเป็นเรื่อง “ฉ้อโกงประชาชน” โดยเวลานี้จะต้องส่งเครื่องไปตรวจสอบ เพื่อหาหมายเลขที่เกี่ยวข้องกับการฉ้อโกงประชาชน หากพบว่ามีผู้เสียหาย หรือเกี่ยวข้องกับการหลอกให้โอนเงิน เราก็จะดำเนินการเพิ่ม
“หากพิสูจน์แล้วว่ามีคนเคยมาแจ้งความ ว่าถูกเบอร์โทร ที่ผ่านเครื่องนี้ เราก็จะจัดการแจ้งข้อหาเพิ่มทันที! โดยเฉพาะการสนับสนุน หรือเป็นตัวการร่วมกันฉ้อโกงประชาชน”
...
กรณี ภาค 5 มีการกวดขันอะไรเพิ่มเติมหรือไม่ รอง ผบช.ภ.5 บอกว่า เมื่อวานได้ไปตรวจสอบที่บริเวณชายแดนไทย กับประเทศเพื่อนบ้าน ที่บริเวณเชียงแสน โดยเฉพาะ “เสาสัญญาณ” ที่ตั้งอยู่บริเวณชายแดน เรื่องนี้เราต้องประสานหน่วยงานอื่น เช่น กสทช. และหน่วยงานเอกชนที่ให้บริการ ต้องร่วมตรวจสอบด้าน “เทคนิค” การส่งสัญญาณข้ามประเทศ เราต้องป้องกันไม่ให้คนต่างประเทศ เข้ามาใช้ “เสาสัญญาณ” ของเรา โทรเข้ามาหลอกลวงคนไทย เพื่อให้ขึ้นเบอร์ไทย
“เขาไม่จำเป็นต้องวาง SIM BOX ในไทยก็ได้ หากเขาเกี่ยวสัญญาณในประเทศไทยได้ เขาอาจจะเลือกวางไว้ที่ชายแดนก็ได้ ฉะนั้น สิ่งที่เราต้องทำ คือ เราต้องไม่ให้สัญญาณของเรา ไปถึงต่างประเทศ เพราะหากมันเกี่ยวได้ มันก็จะขึ้นเบอร์ไทย...”
พล.ต.ต.วีรชน กล่าวว่า ตอนนี้เรายังไม่ทราบมูลค่าความเสียหาย เนื่องจากเรายังไม่รู้ว่า ใครโดนเคสนี้หลอกบ้าง ซึ่งเราทราบว่า แต่ละวันมีการโทรหาคนอื่นนับหมื่นสาย และทำมาแล้ว เดือนกว่าๆ และเชื่อว่าเป้าหมายหลักก็คือการหลอกลวงคนไทย
“ส่วนคนที่เป็นตำรวจ และเจ้าหน้าที่ของรัฐนั้น เรื่องนี้ ทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติ มีการกำชับหนักแน่นอยู่แล้ว และเท่าที่ทราบ เคสนี้กำลังดำเนินการเรื่องการ “ให้ออกจากราชการไว้ก่อน” ซึ่งเรื่องนี้ คงต้องรอหนังสืออย่างเป็นทางการต่อไป”
“ตำรวจ” เป็นเสียเอง เสียหายถึง นายกฯ
ด้าน ผู้การวิสุทธิ์ วานิชบุตร อดีตรองผู้บัญชาการ สำนักงานกฎหมายและคดี และอดีต รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 9 มองว่า เรื่องนี้ภาพลักษณ์ตำรวจเสียหายหนักมาก และส่งผลเสียไปถึงรัฐบาลด้วย เนื่องจากเป็น นโยบายรัฐบาลในการปราบแก๊งคอลเซ็นเตอร์ เว็บพนัน แต่ปรากฏว่า ปราบปรามไม่ได้ผล รวมๆ ได้ผลไม่ถึง 20%
...
“ปราบไม่ได้ไม่พอ เจ้าหน้าที่ตำรวจที่ควรจะเป็นคนปราบแต่ทำเสียเอง แบบนี้เสียหายขนาดไหน เหมือนเป็นการตบหน้าผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ คนในรัฐบาล รวมถึงนายกรัฐมนตรีด้วย ไม่สนองนโยบาย แถม พ.ต.ท. คนนี้ทำเสียเอง เรียกว่า ไม่ไว้หน้า ผบ.ตร. หรือ นายกฯ เลย ถ้าเขาไว้หน้า เขาจะไม่ทำ การอ้างว่าไม่รู้ว่าเป็นเครื่องอะไร เป็นตำรวจ ยศถึง พันตำรวจโท...นี่จับสลาก ได้มาหรือ”
รัฐบาลเพิ่งจะแถลงนโยบายไป 3 เรื่อง คือ
1. ยาเสพติด
2. เว็บพนัน
3. แก๊งคอลเซ็นเตอร์
“แต่สิ่งที่เกิดขึ้น ยาเสพติด ยาบ้าตอนนี้ ซื้อ 1,000 เม็ดขึ้นไป ขายเม็ดละ 5 บาท ซื้อ 500 เม็ด ขายเม็ดละ 7 บาท ตอนผมเป็นผู้การอ่างทองยาบ้า เม็ดละ 350 บาท นะ แปลว่ามันซื้อยากแค่ไหน”
ผู้การวิสุทธ์ อธิบายว่า หากพื้นที่ไหน ติดชายแดน มักจะเป็นที่ทำการของสิ่งผิดกฎหมาย สำหรับ แก๊งคอลเซ็นเตอร์ ที่มีมากที่สุด ในประเทศเพื่อนบ้านคือ พม่า รองลงมา กัมพูชา และลาว สาเหตุที่พม่า มีพื้นที่ติดชายแดนกับไทยมากที่สุด ยาวที่สุด ฉะนั้น เซิร์ฟเวอร์หลักของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ส่วนมากจะอยู่ฝั่งนู้น และที่สำคัญ คือ สามารถใช้เงินซื้อเจ้าหน้าที่บางคนฝั่งนู้นได้ โดยเฉพาะเวลานี้ มีการแบ่งฝักฝ่ายออกเป็นหลายก๊ก ตอนนี้กำลังรบกันอยู่ หากมีการจ่ายเงินให้ เขาก็อาจจะดูแลความปลอดภัยให้..”
...
ผู้การวิสุทธิ์ ย้ำว่า แก๊งคอลเซ็นเตอร์ ในเวลานี้ กว่า 90% เป็นกลุ่ม จีนเทา ทั้งนั้น ที่สำคัญ คือ หากในภูมิภาคนี้ เป้าหมายหลักก็คือ ประเทศไทย สาเหตุเพราะเรามีความพร้อมทุกๆ อย่าง ทั้งระบบธนาคาร การโอนเงิน และเงินทอง
จะมาหลอกพวกพม่า ก็ไม่รู้จะหลอกยังไง เพราะระบบมันก็ยังไม่พร้อม เงินมันก็ไม่ค่อยจะมีให้หลอก...
อีกปัจจัยที่ทำให้คนไทย โดนหลอกง่าย คือ ความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ โดยเฉพาะเรื่องการเงิน, ความอีรุงตุงนังในระบบราชการไทย มันซับซ้อน ตำรวจ ดีเอสไอ สรรพากร ป.ป.ช. ปปง. เรียกว่ามีหน่วยงานเยอะแยะ ทำให้มีเงื่อนไขในการหลอกเยอะ
นอกจากนี้ คนไทยที่รวยๆ บางคนก็มีแผลทั้งนั้น ทำธุรกิจสีเทา สีดำ ทำให้มีโอกาสถูกข่มขู่ หรือหลอกก็มากขึ้น แม้ว่าคนที่ทำจะไม่โดนหลอก แต่ญาติพี่น้อง คนที่ได้เงินมา โดยไม่รู้ที่มาที่ไปของเงิน หรือพอรู้ว่าลูกหลานทำอะไรไม่ดี แก๊งพวกนี้ มันก็โทรหา คนแก่ อ้างว่าลูกทำผิดกฎหมาย ก็หลงเชื่อมีโอกาสโดนหลอก
ที่สำคัญ คือ เรื่องบัญชีม้า ประเทศเราเปิดบัญชีกันง่าย เท่าที่รู้มา คือ ตอนนี้เรามีบัญชีม้ากว่า 5 แสนบัญชี ซึ่งตอนนี้ก็ยกระดับ การเป็นบัญชีนิติบุคคล เป็นม้าอีก เรื่องนี้ระบบธนาคาร ต้องไปช่วยกันแก้ปัญหา
“นายกฯ เป็นผู้มีอำนาจสูงสุดในการบริหารบ้านเมือง ประเทศชาติ ขอให้บริหารด้วยความกล้า และการกระทำ ไม่ใช่การบริหารด้วยลมปาก และวาจา เมื่อสั่งการนโยบายไปแล้ว ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด อย่างต่อเนื่อง ลงโทษ ขรก.ไม่สนองนโยบาย ใครทำดี ให้รางวัล ใครไม่ดี ต้องลงโทษ”
อ่านบทความที่น่าสนใจ