นักอาชญาวิทยาวิเคราะห์คดี ฆ่าสยองสาวราชภัฏ เจาะปริศนาฆ่าเปลือย ตัดมือ ขนศพซ้อนท้าย จยย. พยานทักบอก “เอาของรักมาทิ้ง” ...
เป็นคดีสยดสยอง สะเทือนขวัญ ชาวปากคลองรังสิต สำหรับคดี นายธนากรณ์ หรือ “แซน” วัย 18 ปี ได้ก่อเหตุฆ่าแฟนสาววัยเดียวกันด้วยการปาดคอ และข้อมือทั้งสองข้างถูกตัด ท่อนบนเปลือย ท่อนล่างใส่กระโปรง มีเข็มขัดมหาวิทยาลัยราชภัฏแห่งหนึ่ง
ประเด็นสำคัญของคดีนี้ คือ ผู้ก่อเหตุได้นำศพที่ห่อด้วยผ้าปูที่นอนใส่ จยย. ลักษณะวางด้านหลังของเบาะคนขับ ขี่มาตามทาง และนำมาทิ้งไว้ข้างทางลักษณะเป็นกองขยะ ที่สำคัญคือเมื่อมีผู้คนพบเห็น และถามว่า “เอาอะไรมาทิ้ง” คนร้ายกลับตอบว่า “เอาของรักมาทิ้ง”
และเมื่อไปตรวจสอบก็ทราบว่าเป็นศพหญิงดังกล่าว จึงมีการแจ้งความ...กระทั่งต่อมา เมื่อผู้ก่อเหตุทราบ จึงพยายามทำร้ายตัวเองด้วยการกินยา แต่สุดท้ายก็ส่งตัวรักษาโรงพยาบาลได้ทัน
เกี่ยวกับเรื่องนี้ เราได้พูดคุยกับ พล.ต.ท.พิศาล มุขแจ้ง นักอาชญาวิทยา และอดีตอาจารย์โรงเรียนนายร้อยตำรวจ ได้วิเคราะห์คดีนี้ไว้อย่างน่าสนใจ
พล.ต.ท.พิศาล มองว่า ถ้าเกิดเรามาดูเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างผู้ตายกับผู้ก่อเหตุ พบว่าทั้งสองก็เคยมีความรัก ความผูกพัน มีการคบหากันอย่างน้อย 3 ปี จากในฐานะเพื่อนสู่แฟน และทราบจากข่าวว่า ช่วง 1 ปีที่ผ่านมา ฝ่ายหญิงได้ย้ายมาอยู่ที่บ้านฝ่ายชาย ซึ่งภายในบ้านก็มีพี่ชายของผู้ก่อเหตุและพี่สะใภ้ด้วย..
การที่ฝ่ายหญิงเลือกเข้ามาอยู่ในบ้านผู้ชาย แปลว่า ความสัมพันธ์ของทั้งคู่นั้นมีความแนบแน่น หรือถึงขั้นฉันสามีภรรยา หรือคู่สมรส นี่วิเคราะห์จากข้อมูลตามข่าว
...
ป่วยจิตเวช กับแรงกระตุ้น
ทราบมาว่า ผู้ก่อเหตุมีประวัติการรักษาทางจิตเวช แปลว่า ต้องมีความผิดปกติทางด้านบุคลิกภาพด้านใดด้านหนึ่ง เมื่อมีคนถามเขาว่า เอาอะไรมาทิ้ง เขาตอบว่า “เอาของรักมาทิ้ง” และจากนั้นเขากินยาเกินขนาด จึงสันนิษฐานได้ว่า ผู้ชายคนนี้รักผู้หญิง
นี่คือข้อมูลจากคำพูด และ การยอมกินยา หวังทำลายชีวิตตัวเอง หลังทำร้ายคนที่รัก
“ช่วงอายุก็เป็นสิ่งสำคัญอีกสิ่งหนึ่ง ช่วงอายุ 18-19 ปี ถือว่าเป็นช่วงหุนหันพลันแล่น เป็นวัยที่ตัดสินใจแบบฉับพลัน เร่งด่วน บางครั้งขาดความไตร่ตรองแบบมีเหตุผล ดังนั้น คาดการณ์ได้ว่า การลงมือกระทำผิด อาจมาจากอารมณ์ชั่ววูบ โดยที่เรายังไม่ทราบมูลเหตุ”
อดีตอาจารย์โรงเรียนตำรวจ และนักอาชญาวิทยา วิเคราะห์ว่า การที่คนเราจะฆ่าใคร แปลว่าต้องมีแรงผลักดันที่รุนแรง ประกอบกับอาการป่วยทางจิตด้วย ทำให้อารมณ์แปรปรวน
ถามว่าอาการ “จิตเวช” มีผลแค่ไหน ผู้เชี่ยวชาญวิชาอาชญาวิทยา ชี้ว่า คนปกติอาจจะไม่กระทำ แต่เมื่อมีอาการป่วยเข้ามาผสม อาจเป็นการกระตุ้นให้เขาทำ และไม่ทำอย่างคนปกติ
อ่านนัย การตัดมือ ย่อมมีความหมาย
“อีกตัวหนึ่งที่บ่งชี้ว่า ทำไมต้องทำลายศพ ที่ตัดเฉพาะข้อมือผู้หญิง หรือคอผู้หญิง มันต้องมีอะไร หรือเพราะมือของผู้หญิงเคยไปทำอะไรให้โกรธ เกลียด แค้น หรือเจ็บปวดรวดร้าว ทำให้ต้องตัดมือออกไป ต้องมีความหมาย...เชือดคอเพราะอะไร ตัดมือเพราะอะไร
ทำไมทำลายศพแค่ตรงนี้ หากเขามุ่งตัดแขน ตัดขา เพื่อปิดบัง ซ่อนเร้น อำพราง หรือต้องการเคลื่อนย้ายศพ หรือเอาศพไปทิ้ง คงไม่ตัดแค่มืออย่างเดียว”
...
“เอาของรักมาทิ้ง” เชื่อ ไม่ได้มีการวางแผนล่วงหน้า
การที่บอกว่า “เอาของรักมาทิ้ง” แต่กลับเลือกสถานที่ทิ้งที่คล้ายกับกองขยะ ยังแปลว่ารักได้อยู่หรือ นักอาชญาวิทยา มองว่า อาจจะมาจากทั้งรักและแค้น การที่นำศพไปทิ้งแบบนี้ เชื่อว่าเพราะเขาไม่มีประสบการณ์ หรือเคยเรียนรู้ในการทำลายศพ เพียงแต่ต้องการเอาศพให้พ้นจากตัวเอง
การเอาศพขึ้นรถจักรยานยนต์ มันเป็นเรื่องที่ไม่มีใครทำ ที่ทำแบบนั้นเพราะมองว่าเป็นเด็ก หากเป็นนักฆ่า หรือมืออาชีพ ก็คงไม่ทำแบบนั้น
การกระทำดังกล่าว ถือเป็นการสะท้อนสภาวะทางจิตไม่ปกติได้ไหม เพราะเอาศพมาทิ้ง คนเห็นก็บอกว่า “เอาของรักมาทิ้ง” นักอาชญาวิทยา สรุปว่า ก็เพราะผิดปกตินี่แหละ ถึงลงมือกระทำ และทิ้งศพแบบนี้ หากเป็นคนร้ายโดยกมลสันดาน มีคนมาทักแบบนี้ แปลว่า ทำแค่หยาบๆ เท่านั้น หวังให้พ้นตัว นอกจากนี้ ยังพยายามหนีความผิดด้วย
“คนเราไม่มีใครทำร้ายคนที่รักหรอก มีแต่ต้องทะนุถนอม ปกป้อง การทำลายบุคคลที่รักต้องมีเหตุและปัจจัยที่นำไปสู่จุดนั้น...”
...
ส่วนตัวเชื่อว่า เหตุการณ์นี้น่าจะไม่ได้มีการวางแผนล่วงหน้า เพราะจากพยาน ระบุว่า ช่วงเวลาประมาณ 02.00 น. ยังได้ยินเสียงทะเลาะกัน สิ่งที่เกิดขึ้นไม่เห็นสัญญาณเรื่องการซ่อนเร้นอำพรางศพ ดังนั้น คาดว่าอาจจะเป็นการบันดาลโทสะ ขาดการควบคุมอารมณ์และจิตใจ
อ่านบทความที่น่าสนใจ