“เมฆ” วินัย ไกรบุตร นักแสดงชื่อดังวัย 54 ปี ทุกข์ทรมานจากอาการป่วยโรคตุ่มน้ำพองทั่วร่างมานาน 5 ปี กระทั่งจากโลกนี้ไปเมื่อเวลา 23.49 น. วันที่ 20 มี.ค. 2567 หลังพยายามทุกวิถีทางในการรักษาอาการป่วย และเดือน ม.ค.ที่ผ่านมา เดินทางอย่างทุลักทุเลไปยัง จ.ลำพูน เพื่อให้ อ.ไพศาล แสนชัย ผู้ระลึกกรรม ระลึกชาติ ทำพิธีแก้กรรมครั้งสุดท้ายกับเจ้ากรรมนายเวรคนที่ 7 หลังทำพิธีอโหสิกรรมไปแล้วตามคำแนะนำจนรู้สึกดีขึ้น ด้วยความหวังจะหายจากโรคเวรโรคกรรม ในอดีตเคยไปกลั่นแกล้งกระทำกับเขาไว้ตามนิมิตที่ อ.ไพศาล ได้เห็น
ความเชื่อคนไทย ใครทำอะไรไม่ดี จะได้รับผลกรรม
แต่สุดท้ายแล้วไม่อาจยื้อชีวิตไว้ได้ หรือเจ้ากรรมนายเวรคนใดคนหนึ่ง ไม่อโหสิกรรมให้ ”เมฆ” วินัย ไกรบุตร จนถึงวันอวสานของชีวิต หรือโรคเวรโรคกรรม เป็นเพียงความเชื่อเท่านั้น และความเห็นของ “อาจารย์ถึง คงทน” อาจารย์สักยันต์ชื่อดัง ผู้เชี่ยวชาญด้านไสยเวทย์และคาถาอาคม มองว่า เรื่องเจ้ากรรมนายเวร หรือโรคกรรมโรคเวรเป็นความเชื่อของแต่ละบุคคล ถ้าทำอะไรไว้ หรืออดีตชาติของใครทำอะไรไม่ดี ก็จะได้รับผลกรรม เป็นความเชื่อของคนไทย
...
อย่างตอนเป็นเด็กเคยเห็นคนแก่ชอบเอาไก่ไปชน และก่อนจะเสียชีวิต มีการเอามือชนกันเหมือนเอาไก่มาชน จนกระอักเลือด เป็นเรื่องแปลกมาก แต่ก็รู้ว่าคนคนนี้ชอบทรมานสัตว์เอาไก่ไปตีกัน ส่วนกรณี เมฆ วินัย ไกรบุตร ไม่สามารถฟันธงได้ว่าเกี่ยวกับโรคเวรโรคกรรมหรือไม่ เพราะไม่ได้ติดตามอาการมาโดยตลอด อาจเป็นความบกพร่องของร่างกายก็ได้
“เรื่องเวรกับกรรม บ่งบอกตายตัวอยู่แล้วว่ากระทำอะไรมาก็ได้ผลอย่างนั้น ทำในอดีตชาติแล้วผลกรรมมีผลในชาตินี้ หรือบางคนทำในชาตินี้ก็ส่งผลเร็ว แต่ถ้ามองอีกมุมก็ถึงเวลาของเขา เพราะการป่วยไม่สบายนอกจากมีสาเหตุหลักๆ มาจากโรคกรรมแล้ว ก็มาจากดินฟ้าอากาศ ป่วยจากฝนตกแดดออกลมพายุ เกิดจากโรคติดต่อ อีกอันก็เกิดจากการกินอาหาร กินอะไรได้อย่างนั้น กินหวานมากเป็นเบาหวาน กินไขมันมากก็เป็นไขมันในเลือด จากพฤติกรรมการใช้ชีวิตทำให้เกิดโรคแบบนี้”
กรณีของเมฆ วินัย ไกรบุตร คนอื่นอาจมองว่าเป็นโรคเวรโรคกรรม อาจเป็นเพราะคนส่วนใหญ่ไม่ค่อยเป็นโรคตุ่มน้ำพอง เกิดจากภูมิแพ้ตัวเอง และบางคนเป็นโรคจากสภาวะด้านจิตใจ สมมติบางคนไม่เป็นอะไรแต่จิตใจมีแต่ความกังวล ทำให้เกิดโรคอื่นขึ้นมาได้ เพราะเรื่องสภาวะจิตใจมีผลมาก อย่างบางคนป่วยมะเร็ง มีกำลังใจที่ดีก็สามารถมีชีวิตอยู่ได้นาน โดยส่วนตัวเชื่อในเรื่องโรคเวรโรคกรรม และปัจจุบันโรคต่างๆ พัฒนาไปไกลมาก จนวงการแพทย์ตามไม่ทัน ก็ต้องย้อนกลับมาคิดว่าเกิดจากอะไร หรืออาจไปทำอะไรไม่ดีกับใครมาหรือไม่
“ลูกศิษย์หลายคนป่วยไม่หาย ก็มาหาขอให้ทำพิธีเป่าคาถา ให้กวาดยา ส่วนใหญ่เป็นฝี เป็นงูสวัด หรือเจ็บปวดไม่ทราบสาเหตุ อยู่ดีๆ ก็ปวดขา เจ็บเอว เจ็บเข่า ไม่ได้หกล้ม แต่อยู่ๆ ก็เจ็บปวดขึ้นมา ก็ต้องทำให้ เพื่อให้เขารู้สึกสบายใจขึ้น ในการเสกคาถาปัดเป่า ทำน้ำมนต์ตามพิธีโบราณ เหมือนเป็นกำลังใจ ไม่ได้เรียกค่าครูแม้แต่บาทเดียว หลังไปหาหมอแล้วไม่หายก็ใจร้อนรีบมาหา แต่พอเสกคาถาเข้าไป คนก็รู้สึกว่าทุเลาลง อาจเป็นจังหวะจะหายพอดีก็ได้จากฤทธิ์ยา”
แก้กรรม เหมือนการยืมเงินก็ต้องคืน ไม่ให้เป็นทุกข์
คนส่วนใหญ่ที่มาหาให้เสกคาถาปัดเป่า มี 2 กรณี บางคนไม่หายก็กลับมาอีก และบางคนไม่หายก็ไม่มาอีกต่อไป แต่ส่วนใหญ่จะหายแล้วพาคนอื่นมาหา ส่วนใหญ่ป่วยเป็นงูสวัด มีอาการปวดเนื้อปวดตัวไม่มีสาเหตุเหมือนมีอะไรมาแทง มีทั้งเด็กน้อย วัยรุ่น และวัยกลางคน ซึ่งต้องเสกคาถาปัดเป่าพรมน้ำมนต์เพื่อให้คนรู้สึกสบายใจ หากไปค้านไม่ทำให้ บอกว่าบ้าไปเอง ก็จะทำให้รู้สึกไม่ดี และในฐานะเป็นหมอด้านความเชื่อ จะไปรักษาไม่ได้ ทำได้แค่กวาดยาโดยใช้สมุนไพรให้บรรเทาอาการลง เพราะในอดีตเคยเป็นงูสวัด ไปหาครูบาอาจารย์ให้เสกคาถาปัดเป่า ก็หายเป็นปกติ จึงขอเรียนวิชาคาถาคุณพระเพื่อช่วยเหลือคน
...
ด้านความเชื่อในการแก้กรรม เปรียบเหมือนการยืมเงินก็ต้องคืน ถ้าไม่เอามาคืนก็จะรู้สึกไม่สบายใจ แต่ถ้าเอาเงินไปคืนก็รู้สึกโล่งใจ เหมือนการแก้กรรมขอขมากรรม เมื่อไม่เป็นหนี้ก็ไม่ต้องทุกข์ อย่างน้อยการแก้กรรมเป็นการช่วยเรื่องกำลังใจ และวิธีแก้กรรมที่ดีสุดในทางพุทธศาสนา คือการถือศีล นั่งสมาธิวิปัสสนากรรมฐานเพราะการถือศีลอย่างน้อย 5 ข้อ ทำให้ใจบริสุทธิ์ จนสามารถทำสมาธิได้ ในการอุทิศส่วนกุศลให้พ่อแม่ เจ้ากรรมนายเวร สัตว์ทั้งหลาย
หรือบางคนไปทำกรรมโดยไม่รู้ว่าไปทำอะไรกับใครมาหรือไม่ จะต้องดูที่เจตนาในการทำกรรมว่ามีมากน้อยเพียงใด ทั้งจากความผิดพลาด หรือจากอุบัติเหตุ ในการอุทิศส่วนกุศลให้กับเจ้ากรรมนายเวรที่มองไม่เห็น อาจจะทำให้กรรมบางเบาลงได้ แต่ถ้าตั้งมั่นในศีล ไม่เบียดเบียนใคร ก็จะไม่วุ่นวายกับใคร และไม่ต้องแก้กรรมกับใคร ยกเว้นกรรมในอดีตชาติ อย่างน้อยต้องอยู่ในศีล นั่งกรรมฐานในการขัดเกลาจิตใจ ไม่สร้างกรรมอีกต่อไป.