ดราม่า ปมแนวคิด ตำรวจจีนร่วมลาดตระเวน แหล่งท่องเที่ยวไทย ถกสนั่นล้ำอธิปไตย ก่อนรัฐจะแจงว่าเข้าใจคลาดเคลื่อน ด้านกูรูจีนไขข้อสงสัย คนจีนขยาดมาไทยจริงหรือไม่   

เรียกว่าฮือฮากันเลยทีเดียว โดยวานนี้ (12 พ.ย.) น.ส.ฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ ผู้ว่าการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย หรือ ททท. เปิดเผยต่อสื่อมวลชน ที่สนามบินสุวรรณภูมิว่า มีแนวคิดเรื่องการสร้างความปลอดภัยให้กับนักท่องเที่ยว โดยเฉพาะคนจีน โดยตำรวจสอบสวนกลาง ตำรวจท่องเที่ยว จะทำงานร่วมกับกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และ ททท. ได้หารือกับสถานทูตจีน จะมีโครงการลาดตระเวน โดยมีตำรวจจากจีนเดินทางมาที่ประเทศไทย ในสถานที่ท่องเที่ยว ทั้งเมืองหลักและเมืองรอง ซึ่งโครงการลักษณะนี้เคยทำที่อิตาลีและประสบความสำเร็จ และเชื่อว่าโครงการนี้จะช่วยยกระดับความปลอดภัย และสร้างความเชื่อมั่นให้นักท่องเที่ยวจีนได้ 

เมื่อคำสัมภาษณ์ดังกล่าวออกมา กลายเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะ “อำนาจหน้าที่” และความเป็นอธิปไตย 

...

ในเวลาต่อมา นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้ออกมาอธิบายเรื่องนี้ ว่าเป็นความเข้าใจที่ “คลาดเคลื่อน” จากรายงานของ สตช. พฤติกรรมของอาชญากรรมที่เกิดขึ้นในมุมของคนจีนที่มาท่องเที่ยวเมืองไทย พบว่า พวกกลุ่มคนจีนสีเทา มีความเกรงกลัวตำรวจจีนด้วยกันเอง และนักท่องเที่ยวจีนจะรู้สึกปลอดภัยเป็นพิเศษจากพวกเกเรทั้งหลายที่เป็นคนจีนด้วยกันแต่มารังแกคนจีนที่มาท่องเที่ยวไทย หากมีตำรวจจีนมาช่วยดูแล เขาจะรู้สึกเชื่อมั่นเป็นพิเศษ ดังนั้น ตำรวจของไทยจึงคิดว่า กลยุทธ์ที่ดีที่สุดในการกำราบกลุ่มจีนสีเทา คือ ขอให้ตำรวจจีนเป็นผู้ช่วยในการปฏิบัติงาน ซึ่งปกติการทำงานร่วมกันของตำรวจสากลมีการทำงานร่วมกันอยู่แล้ว เพียงแต่ครั้งนี้แสดงออกให้เห็นชัดเจนขึ้น เพื่อให้การปฏิบัติหน้าที่ของตำรวจไทยได้รับข้อมูลและเบาะแสที่แม่นยำรวดเร็วขึ้น

นายชัย ย้ำว่า ข่าวที่จะให้ตำรวจจีนมาตระเวนดูแลความปลอดภัยไม่ตรงกับข้อเท็จจริง ความจริงเพียงแค่มาร่วมมือทำงานและให้ข้อมูลเบาะแสเพื่อให้ตำรวจไทยทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งเป็นคนละเรื่องกับที่มีการวิพากษ์วิจารณ์ว่า ประเทศไทยเป็นเอกราชทำไมต้องใช้ตำรวจจีนมาลาดตระเวน เรื่องที่มีลักษณะสร้างสรรค์เพื่อผลประโยชน์ของประเทศชาติเช่นนี้ ทำไมต้องบิดเบือนและลากให้ไปโยงกับเรื่องของศักดิ์ศรีของประเทศเช่นนั้น ขออย่าได้เล่นเกมวาทกรรมทางการเมืองกันจนเกินกว่าเหตุเช่นนี้เลย  

ตำรวจท่องเที่ยว รอความชัดเจน 

อย่างไรก็ตาม ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ ได้คุยกับ พล.ต.ต.ศักย์ศิรา เผือกอ่ำ รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 8 รักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจท่องเที่ยว และนักวิชาการที่เป็นผู้เชี่ยวชาญประเทศจีน โดยให้ความเห็น “สอดคล้องกัน”   

พล.ต.ต.ศักย์ศิรา ระบุว่า เรื่องนี้รายละเอียดลึกๆ ต้องไปถามท่าน ผู้ว่า ททท. ว่าเป็นอย่างไร นี่อาจจะเป็นหลักการ แนวคิดเท่านั้น แต่หากจะทำจริงๆ นั้นยากมาก เพราะเป็นเรื่องละเอียดอ่อนมาก การจะให้ตำรวจต่างประเทศมาเดินในสถานที่ท่องเที่ยวของเรา พกปืน อำนาจจับกุม แบบนี้เป็นไปไม่ได้ เพราะมันเกี่ยวข้องกับอำนาจอธิปไตย  

หากให้ตำรวจเขามาดูงานประเทศไทย เพื่อเป็นกระบอกเสียงให้เรา ว่าประเทศไทยมีมาตรฐาน มีความน่าเชื่อถืออย่างไร แบบนี้ทำได้ หรือ จะให้ตำรวจเราไปดูงานที่ประเทศเขา ได้เห็นแนวคิดการดูแลความปลอดภัย หรือเพิ่มเติมเรื่องอบรมด้านภาษา แบบนี้ก็ดี ซึ่งแบบนี้คือหลักการแบบเดิมที่มันดีอยู่แล้ว   

“เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่และสำคัญ อยากให้รอรายละเอียดต่างๆ ก่อน ส่วนตัวเชื่อว่า ที่มาของแนวคิดมาจากความตั้งใจดี..” พล.ต.ต.ศักย์ศิรา กล่าว 

...

จะทำการใด ต้องเป็นไปตามบริบท กฎหมาย 

ในขณะที่ นักวิชาการที่เชี่ยวชาญประเทศจีน ระบุว่า “ในการที่จะดำเนินการใดๆ ในเรื่องนี้ตามที่เป็นข่าว ต้องคำนึงถึงกฎหมายไทยและหลัก National Sovereignty and Security ที่จำเป็นต้องพิจารณาก่อนจะให้ตำรวจชาติอื่นเข้ามาดำเนินการใดๆ ในราชอาณาจักรไทย” 

นอกจากนี้ ในประเด็นมีข่าวเชิงลบในแง่นักท่องเที่ยวจีนมาประเทศไทยนั้น ต้องยอมรับว่า “บางส่วนที่รู้สึกอย่างนั้นอาจจะมีบ้าง เนื่องจากมีภาพยนตร์จีนเรื่อง No More Bets (หนังเกี่ยวข้องกับการลักพาตัวและค้าอวัยวะ) แต่ชาวจีนที่กลัวจากเรื่องนี้แล้วไม่กล้าเดินทางมาไทย อาจเป็นแค่บางกลุ่มหนึ่งเท่านั้น” คนจีนส่วนใหญ่ก็ยังมีความรู้สึกในทางบวกกับการเดินทางมาเที่ยวเมืองไทย เพียงแต่เศรษฐกิจช่วงนี้ อาจจะทำให้คนจีนส่วนใหญ่อยากหาเงินและเก็บเงินก่อน เพราะภาวะเศรษฐกิจหลังปิดประเทศจีนมานานจากนโยบาย zero COVID 

พูดง่ายๆ คือ ประเทศไทยยังมีความน่าสนใจในสายตาคนจีน เพียงแต่ช่วงนี้ คนจีนส่วนใหญ่ขอเก็บเงินหาเงิน “ยังไม่มีใจจะเดินทางไปเที่ยวต่างประเทศ” 

ที่ผ่านมา นโยบาย zero COVID ทำให้มีการล็อกดาวน์ ปิดประเทศจีนมานาน มีผลทำให้สภาพเศรษฐกิจจีนโดยรวมยังอึมครึมซึมเซา แม้ว่าจีนจะเปิดประเทศแล้วตั้งแต่ต้นปีนี้ ชาวจีนส่วนใหญ่ยังต้องการเน้นเที่ยวในประเทศจีน มากกว่าจะเดินทางไปเที่ยวต่างประเทศ 

...

ทั้งนี้ แม้ว่ามีบางส่วน คนรวยจีน มีเงินมาก ก็ออกไปเที่ยวต่างประเทศบ้าง แต่หากดูภาพรวม คนจีนยังไม่เดินทางไปท่องเที่ยวในต่างประเทศมากเหมือนก่อนเกิดวิกฤติโควิด

เมื่อถามว่า ทางการจีน เขามองอย่างไรกับประเด็น “หนัง” ที่สร้างภาพ “ความหวาดกลัว” ประเทศไทย กูรูประเทศจีน ระบุว่า ปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติที่เกิดขึ้นจริง ทางการจีนก็ได้มีการปราบปรามอาชญากรรมข้ามพรมแดนเหล่านี้ เช่น เมื่อเร็วๆ นี้มีการกวาดล้าง “แก๊งคอลเซ็นเตอร์” ขนานใหญ่ ในเมียนมา และกัมพูชา (มีการจับกุมและถูกส่งกลับไปดำเนินคดีในประเทศจีน)  

กูรูด้านจีน กล่าวสรุปว่า ความร่วมมือกับจีน ไม่ว่าจะเป็นด้านใด ต้องคำนึงถึงบริบทไทยและจำเป็นต้องสอดคล้อง/ไม่ขัดกับกฎหมายของประเทศไทยด้วย 

การจะทำอะไร จะมาอ้างว่า ประเทศนั้นร่วมมือกับจีนทำแบบนั้นแบบนี้ได้ เราก็ต้องทำได้ คิดแบบนี้ถือว่าไม่ถูกต้อง เพราะมันจำเป็นต้องดูบริบท กฎหมายไทย และกฎหมายของแต่ละประเทศด้วยว่าเป็นอย่างไร....

ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ รายงาน 

อ่านบทความที่น่าสนใจ 

...