ผู้เชี่ยวชาญด้านการต่อต้านการก่อร้าย เตือนทุกฝ่าย ใช้การข่าว และ ท่าทีด้วยความระมัดระวัง อาจมีผลกับชีวิตตัวประกัน ย้ำไม่ควรสัมภาษณ์สด อาจนำไปสู่การเปิดเผยตำแหน่ง
วันนี้ (12 ตุลาคม 2566) มีแรงงานไทย ลอตแรกจำนวน 15 คน ได้กลับจากประเทศอิสราเอล เพื่อหนีสงคราม ระหว่างอิสราเอล ปาเลสไตน์ โดยกลุ่มฮามาส โดยล่าสุด มีตัวเลขคนไทยเสียชีวิตแล้วกว่า 20 ศพ ขณะที่ 14 คน โดนจับไปเป็น "ตัวประกัน"
แม้ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในดินแดนศักดิ์สิทธิ์นี้ คนไทยจะไม่มีความเกี่ยวข้องด้วย แต่ในฐานะแรงงานที่เข้าไปขุดทอง หาเงิน ทำงานนั้น ย่อมได้รับความเดือดร้อนด้วย
ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ มีโอกาสพูดคุยกับ ผู้เชี่ยวชาญด้านการเจรจาต่อรองและต่อต้านการก่อร้าย ที่ไม่ขอเอ่ยนาม แต่อยากจะเตือนไปถึงรัฐบาล และ สำนักข่าวต่างๆ ว่าควรพึงระวังในการนำเสนอข่าว หรือให้ข้อมูล เนื่องจากสิ่งที่เผยแพร่สู่สาธารณะ อาจทำให้ชีวิตคนไทยในสมรภูมิสงคราม อิสราเอล ฮามาส แขวนอยู่บนเส้นด้าย
ความสำคัญในการเสนอข่าว และ ท่าทีรัฐบาล
...
เนื่องจาก ประเทศไทย มีความสัมพันธ์อันดีกับทั้ง 2 ประเทศ ฉะนั้น การนำเสนอข่าว เราไม่ควรที่จะให้ข่าวว่า "ใคร" เป็นผู้ก่อการร้าย แม้จะมีรายงานข่าวจากต่างประเทศ ถึงความโหดร้ายในสงคราม
"ท่าที" ของรัฐบาล ถือว่ามีความสำคัญ ไม่ควรจะเลือก หรือ ฝักใฝ่ฝ่ายใด รวมไปถึงตัว "นักข่าว" ด้วย ไม่ควรจะบอกว่า ความโหดร้ายของใครมากกว่า แม้ความเป็นจริงจะเป็นเช่นใด ฝ่ายใดโหดร้ายกว่าฝ่ายใดก็ตาม
แต่... ความจริงคือ นี่คือ "ศึกสงคราม" มันโหดร้ายกันทั้ง 2 ฝ่าย เพียงแต่ หากเราไปตอกย้ำว่าความโหดร้ายของกลุ่มฮามาส มากจนเกินไป "คนไทย" ที่ตกเป็นเหยื่อที่อยู่ในฐานะ "ตัวประกัน" หรือถ้าเขาได้เห็นข่าว แล้วโกรธ และลงมือกับตัวประกันคนไทย เพื่อให้ทั่วโลกดู จะเป็นอย่างไร... ทุกอย่างเกิดขึ้นได้ โดยเฉพาะการนำเสนอข่าว หรือ คลิปในภาวะสงคราม
ถึงแม้ การให้ข่าวของคนไทยในอิสราเอล จะมีข้อดี คือ ทำให้พ่อแม่ครอบครัวทางไทย รู้ว่ายังปลอดภัย ทำให้เช็กจำนวนคนที่หายไปได้ ยังไม่ได้รับการดูแลมีจำนวนทั้งสิ้นกี่คน และอยู่ที่ไหนบ้าง ซึ่งสิ่งเหล่านี้หากได้ประโยชน์กับคนที่นั่น ก็จะได้ประโยชน์กับคนอื่นๆ ด้วย
แต่...สิ่งที่ต้องระมัดระวัง คือ "การสัมภาษณ์สด" เพราะอย่าคิดว่า เขาจะจับสัญญาณพิกัดไม่ได้ เนื่องจาก ดินแดน บริเวณนั้น ส่วนใหญ่เป็นทะเลทราย พื้นที่ที่คนอาศัยอยู่ได้ มีไม่มาก ฉะนั้น หากเขาจับสัญญาณ ผ่าน GPS หรือ คลื่นโทรศัพท์ เขาจะรู้พิกัดทันที
หากจำเป็นต้องสื่อสาร หรือ การสัมภาษณ์ ให้หลีกเลี่ยงการออกอากาศสด เนื้อหาที่ได้ ควรคัดกรองก่อนออกอากาศ ขณะเดียวกัน รัฐบาลเองควรเข้ามาประสานกับทางสำนักข่าวต่างๆ เพื่อนำข้อมูลที่ไม่ได้ออกอากาศมาใช้ประโยชน์ เพื่อให้ ก.ต่างประเทศ ติดต่อประสานงานได้ เพราะเนื่องจากความเป็นนักข่าว จะมีวิธีสืบเสาะข้อมูล ที่บางครั้งทางการก็ไม่ทราบ
รัฐบาลต้องแถลงความคืบหน้าถี่ที่สุด
ในแง่นำเสนอข้อมูลในภาวะ "สงคราม" แหล่งข่าวระบุว่า คนกำลังรบกัน ทหารอิสราเอล กับ ฮามาส ไม่รู้จักหรอก ขอแค่รู้ว่าเป็นอีกฝ่ายก็พร้อมที่จะลงมือฆ่ากัน
ขณะที่ "คนไทย" ที่ถูกจับเป็นตัวประกัน ก็เพื่อนำมา "ต่อรอง" ฉะนั้น สิ่งที่รัฐบาล "ควรทำ" คือการแถลงข้อมูล ความคืบหน้าอย่างต่อเนื่อง คือ แถลงถี่ได้มากที่สุด กี่ครั้งก็ต้องทำ จะทุก 1-2 ชั่วโมง หรืออย่างน้อยที่สุด คือ วันละ 1 ครั้ง เพื่อให้เห็นความคืบหน้า มิเช่นนั้น ผู้สื่อข่าวก็จะไปเสาะแสวงหากันเอง
...
"สื่อ" ในประเทศตะวันตก เขาคุมอยู่ เขาก็พร้อมจะนำเสนอ สิ่งที่ ฮามาส ทำว่าเป็นเรื่องร้ายแรงมาก และมีการขึ้นทะเบียนเป็นกลุ่มก่อการร้าย โดยสหรัฐฯ แต่อย่าลืมว่า มีคนไทย ตกเป็นเหยื่อ และถูกควบคุมชะตากรรมอยู่
อย่าลืมว่า มีคนไทยจำนวนมาก รออพยพ กลับประเทศ, มีคนไทยบางส่วนหลบอยู่ภายในประเทศ ฉะนั้น การนำเสนอความรุนแรงมากเกินไป จะทำให้คนไทยที่อยู่ในอิสราเอล ตกเป็นเป้าหมาย อยู่ในอันตราย
"ฮามาส" ในเวลานี้ไม่ได้โดดเดี่ยว เขาสามารถทำระเบิดถึง 5,000 ลูกเพื่อยิงถล่มอิสราเอล จาก 5-6 จุด ได้ภายในวันเดียว ก็แปลว่า การศึกครั้งนี้มีการวางแผน เตรียมการมา ไม่ใช่การศึกแบบกองโจรที่บุกเข้ามาตี แล้วหลบหนีออกไป ซึ่งเมื่อทำแล้ว เขาก็ย่อมรู้ผลที่ตามมาว่า อิสราเอลจะตอบโต้ ปิดล้อมอย่างไร เขาคงเตรียมทางออกไว้
จะเห็นว่า ทาง "ฮิซบอลเลาะห์" เข้ามาทันที จากทางเหนือ "ซีเรีย" เข้ามาทางตะวันออก "อียิปต์" เจรจาไม่สำเร็จในทางใต้ แล้ว "ตุรกี" ก็โกรธ สหรัฐฯ ที่เอาเรือบรรทุกเครื่องบินที่เข้ามาทางทะเล "เมดิเตอร์เรเนียน" จะเห็นว่าหลายประเทศ ก็มีบทบาท ฉะนั้น เราจึงจำเป็นต้องวางตัวอย่างเหมาะสม คำนึงถึงชีวิตคนไทยที่อยู่ตรงนั้น ความปลอดภัยต้องมาก่อน
"การที่ฮามาสจับตัวประกันต่างชาติ ก็หวังต่อรองกับตัวประกัน "ฮามาส" ที่ถูกอิสราเอล..."
...
หนทางการช่วยเหลือคนไทย
แหล่งข่าวด้านการเจรจาต่อต้านการก่อการร้าย เชื่อว่า ทาง ก.ต่างประเทศ พยายาม เข้าไปช่วยเหลือคนไทยให้ได้มากที่สุด โดยเฉพาะการประสานเพื่อออกไปยังประเทศที่สาม เพราะเป็นหนทางที่สามารถช่วยได้เยอะที่สุด การใช้เครื่องบิน ขนคน ครั้งละ 200-300 คนก็ถือว่ามากแล้ว แต่หากคนมาเยอะ มันก็เพียงพอ หรือจะใช้เส้นทางน้ำ ลงเรือ ซึ่งเชื่อว่ามีการประสานทุกทาง
การเจรจาต่อรองนั้น มีความแตกต่างกัน หากคนร้ายอยู่ในประเทศ เจอปัญหาก่อการร้ายในประเทศนั้น จะใช้วิธีการอย่างหนึ่ง แต่สำหรับ กรณี สงครามแบบนี้ ก็อาจจะต้องใช้เครื่องมือ ICRC หลักการกาชาดสากล โดยเราสามารถใช้ เรื่องการเจ็บป่วยคุยกับทางสถานทูตปาเลสไตน์ เช่น การส่งยาช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม หากช่วยได้แล้ว ก็อยากฝากฝัง ให้ช่วยดูแลคนของประเทศไทยด้วย ขณะที่ทางอิสราเอล เราก็สามารถพูดคุยได้ โดยใช้หลักการกาชาดสากล
ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ รายงาน
อ่านบทความที่น่าสนใจ
...