เป็นผมดวลปืนตรงนั้น! “เรวัช กลิ่นเกษร” มองคดี ยิง ตร.ทล. คนร้ายโอกาสรอดผ่านไปแล้ว ตำหนิ ตำรวจในที่เกิดเหตุ ไม่สู้ ปล่อยคนร้ายหนี ทำลายหลักฐาน
“ถ้าเรวัช อยู่ตรงนั้น ต้องดวลปืนกันสนั่น วัดกันไปเลย สู้ได้-ไม่ได้ก็อีกเรื่อง แบบนี้ปล่อยไม่ได้ ถ้าหากโดนรุมก็ต้องยิงสู้กัน มันจะใหญ่มาจากไหน อยู่ใต้กฎหมายเดียวกัน สำหรับผม ส่วนหนึ่งขอตำหนิน้องๆ ที่อยู่ตรงนั้น ทำไมไม่ช่วยกันตามจับ"
นี่คือความเห็นของ พล.ต.ท.เรวัช กลิ่นเกษร อดีตผู้บัญชาการปราบปรามยาเสพติด ที่ถือว่าเป็นตำรวจมือปราบพระกาฬ ขึ้นชื่อเรื่องการดวลปืนกับคนร้าย และวิสามัญทรชนมานักต่อนัก
ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ ต่อสายตรงพูดคุยกับ อดีตมือปราบ คนจริง กล่าวถึง กรณี คนร้ายอุกอาจเหิมเกริม ยิงตำรวจทางหลวง พ.ต.ต.ศิวกร สายบัว สว.ส.ทล.1 กก.2 บก.ทล. เสียชีวิต และ พ.ต.ท.วศิน พันปี รอง ผกก.2 บก.ทล. บาดเจ็บสาหัส เหตุเกิดในพื้นที่ ต.ตาก้อง อ.เมือง จ.นครปฐม เมื่อคืนที่ผ่านมา ต่อมาศาลจังหวัดนครปฐม อนุมัติออกหมายจับคนร้ายที่ก่อเหตุ คือ นายธนัญชัย หมั่นมาก อายุ 45 ปี และ ในช่วงบ่ายวันนี้ ได้หมายจับเพิ่มอีก 1 คือ นายประวีณ จันทร์คล้าย หรือ กำนันนก อายุ 35 ปี ชาวนครปฐม ที่ จ.469/2566 ลงวันที่ 7 ก.ย. 2566 ก่อนกำนันคนดังกล่าว จะเข้ามอบตัวในเวลาต่อมา
...
พล.ต.ท.เรวัช กล่าวว่า เรื่องนี้มันแย่มาก พฤติกรรมมันกร่างเกิน รู้ว่าเป็นตำรวจ รู้ว่ามียศเป็นนายพัน ไม่เคยมีสาเหตุทะเลาะเบาะแว้งมาก่อน เพียงต้องการวิ่งเต้น ขอให้ย้าย จากพนักงานวิทยุ มาเป็นสายตรวจมอเตอร์ไซค์ ซึ่งมันหากินง่าย จะจับใคร ตรงไหน ในบริเวณนครปฐมมันทำได้ จะทำดีหรือชั่วได้ง่ายๆ ซึ่งสายตรวจมอเตอร์ไซค์แบบนี้มันมีไม่กี่คัน ซึ่งมันต้องคัดเลือกคนที่ดี ไม่รีดไถมาทำงาน
“เดี๋ยวนี้รถสายตรวจแบบนี้ไม่ต้องขึ้นขบวน เรียกว่างานสบาย ทำงานฉายเดี่ยวมีโอกาสทำชั่ว”
สิ่งที่เกิดขึ้น คือ สารวัตรคนนี้เป็นคนดี มาขอวิ่งเต้น เขาก็บอกว่า “รอคนเก่าเขาเกษียณก่อน ถึงจะจัดคนมาแทน”
พูดแค่นี้ไม่พอใจถึงกับ ตบโต๊ะ ซึ่งเท่าที่ทราบ พี่ชายของกำนันคนนี้ทำงานใน อบจ. แค่นี้ก็ทำตัวกร่าง ใหญ่โตมาก แบบนี้ “เอาไว้ไม่ได้!”
คนแบบนี้ไม่น่าเก็บไว้
อดีตมือปราบพระกาฬ กล่าวว่า ใจผม คนแบบนี้ไม่น่าเก็บไว้ หากสู้ก็วิสามัญไปเลย หากจับมันยัดคุก ก็อาจจะไปกร่างในคุกอีก เมื่อรอดคุกมาได้ ก็อาจจะมาคุยโม้ว่า “กูเคยฆ่าตำรวจระดับผู้พัน” มาแล้ว ยิ่งเป็นตำรวจกองปราบด้วย...คนแบบนี้ไม่ควรให้มีชีวิตอยู่
“เชื่อว่าพวกนี้มันสู้ตำรวจอยู่แล้ว เพราะถ้ามันไม่สู้ หลังเกิดเหตุมันจะวิ่งเข้าหาผู้มีอำนาจและเข้ามอบตัว แม้แต่กำนันมันจะวิ่งเข้าหาผู้มีอำนาจและมามอบตัว หรือ ยืนรอที่เกิดเหตุ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นจริง คือ ยังมีเวลาทำลายหลักฐานออก ทำลายกล้องวงจรปิด กลัวมัดลูกน้อง หรือ...? แบบนี้เรียกว่า เลวทั้งคู่"
จากประสบการณ์ที่ผ่านมา เท่าที่ทราบ พวกกลุ่มผู้มีอิทธิพลใน จ.นครปฐม เวลาก่อเหตุยิงใครตาย ส่วนมากก็มามอบตัว ไปเคลียร์กับผู้เสียหาย เขาก็ไม่กล้าเอาเรื่อง เคลียร์เงิน วิ่งคดี พยานเห็นก็ข่มขู่พยาน ก็รอดคุก จากนั้นก็เดินตามตูดผู้มีอิทธิพล หากเป็นสมัยพี่ ไอ้พวก...เนี่ยไม่กล้ากร่างหรอก ผมไม่ยอมหรอก ถ้ากล้าก็ต้องมียิงกันบ้าง
คำถามคือ ทำไมพวกนี้ถึงกล้ากร่างในยุคนี้ พล.ต.ท.เรวัช มองว่าคนผิดส่วนหนึ่งคือ “ตำรวจ” ไปกลัวผู้มีอิทธิพล หากจะมีอำนาจเงิน ทำธุรกิจไม่เปิดเผย เลี้ยงดูบางคน
ขณะที่ตัวตำรวจเองมันอ่อน... ปืนยังไม่พก หากเป็นตน ผมจะตั้งกรรมการสอบให้หมด ทั้ง 20 คนที่อยู่ตรงนั้น
“นักเลงอันธพาลพกปืน แต่ตำรวจไม่พก สมัยผมนี่ใครไม่พกปืน มึงไม่ต้องออกตรวจ เดี๋ยวนี้เด็กมันเปลี่ยนไป...แบบนี้จะไปคุ้มครองชาวบ้านได้ไง ตัวเองยังเสี่ยงโดนยิง หากผมยังมีอำนาจอยู่นี่สั่งลงโทษทุกคน ที่มีชื่อไปโผล่ร่วมงาน” (เสียงอ่อน)
...
สาเหตุที่ต้องลงโทษคือ...และตำหนิ ตำรวจด้วยกัน
พล.ต.ท.เรวัช มองว่า เห็นเหตุซึ่งหน้า ชักปืนมาต้องบอกว่าหยุด หรือ ต้องกอดปล้ำกันต่อสู้ให้สุดความสามารถ แต่นี่ไม่ใช่ พอยิงกันก็หนีออกจากที่เกิดเหตุ แบบนี้ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ตามมาตรา 157 หรือไม่
“คุณเป็นตำรวจ ถึงแม้จะเป็นตำรวจสุไหงโกลก ก็ต้องรวมตัวตรึงที่เกิดเหตุเอาไว้ ซึ่งหากมีการตั้งกรรมการสอบแล้วพบว่าไม่มีการต่อสู้ หรือ วิ่งตามคนร้าย ถือว่าบกพร่อง”
สิ่งที่ควรทำ คือ การวางเป้าหมาย ตามจุดต่างๆ โดยเฉพาะแก๊งลูกพี่มันทั้งหลาย ไม่ว่าจะหน้าไหน นักการเมืองท้องถิ่น หรือ ระดับประเทศ ขอหมายค้นเลย ซึ่งคิดว่า ทางตำรวจที่รับผิดชอบคดีน่าจะทำ โดยเฉพาะ พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก. หรือ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล รอง ผบ.ตร. ขณะที่ ผู้การทางหลวง พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว ก็อดีตมือปราบ มือวิสามัญ เช่นเดียวกัน
ปกติคดีที่มีการฆ่าตำรวจ คนร้ายมักไม่ค่อยรอด?
พล.ต.ท.เรวัช บอกว่า แล้วแต่...เพราะเมื่อก่อน เคยมีคนร้ายยิงร้อยตำรวจเอก คนหนึ่ง คนร้ายมันกลัว ก็เอาญาติมาล้อมตัว ไปไหนก็มีคนอยู่เต็มไปหมด นักข่าวก็เพียบ...
...
โอกาสรอด ผ่านไปแล้ว...
เมื่อถามว่า แบบนี้โอกาสรอดมีไหม พล.ต.ท.เรวัช ตอบทันทีเลย “ผ่านไปแล้ว...หากจะรอดตาย ต้องให้คนพามอบตัวแต่แรก แต่การยิงตำรวจแล้ว หนีจากที่เกิดเหตุแบบนี้ “ลูกพี่” ก็ไม่อยากยุ่งแล้ว อาจจะมีการควักเงินให้เพื่อให้หนีไปตั้งหลัก แบบนี้โอกาสตายเยอะ สิ่งสำคัญ คือมันหนีไปพร้อมอาวุธปืนด้วย
“กระสุนในการยิง จ่อยิงถึง 7 นัด นี่บ่งบอกเลยว่าเอาตาย ปืนที่มันใช้คือ กล็อก 19 บรรจุได้ 15 นัด ถ้าใส่แม็กเสริม 17 นัด นัดที่ 18 คาลำกล้อง แต่กดไป 7 นัด แบบนี้คือหวังเอาตาย แบบนี้มันก็ถือว่าโหด ฉะนั้น สิ่งที่ต้องทำ คือ “ทำลายอิทธิพล” ให้หมด ไล่ตรวจเลย ใครไม่มีใบพกปืน จับยัดห้องขังให้หมด เหลือให้มันพกแค่สากะเบือก็พอ” พล.ต.ท.เรวัช กล่าว
สำหรับการไปนั่งกินข้าวด้วยกัน ถือว่าเป็นเรื่องปกติ เพราะบางครั้งรู้จักกัน ก็อาจจะชวนกันไปกินข้าว ซึ่งการกินข้าวกับกำนันในพื้นที่ มันเป็นเรื่องปกติ
สำหรับ กลุ่มตำรวจที่อยู่ในที่เกิดเหตุนั้น มีโอกาส รอด 157 ได้ทางเดียว คือ เมื่อถามว่าเกิดเหตุแล้วทำไมไม่ระงับเหตุ
“ผมไม่ได้พกกล้องไปครับ เพราะการแสดงตัวเพื่อจับกุมต้องมีกล้องบันทึกไว้ตลอดเวลาจนกว่าคดีจะถึงที่สุด ผมเลยไม่กล้าทำ เพราะเกรงว่าจะผิดกฎหมายอุ้ม ทรมาน”
นี่เป็นเพียงข้ออ้างตามกฎหมายเท่านั้น แต่หากประเมินดูคือ ใจไม่กล้ามากกว่า เพราะเมื่อยิงกันก็ตกตะลึง พาคนเจ็บส่ง รพ. โดยไม่มีใจที่จะจับ ใครอยู่ตรงนั้น
...
สิ่งที่อยากแนะนำคือ
1.ตำรวจปืนต้องติดตัวตลอดเวลา เพื่อคุ้มครองประชาชน มีอะไรจะได้ปฏิบัติหน้าที่ได้ทันที
2.กรณี อ้าง พ.ร.บ.อุ้มหาย นั้น ก็อาจจะมองว่ามันเป็นเหตุซึ่งหน้า ใครจะมาเตรียมกล้อง ไม่ใช่สายตรวจที่มีกล้องติดตัว
3.มือปืน ควรเข้ามอบตัว ด่วนที่สุด เพราะพฤติกรรมก้าวร้าว
“ถ้าเรวัช อยู่ตรงนั้น ต้องดวลปืนกันสนั่น วัดกันไปเลย สู้ได้-ไม่ได้ก็อีกเรื่อง แบบนี้ปล่อยไม่ได้ ถ้าหากโดนรุมก็ต้องยิงสู้กัน มันจะใหญ่มาจากไหน อยู่ใต้กฎหมายเดียวกัน สำหรับผม ส่วนหนึ่งขอตำหนิน้องๆ ที่อยู่ตรงนั้น ทำไมไม่ช่วยกันตามจับ”
ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ รายงาน
อ่านบทความที่น่าสนใจ