เหตุใดคนไทย มี 'จิตแพทย์' ให้ปรึกษา แล้วยังเลือกหา 'หมอดู' ที่บอกฮีลใจหรือแท้จริงงมงาย?

สถานการณ์ต่างๆ ของสังคม ส่งผลให้ผู้คนเกิดความเครียดมากขึ้น และหากปล่อยสะสมไปเรื่อยๆ ก็อาจจะส่งผลกระทบต่อสุขภาพจิต จนอาจนำสู่ปัญหาที่เกี่ยวข้องกับสภาวะทางอารมณ์ แต่ถึงอย่างนั้น มนุษย์ ก็ยังพยายามศึกษาเรื่องราวของความคิด จิตใจ และพฤติกรรม โดยอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นจากการวิเคราะห์อิทธิพลต่างๆ เช่น สิ่งแวดล้อม สภาพสังคม ที่ส่งผลต่อความรู้สึกนึกคิด จนเกิดเป็นวิทยาศาสตร์แขนงหนึ่งที่ชื่อว่า 'จิตวิทยา' หรือ 'Psychology' 

มนุษย์สะสมและพัฒนาองค์ความรู้นี้มาอย่างยาวนาน และในสังคมไทยก็มีองค์กรที่เกี่ยวกับสุขภาพจิต จิตแพทย์ รวมไปถึงนักจิตวิทยาอยู่ด้วย แต่ทำไมเมื่อมีเรื่องไม่สบายใจ คนไทยหลายคนมักพูดว่า "มีปัญหาปรึกษาหมอดู"

'หมอดู' คือ ผู้ที่ใช้ โหราศาสตร์ หนึ่งในวิชาที่อยู่คู่สังคมไทย มาวิเคราะห์ปัญหาของ ลูกดวง (คนที่มาดูดวง) พร้อมทั้งช่วยหาคำตอบ ผ่านวิธีการต่างๆ เช่น การดูลายมือ การเปิดไพ่ การดูวันเดือนปีเกิด การดูลักษณะรูปหน้า รวมไปถึงสารพัดวิธีที่เริ่มมีมากขึ้นเรื่อยๆ ในบ้านเมืองเรา และที่กล่าวมาทั้งหมดในย่อหน้านี้ล้วนเป็นเรื่องความเชื่อส่วนบุคคลทั้งสิ้น

...

แต่ในเมื่อโลกใบนี้มี จิตวิทยา ที่สามารถอธิบายเรื่องของจิตใจ และคลายความกังวลได้ด้วยวิทยาศาสตร์ เหตุใดคนไทยหลายคนยังเลือกไปหา หมอดู เรื่องราวเหล่านี้จะมีคำตอบอย่างไร ไปร่วมค้นหาพร้อมกันผ่านการพูดคุยกับ 'ผศ.ดร.หยกฟ้า อิศรานนท์' อาจารย์ประจำคณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

ผศ.ดร.หยกฟ้า อิศรานนท์
ผศ.ดร.หยกฟ้า อิศรานนท์

ปัจจัยแห่งคำถาม :

ก่อนจะเข้าสู่เรื่อง 'ทำไมคนไปดูหมอมากกว่าหานักจิตวิทยา' อาจารย์หยกฟ้า ได้อธิบาย ความแตกต่างระหว่าง จิตแพทย์ กับ นักจิตวิทยา เพื่อสร้างความเข้าใจเบื้องต้น 

สิ่งที่ชัดเจนที่สุด คือ จิตแพทย์ สามารถจ่ายยาได้ แต่ นักจิตวิทยา ไม่สามารถจ่ายยาได้ และนักจิตวิทยาจะมีหลายแบบ เช่น ถ้าไปหา นักจิตวิทยาการปรึกษา เขาก็ให้คำปรึกษาได้ แต่ถ้าประเมินแล้วว่า อาจต้องใช้การรักษาด้วยยา ก็อาจจะส่งต่อไปที่ นักจิตวิทยาคลินิก เพื่อทำแบบทดสอบ และถ้าป่วยจริงก็อาจจะต้องส่งไปหา จิตแพทย์ ที่จ่ายยาได้...

ส่วนคำถามข้างต้น อาจารย์หยกฟ้าให้ความเห็นไว้ว่า มนุษย์จะไม่ชอบเรื่องที่กำกวม แต่อยากรู้ความแน่นอน อยากทำนายอนาคตได้ อยากรู้ว่าตนเองต้องอยู่ตรงไหน หรือทำสิ่งใดให้ไปถึงจุดนั้น เพื่อความสบายใจและไร้ซึ่งกังวล แต่การล่วงรู้อนาคตได้เป็นเรื่องผิดธรรมชาติ 

เมื่อคนเรามีปัญหา แล้วเข้าพบ จิตแพทย์ และ นักจิตวิทยา เขาจะไม่ตัดสินว่าชีวิตของคนที่เข้าพบต้องเดินไปทางไหน จะเน้นการพูดคุย รับฟัง และอาจจะถามกลับด้วยซ้ำว่า หากเรามีทางออกแล้ว ทำไมจึงไม่ทำแบบนั้น  

ส่วน หมอดู จะบอกเลยว่าควรทำอะไร หรือไปทางไหนต่อ ซึ่งมนุษย์ชอบแบบนี้มากกว่า เพราะเราไม่ต้องกลับมาถามตัวเองอีกว่าต้องทำอะไร คำตอบจากหมอดูเลยชัดเจนและเข้าถึงจิตใจได้ง่ายกว่า

อีกหนึ่งเหตุผลที่คนเลือกไปหาหมอดู อาจมีสาเหตุมาจากสังคมไทยยังมีภาพจำเชิงลบของคนที่ไปพบ จิตแพทย์ หรือ นักจิตวิทยา ว่า มีความผิดปกติ

"สังคมเรายังมีการตีตราเรื่องแบบนี้อยู่ พอมีคนจะไปหาก็คิดว่า เขาบ้า จิตไม่ดี หรือชีวิตไม่ปกติหรือเปล่า คนไทยจึงหันไปพึ่งพาอะไรที่เบากว่าการเข้าพบจิตแพทย์ เช่น วัด หมอดู เพราะกลัวคำครหาของคนอื่น เขาจะมองว่าเราเป็นบ้าไหม ผิดปกติทางจิตทางจิตหรือเปล่า

...

แต่ปัจจุบันความเข้าใจและทัศนคติของคน ที่มีต่อจิตวิทยาก็ดีขึ้นกว่าเดิมประมาณนึง ตอนนี้คณะจิตวิทยาถือเป็นอันดับต้นๆ ของประเทศที่คนอยากเข้า และมีคะแนนอยู่ในระดับต้นๆ จึงพอจะคิดได้ว่าคนเริ่มยอมรับมากขึ้น มองว่าจิตวิทยาทำให้คุณภาพชีวิตดีขึ้น

คนเลยเริ่มยอมในฐานะศาสตร์ที่ศึกษาเพื่อทำความเข้าใจเกี่ยวกับพฤติกรรมมนุษย์ และการไปหานักจิตวิทยาไม่ได้แปลว่าเราต้องบ้าเสมอไป เพียงแต่ว่าการยอมรับตรงนี้ยังอยู่ในวงแคบๆ ถึงจะกว้างขึ้นแต่ก็ยังไม่มากพอ ที่คนธรรมดาจะรู้สึกว่าการไปหาจิตแพทย์ หรือนักจิตวิทยาไม่ใช่เรื่องแปลก"

ทำไมต้องดูดวง :

เราต้องดูก่อนว่าทำไมคนนั้นถึงติดการดูดวง คนไทยหลายคนเป็นสายมูเตลู และ บางคนเชื่อเรื่องไสยศาสตร์แต่ไม่เชื่อในตัวเอง สิ่งนี้สามารถอธิบายด้วยศัพท์เทคนิคทางจิตวิทยาที่เรียกว่า Locus of Control หรือ ความเชื่อที่ว่าเราสามารถควบคุมสิ่งต่างๆ ในชีวิตได้ เป็นแนวคิดที่พัฒนาขึ้นโดยนักจิตวิทยาชาวอเมริกันนามว่า จูเลียน ร็อตเตอร์ (Julian B. Rotter) โดยแบ่งออกเป็น 2 รูปแบบ ซึ่งอาจารย์หยกฟ้าอธิบายเพื่อให้เราเข้าใจง่าย ดังนี้

...

"1. Internal Locus of Control เชื่อว่า ชีวิตนี้ฉันกำหนด ใครมาพูดยังไงไม่สน ฉันกำหนดชะตาชีวิตตัวเอง คนประเภทนี้จะไม่ค่อยเชื่อเรื่องสายมู แต่เชื่อมั่นในตัวเองว่า ถ้าเราพยายามมากพอ ความสำเร็จจะอยู่ในมือเรา ไม่ต้องไปพึ่งพา บนบาน ถ้าขยันถูกทางจะสำเร็จเอง

2. External Lous of Control เชื่อว่า โชคชะตาฟ้าลิขิตชีวิต การเจอเรื่องต่างๆ คือเวรกรรมที่เราไม่ได้กำหนดเอง ต่อให้ทำดีแค่ไหน ถ้าเวรกรรมตามทันเราก็ไม่สำเร็จ คนประเภทนี้มักเชื่อเรื่องเหนือธรรมชาติ ไม่ค่อยมั่นใจในตัวเอง ไม่เชื่อว่าตัวเองจะประสบความสำเร็จ แล้วก็อาจต้องพึ่งหมอดู

ดังนั้น ต้องถามต่อว่าคนที่ชอบไปดูหมอดู เขาไม่มั่นในใจในตัวเองหรือเปล่า ถ้าเขารู้สึกมั่นใจเขาจะไม่ต้องพึ่งหมอดู เปรียบให้เห็นง่ายๆ เราจะเดินก้าวเท้าซ้ายหรือเท้าขวา แต่ถ้าข้าวอยู่ตรงหน้าเรา เราก็ต้องได้กิน ต่อให้หมอดูมาบอกว่า คุณจะไม่ได้กินข้าวนะ เราก็จะมองสงสัยว่ามันจะไม่ได้กินได้ยังไงก็ข้าวอยู่ตรงหน้า เพราะเราเชื่อในสิ่งที่เรากำหนดได้ แต่ถ้าไม่แน่ใจในตัวเอง ต่อให้ข้าวอยู่ตรงหน้า แล้วหมอดูบอกไม่ได้กิน เราก็คงไม่ได้กิน

...

แต่ก็ไม่ได้แปลว่าคนเราจะมีเพียง 2 รูปแบบ ส่วนตัวคิดว่าใจของมนุษย์ คล้ายกับสเปกตรัม หรือไม้บรรทัด มันมีระดับเบา กลาง และถึงขั้นงมงาย เช่น บางคนไม่เชื่อเรื่องการไหว้พระ ไม่เชื่อการบนบาน แต่พอเป็นเรื่องเกี่ยวกับสีก็เชื่อนิดนึง กระเป๋าต้องสีนี้ เสื้อต้องสีนี้ หรือบางคนเอาทุกอย่างเลยก็มี หรือบางคนไม่เชื่ออะไรเลยก็มี"

ส่วนเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการพบนักจิตวิทยา หรือ จิตแพทย์ อาจารย์หยกฟ้ามองว่า เรื่องค่าบริการที่แพงก็มีส่วน "สมัยนี้ยังดีที่มีฟรีออนไลน์อยู่บ้าง เราอยากระบายอะไรก็มีคนมารับฟัง ทำให้คนเข้าถึงเพิ่มได้นิดนึง เพียงแต่ว่าถ้ามีค่าใช้จ่าย เรามองว่ามันแอบยากที่คนจะยอมเสียเงิน 

อย่างเรื่องประกันสังคมในประเทศไทย ก็จะยังครอบคลุมไม่ถึงเรื่องโรคภายในจิตใจ หากไปพบแพทย์เพราะอยากปรึกษาก็เบิกประกันไม่ได้ มันเป็นเรื่องที่อยู่ในใจ แต่ถ้าเราหกล้มหรือเจ็บทางร่างกาย มันยังสามารถเอาบาดแผลเป็นประกันได้

กำลังจะบอกว่า แค่เรื่องนี้สังคมก็ยังมองต่างอยู่แล้ว มันยิ่งทำให้คนรู้สึกว่าถ้าจะไปหานักจิตวิทยา จะเสียค่าใช้จ่ายเยอะ ซับซ้อน ยากไปหมด"

ความเชื่อไม่ใช่เรื่องที่ผิด : 

"ความเชื่อเรื่องไสยศาสตร์ หรือ การมูเตลู มีอยู่ทุกที่ทั่วโลก ซึ่งบางทีเกี่ยวข้องกับพิธีกรรมในสังคม ที่เราถูกสอนให้ปฏิบัติจนวันหนึ่งเกิดเป็นความเชื่อในจิตใจ หรือความเชื่อก็อาจมาจากสิ่งที่ไม่มีคำอธิบายแบบเป็นเหตุเป็นผล และการให้ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์แก่คนในสังคมยังมีน้อย เพียงแต่ว่าประเทศที่พัฒนาแล้วจะไม่เชื่อเท่าเรา เนื่องจากมี" อาจารย์หยกฟ้า กล่าวกับทีมข่าวฯ

อย่างไรก็ตามอาจารย์หยกฟ้าถือว่า สังคมไทยของเรากำลังก้าวเข้าสู่สังคมแห่งเหตุและผลมากขึ้น เพียงแต่ต้องใช้ระยะเวลา อาจจะอีกสัก 10-20 ปี และสังคมก็คงจะมีเหตุผลมากกว่านี้ ซึ่งที่ผ่านมาสื่อเองก็มีผลต่อความเชื่อของคน เนื่องจากบางคนเสพสื่อมาก แต่อาจจะยังไม่สามารถวิเคราะห์แยกแยะได้มากพอ เมื่อสื่อนำเสนอข้อมูลเยอะขึ้น คนก็จะเชื่อมโยงและเชื่อโดยไม่คิดหาคำอธิบายมารองรับ พอบางเรื่องที่ดูเหนือธรรมชาติ แต่ไม่มีคำตอบให้ผู้เสพสื่อ เขาก็คิดจะว่าเป็นไสยศาสตร์

"การจะทำให้คนเชื่อวิทยาศาสตร์ ถือว่าต้องใช้ข้อมูลค่อนข้างเยอะ แต่กับเรื่องมูเตลู ไม่ต้องใช้เวลามาก ไม่ต้องไปนั่งหาคำตอบให้เหนื่อยสมอง ชีวิตคนเรามีหลายเรื่อง การเชื่อไปก่อนจึงเหมือนประหยัดเวลาสมองไม่ให้คิดมาก เพราะมนุษย์ชอบให้ทุกอย่างมีคำตอบ"

คำตอบมีผลค่อนข้างมาก :

"อย่างที่ได้กล่าวไปข้างต้น มนุษย์ต้องการความชัดเจน จึงเลือกพึ่งพาหมอดูมากกว่าเรื่องของจิตวิทยา กระทั่งบางคนที่เชื่อเรื่องหมอดู ถ้าเจอหมอดูที่ตอบไม่ตรงใจ ก็อาจเปลี่ยนหมอดูไปเรื่อยๆ โดยอ้างว่าไม่แม่น แต่ความเป็นจริงคือมีอคติในการรับข้อมูล 

มนุษย์ชอบหาเหตุผลเพื่อเข้าข้างตัวเอง อยากให้ตัวเองมีอนาคตที่ดีขึ้น เมื่อคนเราไปหาจิตแพทย์ หรือ นักจิตวิทยา มักจะคิดว่านั่นคือผู้เชี่ยวชาญ ที่กำลังจะบอกเราว่าจะเป็นโรคนี้โรคนั้น เขาเรียนมาโดยตรง หาเรื่องเข้าข้างตัวเองไม่ได้ และจะไม่เชื่อก็ไม่ได้อีก 

แต่พอเป็นคำหมอดูหรือคำพระสอน เราคิดได้ว่านั่นไม่ใช่ทั้งหมดของชีวิตเรา เขาอาจพูดสอนคนทั่วๆ ไป เราจึงยังมีความสบายใจระดับหนึ่ง และเลือกไม่รับข้อมูลที่ไม่ถูกใจ" อาจารย์หยกฟ้า กล่าว...

ทีมข่าวฯ สงสัยว่า หรือความจริงแล้วหมอดูมีจิตวิทยาในการพูด แต่อาจารย์หยกฟ้ามองว่า "มันแอบมีความก้ำกึ่ง บางทีเราอ่านคำทำนายในนิตยสาร จะรู้สึกว่าทำไมแม่นจังเลย เพราะเขาจะพูดคร่าวๆ ทั่วไป บางส่วนตรงกับชีวิตเรา หรือบางทีเราก็ไม่รับฟังคำว่า ชีวิตต้องเจออุปสรรค 

แต่เราจะไปจดจ่อกับเราจะเจอสิ่งที่ทำให้ชีวิตดีขึ้น อะไรที่เราไม่อยากให้เกี่ยวข้องกับเรา เราจะหลับหูหลับตา ไม่ฟัง จำไม่ได้ เราใส่ใจแต่ส่วนที่ตรงและรู้สึกว่าแม่น แต่เราเชื่อว่าหมอดูหลายคนที่มีชื่อเสียง เขาคงต้องมีวาทศิลป์ที่ดีมากๆ สำหรับการพูดโน้มน้าวใจ และพูดแต่เรื่องดีๆ"

บางทีก็แค่ต้องการคนรับฟัง :

ทีมข่าวฯ สงสัยต่อว่า หากอาจารย์กล่าวเช่นนั้น แล้วเหตุใด คนเรายังชอบไปนั่งระบายความรู้สึกกับพระพุทธรูป หรือรูปปั้นอื่นๆ ทั้งที่ไม่สามารถโต้ตอบเราได้ และไม่สามารถพูดเรื่องถูกใจเราได้เลย

อาจารย์หยกฟ้า ให้ความเห็นเรื่องนี้ว่า เมื่อคนเรามีความทุกข์แล้วไประบายให้คนรอบข้างฟัง ก็มักจะได้ยินคำว่า "คิดมากไปหรือเปล่า" สิ่งนั้นทำให้มนุษย์รู้สึกว่ากำลังโดนตัดสิน ทั้งที่ในใจเพียงพยายามระบายความทุกข์ และก็จะคิดว่าทำไมต้องมีคนมาบอกว่าตนเองคิดมาก นั่นจึงยิ่งทำให้รู้สึกอีกว่าไม่มีใครเข้าใจหรือรับฟังจริงๆ มิหนำซ้ำยังโดนตัดสินกลับอีกด้วย

ดังนั้น ที่มนุษย์บอกว่า "ไหว้พระแล้วสบายใจ" เพราะนั่นคือการได้พบสักคนหรือสักสิ่ง ที่เราสามารถควบคุมได้ว่า "ฟังนะ! ไม่ต้องตัดสินใดๆ ทั้งนั้น" ก็ทำให้เราอยากระบายสิ่งที่อยู่ในใจได้เต็มที่

"ความทุกข์เกิดจากความอัดอั้นในความรู้สึก ที่มนุษย์มองว่าไม่มีใครเข้าใจ เขาเพียงอยากมีคนรับฟัง ไม่ต้องมาบอกว่าให้ไปซ้ายหรือไปขวา ลึกๆ มนุษย์มีคำตอบให้ตัวเองอยู่แล้ว ซึ่งหายากเวลาที่ไประบายกับใคร แล้วเขาจะบอกว่า 'พูดมาเถอะ ฉันจะไม่ตัดสินเธอ'

แต่อาจจะโดนตั้งคำถามกลับว่า ทำไมเธอทำแบบนี้ ไม่ทำแบบนี้ มันก็ยิ่งทำให้เรารู้สึกว่าเขาไม่เข้าใจเราจริงๆ หรือแม้แต่สัตว์เลี้ยงที่คนชอบพูดด้วยว่า 'วันนี้แม่เจออย่างนี้...' มันแสดงให้เห็นว่าคุยกับหมาหรือแมวก็สบายใจ เพราะมันไม่ตัดสินเรา"

เชื่อมั่นในตัวเอง :

อาจารย์หยกฟ้า มองว่า การชอบดูดวงไม่ใช่เรื่องผิด เพราะคนเราอยากล่วงรู้ว่าชีวิตเป็นยังไง แต่ไม่อยากเสพติดการดูดวงมากเกินไป จนปล่อยให้คำพูดคนอื่นมาครอบงำชีวิต เราก็ต้องระมัดระวังตัว ให้ชีวิตมีเส้นทางที่ดำเนินได้ด้วยตนเอง 

"อยากให้ทุกคนมีความมั่นใจในศักยภาพของตนเอง ส่วนหนึ่งอยากให้เชื่อว่า ถ้าเรามีความพยายามตั้งใจสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เราจะไปสู่เป้าหมายที่เราตั้งใจได้ มองว่าความสำเร็จเป็นสมการ 'ความสำเร็จ = คุณลักษณะของเรา + โอกาสที่เรามองไม่เห็น (เช่น โชคชะตา ความบังเอิญ)'

แต่ก็ยังต้องยอมรับว่า หากคนเรามีความสามารถแต่ไม่มีโอกาส ก็อาจจะไม่ประสบความสำเร็จ หรืออาจประสบความสำเร็จไม่ได้เท่าที่หวัง เพราะฉะนั้น เรื่องที่เราควบคุมไม่ได้ ปล่อยให้เป็นสิ่งเร้าภายนอก ส่วนที่เราควบคุมได้ ก็พยายามทำให้เต็มที่ไว้ก่อน"

การดูดวงไม่ใช่เรื่องผิด นั่นเป็นความเชื่อส่วนบุคคล และทุกคนล้วนแสวงหาความสบายใจให้ตัวเอง แต่ถึงอย่างนั้นก็อย่าเชื่อสิ่งใดมากเกินไป จนลืมวิเคราะห์ปัจจัยต่างๆ ให้อยู่บนเหตุและผล

สุดท้ายอย่าลืมรักและเข้าใจตัวเอง และอย่าลืมเชื่อว่าเราก็เป็นมนุษย์คนหนึ่งที่มีความสามารถเช่นกัน

ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ รายงาน

อ่านบทความที่น่าสนใจ :