แกนนำพรรคเพื่อไทย และภูมิใจไทย แถลงจัดตั้งรัฐบาล โดยมีคะแนนเสียงที่เป็นสารตั้งต้น 212 เสียง และเตรียมเจรจากับพรรคอื่น ร่วมจัดตั้งรัฐบาล โดยไม่มีพรรคก้าวไกล ทั้งที่ได้คะแนนเสียงเป็นอันดับ 1 ซึ่ง วิโรจน์ ลักขณาอดิศร สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ยืนยันว่า ไม่วิตกกับท่าทีของทั้งสองพรรค และให้จับตาดูต่อจากนี้จะมีอีกหลายด่าน

วิโรจน์ ลักขณาอดิศร สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล เปิดเผยกับทีมข่าวเจาะประเด็น ไทยรัฐออนไลน์ว่า หลังการแถลงของพรรคเพื่อไทย เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล โดยมีพรรคภูมิใจไทย รวมกัน 212 เสียง และเตรียมพูดคุยกับพรรคอื่น เพื่อร่วมจัดตั้งรัฐบาล โดยไม่มีพรรคก้าวไกล ส่วนตัวยังมองว่าทางพรรคก้าวไกล ไม่จำเป็นต้องแสดงท่าทีอะไร

หากก้าวไกลถูกผลักไปเป็นฝ่ายค้านตามระบบรัฐสภาฯ ก็เป็นสิ่งที่จำเป็น ซึ่งในการโหวตนายกฯ ที่มีแคนดิเดตนายกฯ พรรคเพื่อไทย ในการโหวตครั้งถัดไป พรรคก้าวไกลยึดมั่นมาเสมอว่า ต้องยึดมั่นต่อความรู้สึกของประชาชน ดังนั้นการโหวตนายกฯ จากพรรคเพื่อไทย ทางก้าวไกลจะต้องดูความรู้สึกและเสียงสะท้อนจากประชาชนเป็นหลัก

...

“ณ วันนี้ต้องยอมรับว่า ถ้ามองไปที่หัวใจของประชาชน จะเห็นประชาชนก็ร้องไห้จากข้างใน ดังนั้น การตัดสินใจว่าจะโหวตให้หรือไม่ ต้องรักษาน้ำจิตน้ำใจของประชาชน การแถลงของพรรคเพื่อไทยกับภูมิใจไทย การที่ประชาชนจะรับฟังหรือไม่ ก็เป็นสิทธิของประชาชน เพราะประชาชนมีสิทธิจะเชื่อหรือไม่เชื่อ รับได้หรือรับไม่ได้ สิ่งนี้เราไม่สามารถไปแทรกแซงความรู้สึกของประชาชนได้ แต่ความรู้สึกของประชาชนมีความหมายอย่างมากสำหรับก้าวไกล”

ถ้ามองในความเป็นจริง การนำพรรค 2 ลุงเข้ามาจัดตั้งรัฐบาลแบบเสียงปริ่มน้ำขนาด 260 กว่าเสียง ในความเป็นจริงแทบบริหารราชการแผ่นดินไม่ได้เลย เพราะต้องมี สส. จำนวนหนึ่งไปเป็นรัฐมนตรี ดังนั้นการให้รัฐมนตรีที่เป็น สส.ด้วยวิ่งรอบทั้งงานในทำเนียบและงานในสภาฯ เพื่อพิจจารณาผ่านงบประมาณและกฎหมายสำคัญ ทางทฤษฎีทำได้ แต่ในทางปฏิบัติ ไม่มีทางทำได้ ดังนั้นจึงเชื่อว่า ถ้ามีการเข้ามาร่วมของรวมไทยสร้างชาติและพลังประชารัฐ ที่รวมกันแล้ว 76 เสียง ต้องจับตาดูว่าจะเข้ามาร่วมรัฐบาลเมื่อไหร่และเมื่อใด จึงเป็นที่จับตามองของประชาชน

เมื่อถามถึงอนาคตมีความเป็นไปได้หรือไม่ หากมี สส.ของก้าวไกล ไปรวมกับเพื่อไทย โดยมีภูมิใจไทยร่วมจัดตั้งรัฐบาล วิโรจน์ ยืนยันว่า ก้าวไกลชัดเจนมาตลอดว่า มีลุงไม่มีเรา สำหรับพรรคการเมืองอื่น การจะไปเข้าร่วมก็อยู่กับเงื่อนไขและข้อเสนอในการร่วมรัฐบาล ซึ่งชัดเจนว่าถ้ามี รวมไทยสร้างชาติและพลังประชารัฐ จะไม่เข้าร่วม เพราะสองพรรคนี้ เป็นกลไกสำคัญในการสืบทอดอำนาจของคณะที่ก่อการรัฐประหาร

ถ้ายิ่งมีพรรครวมไทยสร้างชาติ และพลังประชารัฐ อยู่ในสมการจัดตั้งรัฐบาล จะทำให้ขบวนการทุนผูกขาด รวมถึงเครือข่ายอุปถัมภ์ต่างๆ ที่กินรวบสัมปทานทรัพยากร ในประเทศไม่คลี่คลายลง รวมถึงการแก้ไขรัฐธรรมนูญให้เป็นฉบับของประชาชน ก็เป็นได้แค่ความฝัน

...

“สถานการณ์การเมืองต่อจากนี้ยังมีความชุลมุนอีกมาก เพราะผลพวงของรัฐธรรมนูญปี 60 ที่มีความฉ้อฉลในตัวมัน ดังนั้น นักการเมือง และ สส. ถ้าไม่มีอุดมการณ์ที่มั่นคงจะว่อกแว่ก กลับกลอกไปตามช่อง ตามทาง ที่รัฐธรรมนูญวางหลุมพรางเอาไว้ ประชาชนจึงต้องติดตามสถานการณ์ต่อจากนี้อย่างตาไม่กะพริบ แต่อย่างไรก็ตาม ไม่ต้องกังวล สำหรับก้าวไกล จุดยืนที่ให้ไว้กับประชาชนยังเหมือนเดิม อุดมการณ์ประชาธิปไตยยังคงมั่น และทั้งมวลที่เกิดขึ้น จะถูกบันทึกไว้ในหน้าประวัติศาสตร์การเมืองไทย เพราะกาก้าวไกล ประเทศไทยไม่เหมือนเดิม”.