เสร็จเป็นที่เรียบร้อยแล้ว สำหรับ การโหวตนายกรัฐมนตรี ครั้งแรก (13 ก.ค. 66) โดย นายแพทย์ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน และหัวหน้าพรรคเพื่อไทย เป็นผู้เสนอชื่อ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคก้าวไกล เพื่อลงมติเป็นนายกรัฐมนตรีเพียงคนเดียว 

หลังเสนอชื่อ ประธานสภา ได้เปิดให้ลงมติเป็นรายบุคคล ผลปรากฏว่า เห็นชอบให้นายพิธา เป็นนายกฯ 324 เสียง ไม่เห็นชอบ 182 เสียง และงดออกเสียงถึง 199 เสียง ผลดังกล่าว ทำให้นายพิธา ไม่ผ่านการโหวตนายกรัฐมนตรี ที่จำเป็นต้องได้ 375 เสียง ทั้งนี้ นัยสำคัญอยู่ที่การลงคะแนนของ ส.ว. ที่ส่วนใหญ่ “งดออกเสียง” 

ในประเด็นนี้ ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ ได้พูดคุยกับ พล.ต.นันทเดช เมฆสวัสดิ์ อดีตหัวหน้าศูนย์ปฏิบัติการพิเศษ ศูนย์รักษาความปลอดภัยแห่งชาติ (ศรภ.) ได้ประเมินสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้นหลังจากนี้ว่า หลังจากนี้คงต้องติดตามดูในวันที่ 19 ก.ค. ว่าผลการโหวตนายกรัฐมนตรีจะเป็นอย่างไร หากนายพิธา ไม่ได้เป็นนายกรัฐมนตรี ก็เชื่อว่า น่าจะมีการเกิดการประท้วงลงถนนแน่ๆ 

...

ถามว่าประท้วงครั้งนี้จะเป็นอย่างไรนั้น นายนันทเดช บอกว่า เวลานี้ยังประเมินสถานการณ์ไม่ได้ แต่ส่วนตัวเชื่อว่า จะไม่รุนแรงมาก เพราะการโหวตเลือกนายกฯ ครั้งนี้ ก็มีประธานสภา เป็นคนของพรรคร่วมรัฐบาล มีคนของตัวเองเป็นรองประธานสภา เรียกว่ายังอยู่ในกติกาของประชาธิปไตย ซึ่งเรื่องนี้ ยังดำเนินอยู่ในกติกา 

เมื่อถามว่า จะมีอะไรที่ก่อให้เกิดชนวนความรุนแรงได้ พล.ท.นันทเดช มองว่า คนที่จะเป็นชนวนได้ ตอนนี้ “วางมือ” ไปแล้ว นั่นก็คือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ฉะนั้น จึงมองว่า อาจจะยังไม่รุนแรงนัก โดยเฉพาะ เมื่อพรรคก้าวไกล ไปเป็นฝ่ายค้านจริงๆ ก็น่าจะต้องไปทำมวลชนกันต่อ ซึ่งจะแรงหรือไม่ คงต้องรอดูกันต่อไป

เมื่อถามในมุมมองทางการเมือง มองอย่างไร ทำไมนายพิธาน ไม่ผ่านด่าน ส.ว. พล.ท.นันทเดช ระบุว่า ประเด็นเดียวที่ทำให้พิธา ไม่ได้เป็นนายกรัฐมนตรี มาจาก ปัญหามาตรา 112  

“เรื่องนี้เป็นเรื่องเดียวเลย หากเขาประกาศว่าจะไม่ยุ่งกับเรื่องกฎหมายมาตรา 112 ป่านนี้เขาเป็นนายกฯ ไปแล้ว แต่..พรรคเขาก็มีมวลชนที่สนับสนุนเรื่องนี้อยู่ ในขณะที่มุมมองของ ส.ว.ไม่โหวตให้ เขาไม่ได้มองที่ตัวนายพิธา อย่างเดียว แต่เขามองไปถึงนโยบายของพรรค ที่สำคัญ คือ คนของพรรคก้าวไกล หลายคนมีการแสดงออก ถึงการไม่เคารพมาตรา 112” 

ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ รายงาน 

อ่านข่าวอื่นๆ