สถานการณ์แก๊งคอลเซ็นเตอร์ออกอาละวาดหลอกลวงคนได้ลดลง ถ้าเทียบกับในอดีต เนื่องจากการปราบปรามทั้งนโยบายรัฐบาล มีการประสานกับประเทศเพื่อนบ้าน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องออกมาย้ำเตือนประชาชนให้เพิ่มความระมัดระวัง
หากตกเป็นเหยื่อมีการโอนเงิน ต้องรีบแจ้งความออนไลน์ทางสายด่วน 1441 หรือศูนย์ PCT 081-866-3000 หรือผ่านเว็บไซต์ www.thaipoliceonline.com ในทันทีเพื่ออายัดเงินในบัญชีไม่ให้ไหลออกไปต่างประเทศ ไม่เช่นนั้นจะได้เงินคืนยาก
ปัจจุบันยังมีคนถูกหลอก เพราะมีการพัฒนารูปแบบการออกอุบายไม่ให้ซ้ำแบบเดิม และออฟฟิศใหญ่ของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ในประเทศกัมพูชา มีการเปลี่ยนสถานที่อยู่ตลอดเวลา และหันมาเช่าตึกอยู่ในพื้นที่กาสิโน ทำให้ตำรวจไทยต้องใช้เวลาในการประสานเข้าไปตรวจค้น และยังคงทำสงครามกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ แบบกัดไม่ปล่อย
ย้อนไปเมื่อวันที่ 29 ต.ค. 2565 ตำรวจได้จับกุมหนุ่ม มือเชือด 150 ล้าน ระดับตัวท็อปสาย 3 แก๊งคอลเซ็นเตอร์ “ตึกประตูดำ” เมืองปอยเปต ประเทศกัมพูชา ตีเนียนปลอมเป็น ผกก.สภ.เมืองเชียงราย หลอกเหยื่อและหนึ่งในผู้เสียหายเป็นแพทย์หญิงวัยเกษียณ สูญเงินไป 101 ล้านบาท แต่ยังมีคนร่วมขบวนการหนีลอยนวลไปได้ และมีการแกะรอยไล่ล่า จนในที่สุดเมื่อวันที่ 17 ก.พ. 2566 สามารถจับกุมตัวมาได้อีก 3 คน เป็นพนักงานแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ระดับสาย 1
...
เป็นเวลากว่า 1 ปี ในการสืบสวนจับกุมผู้ต้องหา จากการเปิดเผยของ ”พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์” ผู้บังคับการสืบสวนสอบสวน กองบัญชาการตำรวจนครบาล และหัวหน้าชุดปฏิบัติการที่ 5 ศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ ได้จัดชุดลาดตระเวนออนไลน์สืบสวนติดตามแก็งคอลเซ็นเตอร์ทั้งประสานงานประเทศเพื่อนบ้าน และติดตามในประเทศไทย เพื่อดำเนินคดีและยึดทรัพย์สินที่ได้มา ตามนโยบายของพล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และพล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล
“แก๊งคอลเซ็นเตอร์สร้างความเดือดร้อนให้กับคนไทยเป็นจำนวนมาก และยังก่อเหตุต่อเนื่อง จึงฝากเตือนว่าเราจะติดตามจับกุมไม่ให้ได้กลับมาใช้เงินอย่างสุขสบายอย่างแน่นอน แม้การทำงานของเจ้าหน้าที่จะมีอุปสรรคบ้าง เพราะการกระทำความผิดเป็นขบวนการ แบ่งหน้าที่กันทำ ก่อเหตุข้ามประเทศ และมีคนหลายสัญชาติร่วมกระทำผิด โดยมีคนจีน เป็นหัวหน้า”
สำหรับแก๊งคอลเซ็นเตอร์นี้ มีคนไทยร่วมอีก ประมาณ 200 คน ซึ่งมีการสืบสวนขยายผลออกหมายจับอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดจับกุมตัวน.ส.สุทธิดา อายุวรรณะ และน.ส.ขวัญนรินทร์ สายบุตร อายุ 23 ปีเท่ากัน ทำหน้าที่สาย 1 แก๊งคอลเซ็นเตอร์ อ้างเป็นพนักงาน Fed-X อ้างว่าเหยื่อมีพัสดุตกค้าง ส่วนน.ส.นวลอนงค์ จากจะโป๊ะ อายุ 21 ปี เคยทำหน้าที่สาย 1 แต่ไม่ถนัดในการท่องบท จึงเปลี่ยนมาทำหน้าที่จัดหาพนักงานคนไทยมาทำงานเพิ่มเติม
พล.ต.ต.ธีรเดช ระบุว่า ผู้ต้องหาทั้ง 3 คน เคยหลอกลวงผู้เสียหายจำนวนมาก ในช่วงเวลากว่า 6 เดือนเมื่อปีที่แล้ว ในจำนวนนั้นมีครูเกษียณอายุราชการ สูญเงินไป 11 ล้านบาท มีการหลอกนักลงทุนหุ้น ได้เงินไป 41 ล้านบาท และหลอกแพทย์ในจังหวัดชุมพร ได้เงินไป 101 ล้านบาท ทำให้ได้เงินรางวัลตอบแทนจำนวนหลายแสนบาท
เมื่อได้เงินเป็นกอบเป็นกำ จึงตัดสินใจหลบหนีกลับประเทศไทยผ่านช่องทางธรรมชาติ ในเดือนต.ค. 2565 ก่อนที่น.ส.สุทธิดา และน.ส.ขวัญนรินทร์ ซึ่งเป็นแฟนกัน นำเงินมาลงทุนเปิดร้านขายส้มตำและอาหารอีสาน ส่วนน.ส.นวลอนงค์ เปิดร้านขายข้าวแกง กระทั่งถูกจับกุมภายในตลาดนัดซอยเพชรเกษม 77 เขตหนองแขม กรุงเทพฯ
ส่วนคนไทยที่ข้ามแดนไปทำงานกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ จากเดิมเป็นคนทางภาคเหนือและอีสาน แต่ปัจจุบันมีการรับสมัครผ่านเพจตามจังหวัดเกือบทั่วประเทศ ซึ่งส่วนใหญ่สมัครใจไปเอง ไม่มีการหลอกให้ไปทำงาน ขณะที่เหยื่อถูกหลอกลวงจากแก๊งคอลเซ็นเตอร์ มีปริมาณลดลง แต่มูลค่าความเสียหายไม่ได้ลดลงตาม เนื่องจากมีการเปลี่ยนรูปแบบใช้เทคโนโลยีมาช่วย เช่น แอปฯ ดูดเงิน โดยจะพุ่งเป้าไปยังกลุ่มคนเกษียณอายุ มีเงินเก็บ และใช้แอปฯ ธนาคารในมือถือ.
...