ถึงเวลานี้ (8 ก.พ.) ทุกสรรพกำลังยังคงตามหา “น้องต่อ” หรือ เด็กชายต่อศักดิ์ แสงสว่าง หนูน้อยวัย 8 เดือน ลูกชายของนายสิทธิโชค แสงสว่าง วัย 19 ปี และภรรยาสาววัย 16 ปี โดยหายตัวไปตั้งแต่วันที่ 5 ก.พ.
จากคำให้การ พอที่จะสรุปไทม์ไลน์การหายตัวไปของ “น้องต่อ” ได้ดังนี้
05.00 น. แม่น้องต่อตื่นขึ้นมาเพื่อชงนมให้ลูก โดยมีครอบครัว 4 คน พ่อ แม่ น้องต่อ หลานสาวอายุ 12 ปี นอนด้วยกัน จากนั้นได้ให้ลูกกินนม
06.00 น. มีลูกค้ามาเรียกซื้อของ พี่สะใภ้กำลังไปทำงาน จึงออกมาขายของให้ โดยยืนยันว่า “ยังได้ยินเสียงเด็ก” ขณะที่แม่เด็กให้การว่าเด็กมาไต่ตัวขณะอยู่บนที่นอน
ระหว่างนั้น....มีความรู้สึกว่ามี “บุคคลปริศนา” เป็นชายสวมเสื้อสีเหลืองมาอุ้มตัวเด็กออกไป ทีแรกเข้าใจว่าเป็น “ญาติ” จากนั้นจึงช่วยกันตามหา แต่ไม่พบตัว
ลักษณะบ้าน และการค้นหา
- พื้นที่เกิดเหตุ เป็นซอยห่างจากถนนเส้นหลักประมาณ 200 เมตร มีบ้านคนตลอดซอย ลักษณะเป็นชุมชน ดั้งเดิม บ้านเด็กที่หายอยู่ติดถนนในซอย
- ซอยบ้านเด็กหาย เป็นลักษณะเชื่อมกับซอยอื่น ไม่ใช่ทางตัน และมีทางเดินเท้าออกไปยังจุดอื่นได้ หลายทาง
- บ้านเด็กหาย เป็นร้านค้าขนาดเล็กในชุมชน ส่วนใหญ่เป็นลูกค้าที่เป็นชาวบ้านในซอย
- บ้านเด็กหาย เป็นลักษณะบ้านสองหลังในพื้นที่เดียวกัน บ้านเด็กหายอยู่ด้านหน้าติดถนน เป็นร้านค้า ครอบครัวเด็กหายนอนบริเวณด้านหน้าของตัวบ้าน ติดกับจุดขายของ ในลักษณะการกั้นห้องด้วยตู้เก็บของและผ้าม่าน ไม่มีประตูกั้น สามารถมองเห็นที่นอนบางส่วนของครอบครัวได้จากริมถนนหน้าบ้าน ที่นอนห่างจากริมถนนประมาณ 4 เมตร
...
นายเอกลักษณ์ หลุ่มชมแข หัวหน้าศูนย์คนหาย มูลนิธิกระจกเงา กล่าวกับทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ ระบุว่า เมื่อทีมงานได้รับเรื่อง จึงลงพื้นที่ปูพรมค้นหา ตั้งแต่คืนวันนั้น (5 ก.พ. เวลา 22.00 น.) ถึงเวลานี้ เราก็ได้เก็บข้อมูลในแง่มุมต่างๆ และวิเคราะห์ตามขั้นตอนการค้นหาเด็กหาย โดยไปดูรายละเอียดแง่มุมต่างๆ โดยจำแนก ดังนี้ คือ สภาพพื้นที่ คนใกล้ชิด หรือ บุคคลภายนอก ซึ่งมีการวิเคราะห์ในรัศมีที่จะสามารถก่อเหตุได้
“เวลานี้ ประเด็น “บุคคลภายนอก” มีการให้น้ำหนักที่น้อยมาก เพราะมีประเด็นพื้นที่ “ยากแก่การเข้าถึง” คนที่ไม่เคยมา จะไปเผชิญเหตุครั้งแรก และ “ลักพาตัว” ออกไปนั้นคงทำได้ยาก”
ตอนนี้สิ่งที่เน้นมากที่สุด คือ คนในรัศมีในพื้นที่ และ “บุคคล” ที่สามารถเข้าถึงตัวเด็ก โดยรู้ว่าเด็กนอนอยู่ที่จุดใดของบ้าน
นายเอกลักษณ์ อธิบายว่า ตอนนี้สิ่งที่มุ่งเน้น ไม่ใช่การ “ค้นหา” แต่เป็นการ “สืบสวนเชิงลึก” ที่อยู่ในแวดล้อมตัวเด็ก ในรัศมีที่ “พอก่อเหตุได้” เพราะโอกาสจะเป็น “คนภายนอก” ชุมชนนั้นเป็นสิ่งที่ยากมาก
เมื่อถามว่า ล่าสุด เริ่มมีการใช้ “สุนัขดมกลิ่น” ช่วยตามหา หัวหน้าศูนย์คนหาย มูลนิธิกระจกเงา ยอมรับว่า เมื่อวานนี้เรามีการประสานไปยังหน่วยงานสุนัขดมกลิ่นของเอกชน แต่ก็ยังไม่พบตัว และยังไม่พบความผิดปกติแต่ประการใด เนื่องด้วยสภาพเวลานี้มีคนอยู่ในพื้นที่จำนวนมาก ส่งผลให้ “การดมกลิ่นสะกดรอย” กลายเป็นเรื่องที่ทำได้ยาก ด้วยสภาพพื้นที่ และเหตุการณ์ที่ผ่านมาหลายวันแล้ว ทำให้กลิ่นต่างๆ เจือจางลงไป
“จากประสบการณ์ การค้นหา “เด็กเล็ก” หายตัวไป ส่วนมากจะคลี่คลายได้ภายใน 7 วัน ซึ่งมันจะเริ่มมีคำตอบออกมาว่าเหตุที่หายไปเป็นเพราะอะไร แต่เคสนี้ก็ค่อนข้างยากหน่อย เนื่องจากในชุมชนไม่มีกล้องวงจรปิดเลย จะดูจากด้านนอกชุมชน ก็ทำได้ยาก เพราะผู้คนก็สัญจรไปมาตามปกติ ทั้งคนในชุมชนและคนนอกชุมชน”
หลายๆ ครั้ง เคสเด็กเล็กหาย อาจจะมีที่มาจากเรื่อง “ในครอบครัว” ที่ไม่ได้เป็นเจตนา และเรื่องเหล่านี้จำเป็นต้องใช้เวลาในการสืบสวน โดยยังไม่สามารถตัดประเด็นเรื่องใดเรื่องหนึ่งออกไปได้
เมื่อถามว่า คำให้การของครอบครัว มีประเด็นไหนที่น่าตั้งข้อสังเกตได้บ้าง นายเอกลักษณ์ บอกว่า เรามีหน้าที่รับฟัง ผู้ปกครองถือว่าเป็นผู้เสียหาย สิ่งที่จะต้องพิจารณาก็คือ เรื่องไทม์ไลน์ ความสมเหตุสมผลที่จะเกิดขึ้น ซึ่งมี “บางประเด็น” ที่ต้องการคำตอบเพิ่มเติม ซึ่งเป็นหน้าที่ของทีมสืบสวนและพวกเรา ที่จะต้องหาคำตอบ และปะติดปะต่อเรื่องราว...สิ่งสำคัญคือ ผู้ปกครองเองก็ยังเป็นเยาวชน วุฒิภาวะในการตอบคำถาม และการจดจำ อาจจะยังไม่มากนัก...
ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ รายงาน
อ่านบทความที่น่าสนใจ
...