คนแรก อายุ 37 ปี ผ่านการลงเล่นให้กับ "ทีมชาติโปรตุเกส" มาแล้ว 195 นัด ยิง 118 ประตู ติดทีมชาติชุดใหญ่ครั้งแรกตอนอายุเพียง 18 ปี 6 เดือน 15 วัน ผ่านฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายมาแล้วถึง 5 ครั้ง (2006 , 2010 , 2014 , 2018 และ 2022)

ส่วนคนที่สอง อายุ 39 ปี ผ่านการลงเล่นให้กับทีมชาติโปรตุเกสมาแล้ว 132 นัด ยิง 8 ประตู ติดทีมชาติชุดใหญ่ครั้งแรกตอนอายุเพียง 24 ปี 8 เดือน 26 วัน ผ่านฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายมาแล้ว 4 ครั้ง (2010 , 2014 , 2018 และ 2022)

...

ปัจจุบันทั้งคนแรก “คริสเตียโน โรนัลโด” และ คนที่สอง “เปเป้” (นักเตะกองหลังพันธุ์ดุที่แฟนบอลชาวไทย มอบนามสกุลห้อยท้ายเอาไว้ว่า “เปเป้ ป.ประมุข”) คือ 2 ผู้อาวุโสที่มีอายุมากที่สุดในทัพขุนพลฝอยทอง ที่เดินทางมาตามล่าแชมป์ฟุตบอลโลก 2022 ที่ประเทศกาตาร์ ซึ่งมันอาจจะเป็นฟุตบอลโลกครั้งสุดท้ายของทั้งคู่เสียด้วย อย่างไรก็ดี “ทั้งคู่” อาจมี “เงื่อนไขบางอย่าง” ที่แตกต่างกันอยู่เล็กน้อยสำหรับการเดินทางมาเล่นฟุตบอลโลกครั้งนี้?

สำหรับกรณีของ “เปเป้” นอกจากถ้วยฟุตบอลโลก โทรฟี่อันเกริกเกียรติสูงสุดในวงการฟุตบอล ซึ่งเป็นแชมป์ในระดับอินเตอร์แชมป์เดียวที่เขายังไม่เคยสัมผัส (เคยได้แชมป์ยุโรปมาแล้วในปี 2016 และแชมป์น้อยใหญ่ในระดับสโมสรมาแล้วมากมาย) ก่อนแขวนสตั๊ด น่าจะเป็นสิ่งเดียวที่กองหลังสุดแกร่งคนนี้ “ต้องการ” หากแต่ในกรณีของ CR7 แล้ว “มันต่างออกไป” เพราะก่อนฟุตบอลโลกจะเดินทางมาถึงเพียงไม่นาน การทิ้งบอมบ์ชุดใหญ่ถล่มโรงละครแห่งความฝัน จนถึงขั้นต้องประกาศแยกทางจากลากันในท้ายที่สุด “โรนัลโด” ได้แสดงให้เห็นถึงแรงปราถนาที่ชัดเจนเสียเหลือเกินว่านอกจากโทรฟี่ฟุตบอลโลกแล้ว สิ่งที่นักเตะหมายเลขหนึ่งของโปรตุเกสต้องการคือ การใช้ฟุตบอลโลกครั้งนี้เป็นเครื่องพิสูจน์ให้ชาวโลก รวมถึง “ใครบางคน” ที่โอลด์แทรฟฟอร์ด ได้แลเห็นชัดๆว่า “เขาคนนี้” ยังคงเป็นสุดยอดนักเตะเฉกเช่นที่เคยเป็นมาตลอด 2 ทศวรรษ!

แล้วผลงานของ “โรนัลโด” และ “เปเป้” ในฟุตบอลโลก 2022 เป็นอย่างไร? วันนี้ “เรา” ไปร่วมพิจารณาจากสถิติที่เกิดขึ้นในสนามระหว่างที่ทั้ง “โรนัลโด” และ “เปเป้” ร่วมกันต่อสู้เพื่อแชมป์ฟุตบอลโลกครั้งสุดท้ายกันดู!

ความจริงและผลงานของ โรนัลโด :

“โรนัลโด” ลงเล่นในฟุตบอลโลกครั้งนี้แล้ว 4 นัด โดยเป็นตัวจริง 3 นัด รวมเวลาในสนาม 250 นาที

สถิติการผ่านบอล :

ผ่านบอลทั้งหมด 84 ครั้ง สำเร็จ 65 ครั้ง (77.4%)
ผ่านบอลระยะเกิน 30 หลา 1 ครั้ง สำเร็จ 1 ครั้ง (100%)

สถิติการสัมผัสบอล :

สัมผัสบอลทั้งหมด 106 ครั้ง โดยแยกเป็น สัมผัสบอลในพื้นที่กรอบเขตโทษ 2 ครั้ง
สัมผัสบอลในพื้นที่แดนหลัง 5 ครั้ง , สัมผัสบอลตรงพื้นที่กลางสนาม 56 ครั้ง , สัมผัสบอลในพื้นที่แดนหน้า 45 ครั้ง (42.45%) , สัมผัสบอลในพื้นที่กรอบเขตโทษฝ่ายตรงข้าม 15 ครั้ง (14.15%)

...

สถิติการครองบอล :

พยายามเลี้ยงบอลหลบฝ่ายตรงข้าม : 4 ครั้ง สำเร็จ 0 ครั้ง (0%)
จำนวนครั้งที่พลาดเมื่อพยายามครอบครองบอล 7 ครั้ง
จำนวนครั้งที่เสียการครองบอลเมื่อถูกฝ่ายตรงข้ามสกัด 5 ครั้ง
จำนวนครั้งที่รับบอลจากการส่งบอลสำเร็จ 87 ครั้ง
จำนวนครั้งที่รับบอลสำเร็จจากการส่งเข้าพื้นที่สุดท้าย 22 ครั้ง

สถิติการเล่นเกมรุก :

สร้างโอกาสในการทำประตู : 9 ครั้ง โดยแยกเป็น ผ่านบอลขณะเคลื่อนที่จนนำไปสู่การยิงประตู 7 ครั้ง , ยิงประตูจนนำไปสู่การยิงซ้ำ 1 ครั้ง , ถูกทำฟลาว์จนนำไปสู่การยิงประตู 1 ครั้ง

สถิติการยิงประตู : ยิง 9 ครั้ง เข้ากรอบ 1 ครั้ง ได้ 1 ประตู (จากจุดโทษ) ค่าเฉลี่ย 11.1%

อิทธิพลเมื่อปรากฏตัวในสนาม :

จำนวนประตูที่ทีมยิงได้เมื่ออยู่ในสนาม 6 ประตูจากทั้งหมด 12 ประตู (50%)
จำนวนประตูที่ทีมเสียเมื่ออยู่ในสนาม 2 ประตู จากทั้งหมด 5 ประตู (40%)

...

ส่วนผลงานในสนามของ เปเป้ :

ลงเล่น 3 นัด เป็นตัวจริง 3 นัด รวมเวลาในสนาม 270 นาที

สถิติการผ่านบอล :

ผ่านบอลทั้งหมด 192 ครั้ง สำเร็จ 152 ครั้ง (79.2%)
ผ่านบอลระยะเกิน 30 หลา 43 ครั้ง สำเร็จ 22 ครั้ง (51.2%)

สถิติการสัมผัสบอล :

สัมผัสบอลทั้งหมด 223 ครั้ง โดยแยกเป็น สัมผัสบอลในพื้นที่กรอบเขตโทษ 21 ครั้ง , สัมผัสบอลในพื้นที่แดนหลัง 122 ครั้ง , สัมผัสบอลในพื้นที่กลางสนาม 97 ครั้ง , สัมผัสบอลในพื้นที่แดนหน้า 4 ครั้ง (1.79%) , สัมผัสบอลในพื้นที่กรอบเขตโทษฝ่ายตรงข้าม 3 ครั้ง (1.35%)

สถิติการครองบอล :

พยายามเลี้ยงบอลหลบฝ่ายตรงข้าม : 1 ครั้ง สำเร็จ 1 ครั้ง (100%)
จำนวนครั้งที่พลาดเมื่อพยายามครอบครองบอล 0 ครั้ง
จำนวนครั้งที่เสียการครองบอลเมื่อถูกฝ่ายตรงข้ามสกัด 1 ครั้ง
จำนวนครั้งที่รับบอลจากการส่งบอลสำเร็จ 154 ครั้ง
จำนวนครั้งที่รับบอลสำเร็จจากการส่งเข้าพื้นที่สุดท้าย 0 ครั้ง

สถิติการเล่นเกมรุก :

สร้างโอกาสในการทำประตู : 3 ครั้ง โดยเป็นการส่งบอลขณะเคลื่อนที่สำเร็จจนนำไปสู่การยิงประตู 3 ครั้ง

สถิติการยิงประตู : ยิง 2 ครั้ง เข้ากรอบ 1 ครั้ง ได้ 1 ประตู (50%)

อิทธิพลเมื่อปรากฏตัวในสนาม :

จำนวนประตูที่ทีมทำได้เมื่ออยู่ในสนาม 9 ประตูจากทั้งหมด 12 ประตู (75%)
จำนวนประตูที่ทีมเสียเมื่ออยู่ในสนาม 3 ประตู จากทั้งหมด 5 ประตู (60%)

...

สถิติในสนามกำลังบอกอะไรถึง โรนัลโด? :

จากสถิติที่ “คุณ” เพิ่งผ่านสายตาไปจะเห็นได้ว่า “โรนัลโด” เริ่ม “อันตรายน้อยลง” ในเรื่อง “การเข้าทำประตู” เพราะจากการสับไกยิงถึง 9 ครั้ง ซึ่งเป็นสถิติความพยายามในการยิงประตูมากที่สุดในทีม รวมถึงยังมีสถิติการสัมผัสบอลในพื้นที่กรอบเขตโทษฝ่ายตรงข้ามมากที่สุดในทีมถึง 15 ครั้ง แต่กลับยิงได้มาเพียง 1 ประตู และยังเป็นการยิงจุดโทษเสียด้วย ส่วนอีก 8 ครั้งหลุดออกนอกกรอบประตูไปทั้งหมด (ค่าเฉลี่ยเพียง 11.1%)

ในขณะที่ นักเตะที่มีสถิติความพยายามในการทำประตูในลำดับที่ 2 คือ “บรูโน เฟอร์นันเดส” ซึ่งยิงไป 5 ครั้ง เข้ากรอบ 2 ครั้ง ได้มา 2 ประตู คิดเป็นค่าเฉลี่ย 40% ในขณะที่มีสถิติการสัมผัสบอลในพื้นที่กรอบเขตโทษฝ่ายตรงข้ามเพียง 6 ครั้ง

ส่วนลำดับที่ 3 คือ เจ้าหนูดาวรุ่ง “กอนเซโล รามอส” ซึ่งมีอายุเพียง 3 ขวบ ตอนที่ โรนัลโด ยิงประตูแรกให้กับทีมชาติโปรตุเกสชุดใหญ่ ซึ่งพยายามยิง 6 ครั้ง เข้ากรอบ 5 ครั้ง และได้มาถึง 3 ประตู คิดเป็นค่าเฉลี่ยสูงถึง 83.3% นอกจากนี้ยังมีสถิติการสัมผัสบอลในพื้นที่กรอบเขตโทษฝ่ายตรงข้ามเพียง 8 ครั้ง และเพิ่งได้ลงเล่นไปด้วยระยะเวลารวมเพียง 84 นาทีเท่านั้นอีกด้วย ซึ่งจากสถิตินี้ จะเห็นว่าทั้งคู่สามารถทำได้ดีกว่า “โรนัลโด” อย่างชัดเจน!

อนาคตที่เหลือในฟุตบอลโลก 2022 ของ โรนัลโด :

การถูกดร็อปเป็นตัวสำรองในรอบ 16 ทีมสุดท้ายกับ “ทีมชาติสวิสเซอร์แลนด์” ซึ่ง โปรตุเกสเป็นฝ่ายยิงถล่มเอาชนะไปได้ถึง 6 ประตูต่อ 1 จนได้ผ่านเข้าไปเล่นในรอบ 8 ทีมสุดท้ายกับ “ทีมชาติโมร็อกโก” ในวันที่ 10 ธันวาคม

สิ่งที่เกิดขึ้นคือ... “โรนัลโด” มีออกอาการ “ขุ่นเคือง” ให้เห็นอีกครั้ง ถึงแม้ว่า “แฟร์นานโด ซานโตส” กุนซือทีมชาติโปรตุเกสจะพยายามออกมาชี้แจงว่า “ไม่มีอะไรในก่อไผ่” พร้อมกับยืนยันว่า “โรนัลโด” ยังเป็นนักเตะที่สำคัญที่สุดในทีมเช่นเดิม (คุ้นๆคล้ายคำพูดของคนแถวๆเมืองแมนเชสเตอร์)

หากแต่ในความเป็นจริง...สิ่งที่น่าคิดคือ โดยปกติแล้ว ผู้จัดการทีมส่วนใหญ่จะไม่คิด “เปลี่ยนแปลงทีม” หากทีมเล่นได้ดีและสร้างผลงานได้อย่างน่าตื่นตาตื่นใจ อีกทั้งคนที่เพิ่งเข้ามาแทนที่ “ดันเพิ่งกดแฮตทริก” ได้ในนัดที่แล้วเสียด้วย!

แต่ในอีกด้านหนึ่ง สิ่งที่คนเป็นกุนซือต้องคำนึงคือ “อิทธิพลในห้องแต่งตัว” ของ “สตาร์มากบารมี” ที่ยังถือครองความเป็นวีรบุรุษแห่งชาติในหัวใจของชาวโปรตุเกสเอาไว้ได้อย่างเหนียวแน่น ดังจะเห็นได้จากเสียงตะโกนเรียกชื่อ “โรนัลโด” อันกระหึ่มสนามในนัดที่พบกับสวิสเซอร์แลนด์ เพื่อกดดันให้มีการเปลี่ยนตัว “นักเตะอันดับหนึ่งของทีม” ลงไปวาดลวดลายบนฟลอร์หญ้า

และนั่นคือคำถามใหญ่ของเรื่องนี้...“แฟร์นานโด ซานโตส” นายใหญ่ของโปรตุเกส จะเลือกอะไร? ระหว่าง “ความถูกต้อง” หรือ “ถูกใจ” หรือระหว่าง “โทรฟี่ฟุตบอลโลก” และ “ความว่างเปล่า”

ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ รายงาน
กราฟฟิก sathit chuephanngam

อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง