“This is Anfield” ประโยคเตือนใจสำหรับคู่ต่อสู้หน้าไหนก็ตาม ที่เมื่อก้าวเท้าเข้าสู่พรมแดนอันศักดิ์สิทธิ์ของเหล่าเดอะค็อปแล้ว พวกเขาจะต้องรู้ทันทีว่า “ที่นี่ไม่ใช่สนามเด็กเล่น” ที่จะมาทำ “เฉิดฉาย” ได้เหมือนกับสนามฟุตบอลอื่นๆ ซึ่งในกรณีนี้ไม่เว้นแม้กระทั่ง ทีมที่กำลังฟอร์มร้อนแรงและอาวุธหนักเป็นเครื่องจักรผลิตประตู Made in Norway อย่าง “แมนเชสเตอร์ ซิตี้” ที่ต้องมาสังเวยความพ่ายแพ้นัดแรกของฤดูกาลให้กับ เครื่องจักรสีแดง ณ ถิ่นแอนฟิลด์ ในเกมที่สุดเดือดนัดหนึ่งของฤดูกาล 2022-2023 อะไรคือปัจจัยที่นำไปสู่ การกลับมาของ “ลิเวอร์พูล” บ้าง วันนี้ “เรา” ค่อยๆ ไปวิเคราะห์กันทีละประเด็น
ความเซอร์ไพรส์ ภายใต้ชื่อ โจ โกเมซ :
หากคิดจะเอาชนะแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ณ โมงยามนี้ สิ่งแรกที่ต้องคิดคือ จะทำอย่างไรจึงจะสามารถหยุดยั้ง “เออร์ลิง ฮาลันด์” เจ้าของสถิติยิง 20 ประตู ใน 13 เกม ได้
...
โดยก่อนเกมจะเริ่มต้นขึ้น นักวิเคราะห์หรือแม้กระทั่งเดอะค็อปส่วนใหญ่เองก็เชื่อว่า “ดีที่สุด” ที่ลิเวอร์พูลจะทำได้ในนัดคือ “ผลเสมอ” เพราะฟอร์มการเล่นของหงส์แดงนับตั้งแต่เปิดฤดูกาลเป็นต้นมา “ไม่อยู่กับร่องกับรอย” เอาเสียเลย โดยเฉพาะแผงหลังนั้นเล่นได้ไม่เหนียวแน่นเหมือนเช่นที่เคยเป็นมาและเสียไปแล้วถึง 12 ประตูในลีก และทำได้เพียง 10 แต้มจาก 8 เกม และถือเป็นการออกสตาร์ตฤดูกาลที่ย่ำแย่ที่สุดในรอบ 10 ปีด้วย
หากแต่ใครเชื่อว่า “ที่นี่แอนฟิลด์” กลับทำให้ กองหลังที่ใครๆ ปรามาสอย่าง “โจ โกเมซ” ซึ่งลงมาทำหน้าที่แทน “โจเอล มาติป” และ "อิบราฮิมา โกนาเต" ที่ได้รับบาดเจ็บ สามารถสร้างเซอร์ไพรส์ด้วยการสะกด “เออร์ลิง ฮาลันด์” ได้อยู่หมัด โดยเกือบตลอด 90 นาที การประสานงานระหว่าง “เวอร์จิล ฟานไดค์” และ “โจ โกเมซ” เกิดความพลาดพลั้งปล่อยให้ “เออร์ลิง ฮาลันด์” มีโอกาสทำประตูแบบจะแจ้งได้เพียง 1-2 ครั้งเท่านั้น!
หากแต่ทั้งหมดที่เกิดขึ้นได้ ต้องยอมรับด้วยว่าส่วนหนึ่งมีปัจจัยสำคัญมาจากการที่ พลพรรคในแดนกลางของเครื่องจักรสีแดง สามารถตัดตอนการลำเลียงบอลมาเปิดป้อนให้กับ ศูนย์หน้านอร์วีเจียนได้อย่างเข้มแข็งด้วย
2. การตัดตอนการลำเลียงบอลของซิตี้
การตัดสินใจหุบ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ เข้ามาเป็นหน้าเป้า โดยมี "โรแบร์โต เฟอร์มิโน" ถอยลงต่ำ เพื่อคอยจ่ายบอลเปิดป้อนให้ ดูจะทำให้เกมรุกของลิเวอร์พูลมีมิติมากขึ้น ความเข้าขารู้ใจกันมาเนิ่นนานทำให้ ซาลาห์ เล่นง่ายขึ้น และดูมีพิษสงมากกว่าช่วงเปิดฤดูกาลที่ถูกถ่างออกไปเล่นด้านข้างมากเกินไป เพื่อหวังเปิดโอกาสให้ กองหน้าคนใหม่อย่าง “ดาร์วิน นูนเญซ” ฉายแสง อย่างเห็นได้ชัด ส่วนเกมรุกทางด้านริมเส้นปล่อยให้ ฮาร์วีย์ เอลเลียตต์ และ ดิโอโก โซตา ทำหน้าที่ลากเลื้อยไป
นอกจากนี้ การพุ่งเข้ากดดันแมนฯ ซิตี้ในแดนกลางอย่างชนิดไม่ลดละ รวมถึงมีการรุกเข้าเพรสตั้งแต่ในแดนเป็นระยะๆ ทำให้การสร้างเกมของซิตี้ที่เคยไหลลื่น ออกอาการสะดุดและพลาดพลั้ง นอกจากนี้ เมื่อใดก็ตามที่ลูกบอลถูกส่งออกไปทางริมเส้นให้กับ ฟิล โฟเดน หรือ ชูเอา คันเซโล ตามรูปแบบที่ถนัด จะถูกนักเตะของลิเวอร์พูลรุมเข้าหยุดยั้งแทบจะในทันทีทันใดตลอดเวลา เพื่อตัดตอนการสร้างเกมรุกของซิตี้ เมื่อการลำเลียงบอลตามที่ตัวเองถนัดถูกหยุดยั้งลงได้ มันจึงนำมาสู่ความพ่ายแพ้เป็นครั้งที่ 11 ของ เป๊ป กวาร์ดิโอลา ต่อ เยอร์เกน คลอปป์ ในฐานะผู้จัดการทีม
...
3. โมฮาเหม็ด ซาลาห์
ก่อนเผชิญหน้ากับ แมนฯ ซิตี้ “ซาลาห์” ยิงประตูในลีกไม่ได้มาถึง 5 นัดติดต่อกัน แท็กติกของ “เยอร์เกน คลอปป์” ที่เปลี่ยนไปเพื่อรองรับ “ดาร์วิน นูนเญซ” รวมถึง การขาดคู่หูที่รู้ใจในการขับเคลื่อนบอลไปข้างหน้าด้วยความรวดเร็วอย่าง “ซาดิโอ มาเน” ดูจะสร้างปัญหาในการเล่นให้กับดาวยิงอียิปต์ไม่ใช่น้อย
แต่แล้วเมื่อ “ดาร์วิน นูนเญซ” ถูกจับให้นั่งข้างสนาม และ ซาลาห์ ได้หุบเข้ามาหาเพื่อนได้ใกล้ขึ้น โดยเฉพาะหากคนคนนั้นคือ โรแบร์โต เฟอร์มิโน ทุกอย่างจึงดูไหลลื่น และน่าหวาดเกรงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะการใช้ความเร็วจี้เข้าหากรอบประตู รวมถึงการ Counter Attack ที่นำไปสู่ประตูชัย พร้อมกับหยุดสถิติ ไม่แพ้เกมเยือนในลีกของแมนฯ ซิตี้ นับตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2021 (รวม 22 เกม) ลงในที่สุด
ทั้งนี้ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ คือ “ยาขม” สำหรับชาวเรือใบสีฟ้าอย่างแท้จริง โดยกองหน้าชาวอียิปต์ผู้นี้ทำสถิติ ยิง 9 ประตู 5 แอสซิสต์ ในทุกรายการที่เผชิญหน้ากับ ซิตี้ และสถิตินี้ถือเป็นสถิติที่ดีที่สุดของเขาในการลงเล่นกับคู่ต่อสู้ทุกทีมของลิเวอร์พูลในช่วงที่ผ่านมาอีกด้วย
...
4. เยอร์เกน คลอปป์
หลังการออกสตาร์ตฤดูกาลที่ย่ำแย่ เริ่มมีคำถามตัวโตๆ ผุดขึ้นทันทีว่า หลังผ่านการคุมทีมมายาวนานถึง 7 ปี พร้อมกับกวาดแชมป์มาแล้วสารพัดกับลิเวอร์พูล ยอดกุนซือเจ้าของปรัชญาเกเก้นเพรสซิ่ง ยังมี Passion มากพอในการไขว่คว้าหาความสำเร็จบนถิ่นแอนฟิลด์อีกต่อไปหรือไม่?
หากแต่ “การปลุกเร้าเหล่าเดอะค็อป” รวมถึง “การแสดงอารมณ์ร่วมสุดประมาณ” บนเกมที่เต็มไปด้วยความตึงเครียดและกดดัน และนำไปสู่การประท้วงกรรมการจนถูกไล่ออกจากสนาม คงเป็นคำตอบที่ชัดเจนแล้วว่า Passion ที่ว่านี้ ยังคงอัดแน่นอยู่ในทุกเซลล์ของยอดกุนซือผู้นี้ เพราะความพยายามขับเคี่ยวเพื่อก้าวผ่าน เป๊ป กวาร์ดิโอลา ในการคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกให้ได้มากกว่า 1 สมัย ยังคงเป็นโจทย์สำคัญสำหรับการพิสูจน์ตัวเองของ “คลอปป์” อยู่ต่อไป
...
5. การพลาดแบบไม่น่าอภัยถึง 3 ครั้ง ของ ดาร์วิน นูนเญซ :
มี 2 จังหวะที่จะแจ้งเสียเหลือเกินว่า ดาร์วิน นูนเญซ กองหน้าแห่งความหวังทำผิดพลาดอย่างไม่น่าให้อภัย แถมทั้ง 2 จังหวะที่ว่านั้น คือ การเลือกที่จะไม่ยอมจ่ายบอลให้กับ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ที่ยืนโล่งๆ เรียกบอลอยู่จนพลาดการได้ประตูเพื่อปิดเกม (สักที) จนกระทั่งทำให้เหล่าเดอะค็อปหายใจไม่ทั่วท้อง ซึ่งเอาล่ะ...แม้ว่ามันจะเป็นเครื่องยืนยันได้ว่า “เจ้าหนูคนนี้” ยังอาจจะดิบเกินไป โดยเฉพาะสำหรับเกมชี้เป็นชี้ตายเช่นนี้
หากแต่มองในอีกมุมหนึ่ง สิ่งที่ ดาร์วิน นูนเญซ แสดงออกมามันก็น่าจะตีความได้ว่า เขายังคงมีความมั่นใจในตัวเองอย่างเต็มเปี่ยม และพร้อมจะพิสูจน์ตัวเองในทุกครั้งที่มีโอกาสได้ลงสนาม โดยหากเดอะค็อปยอมตัดชอตไม่ยอมจ่ายบอลนี้ออกไป สิ่งที่แลเห็นได้จากเจ้าหนูคนนี้ คือ การพาบอลพุ่งทะลุไปด้วยความเร็ว และแข็งแกร่ง จนเผา มานูเอล อคานจี กองหลังซิตี้ จนเสียฟอร์มมิใช่หรือ?
นอกจากนี้ หากใครยังจำได้ กว่าที่ “ซาดิโอ มาเน” และ “โมฮาเหม็ด ซาลาห์” จะเล่นได้เข้าขา และคนหนึ่งยอมถอยเพื่อให้อีกคนหนึ่งโดดเด่นกว่า มันก็ผ่านการทะเลาะและต่อว่าต่อขานเรื่องการไม่ยอมจ่ายบอล และหวงบอลไว้ยิงประตู จน เยอร์เกน คลอปป์ ต้องจับทั่งคู่ไปปรับทัศนคติชุดใหญ่กว่าจะลงตัวได้ในที่สุด
เพราะฉะนั้น “ความผิดพลาดย่อมคืออีกหนึ่งการเรียนรู้” เพียงแต่กรณีของ “ดาร์วิน นูนเญซ” อาจต้องใช้เวลามากกว่าคู่แข่งสำคัญอย่าง “เออร์ลิง ฮาลันด์” ไปแล้วก็เท่านั้น ซึ่งก็คงได้แต่หวังใจว่างานของ “คลอปป์” ชิ้นนี้จะสำเร็จลุล่วงได้ในเร็ววัน
ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ รายงาน
กราฟฟิก : Theerapong C.
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง :