ฟินช์ (FINCH) เป็นภาพยนตร์เรื่องล่าสุดของ ทอม แฮงก์ส(TOM HANKS) ออกฉายทางออนไลน์ (สตรีมมิง) วันที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2564 เพราะพิษโควิด-19 ทำให้ต้องเลื่อนกำหนดฉายในโรงภาพยนตร์ 4 ครั้ง ตั้งแต่เดือนตุลาคม พ.ศ. 2563
สำหรับผู้เขียน ฟินช์ เป็นภาพยนตร์อีกหนึ่งเรื่องที่น่าทึ่ง อย่างหนึ่งเพราะเป็นภาพยนตร์ที่มีตัวละครหลักเป็นคนจริงๆ ตลอดทั้งเรื่องเพียงคนเดียว คือ ทอม แฮงก์ส แต่สามารถทำให้คนดู (เช่นผู้เขียน) ติดตามเรื่องราวตั้งแต่ต้นจนจบอย่างตั้งอกตั้งใจอยู่ได้นานถึงเกือบสองชั่วโมง ขาดเพียง 5 นาที
ฟินช์ เป็นภาพยนตร์เกี่ยวกับวันโลกาวินาศ เกิดจากการปะทุใหญ่ คือ SOLAR FLARE (โซลาร์แฟร์ : การลุกจ้าของดวงอาทิตย์) ทำลายชั้นโอโซนของโลก
ทอม แฮงก์ส รับบทเป็น ฟินช์ วิศวกรหุ่นยนต์ที่รอดชีวิตจากความปั่นป่วนบนโลก และรู้ตัวว่า กำลังจะตาย แต่ด้วยความเป็นห่วงเจ้าสุนัข กู๊ดเยียร์ ว่า จะอยู่อย่างไรเมื่อไม่มีเขา จึงสร้างหุ่นยนต์ปัญญาประดิษฐ์ชื่อ เจฟฟ์ เพื่อให้ดูแลกู๊ดเยียร์เมื่อเขาไม่อยู่แล้ว
แต่เป้าหมายหลักของเราวันนี้ มิใช่เป็นเรื่องของภาพยนตร์ฟินช์ เพราะอยากให้ท่านผู้อ่านได้ชมบทบาทของ ทอม แฮงก์ส และเรื่องราวความพยายามของ เจฟฟ์ ที่จะเรียนรู้การดูแลกู๊ดเยียร์หลังฟินช์ไม่อยู่ด้วยตัวของท่านผู้อ่านเอง (ถ้ายังไม่ได้ชม)
เป้าหมายหลักของเราวันนี้ คือ การตอบคำถามที่เป็นปฐมต้นเหตุของ “วันโลกาวินาศ” ดังในภาพยนตร์ฟินช์ว่า จะเกิดขึ้นได้จริงๆ หรือไม่ โดยจะนำท่านผู้อ่านไป “อัปเดต” ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ฉบับย่นย่อถึงวันนี้ว่า วิทยาศาสตร์บอกอะไรแก่เราได้บ้าง เกี่ยวกับ “วันโลกาวินาศ”
...
เมื่อกล่าวถึงวันโลกาวินาศ สิ่งแรกที่เรามักจะนึกถึง คือ วันแตกดับของดาวเคราะห์โลก แต่ก็คงจะต้องนึกถึงต่อไปทันทีว่า แล้วมนุษย์ล่ะ ?
ก่อนจะไปจับตาเรื่องวันแตกดับของดาวเคราะห์โลกและวาระสุดท้ายของมนุษยชาติ เราไปสำรวจกำเนิดที่มาของทั้งดาวเคราะห์โลกและของมนุษยชาติกันอย่างเร็วๆ
ดาวเคราะห์โลกมีกำเนิดมาพร้อมกับดวงอาทิตย์และบรรดาดาวเคราะห์บริวารของดวงอาทิตย์ เมื่อประมาณสี่พันห้าร้อยล้านปีมาแล้ว ส่วนมนุษยชาติที่เป็นเผ่าพันธุ์มนุษย์ยุคปัจจุบัน คือ โฮโมเซเปียนส์ มีกำเนิดมาเมื่อประมาณสามแสนปีในแอฟริกาใต้ แล้วต่อมาจึงอพยพจากแอฟริกา กระจายไปอยู่กันทั่วโลก
ดวงอาทิตย์ของเราเป็นหนึ่งในดาวฤกษ์อย่างน้อยหนึ่งแสนล้านดวง ที่ประกอบเป็นกาแล็กซีทางช้างเผือก และกาแล็กซีทางช้างเผือกก็เป็นหนึ่งในจำนวนประมาณสองแสนล้านกาแล็กซีที่ประกอบเป็นจักรวาลของเรา
สาเหตุใหญ่ที่สุดที่จะทำให้ดาวเคราะห์โลกและมนุษยชาติต้องแตกดับไปด้วย ก็คือ ความตายของจักรวาล ซึ่งตามทฤษฎีกำเนิดจักรวาลหลักของโลกวิทยาศาสตร์วันนี้ คือ กำเนิดจักรวาลแบบบิกแบง (BIG BANG) เกิดขึ้นเมื่อประมาณหนึ่งหมื่นสามพันแปดร้อยล้านปีก่อน
แต่ยังไม่มีข้อสรุปว่า จักรวาลของเราจะตายอย่างไร ? เมื่อไร ?
ความตายของโลกและมนุษยชาติจากจักรวาล จึงยังเป็นคำถามที่ต้องถูกแขวนไว้ก่อน
จากจักรวาลก็ลงมาใกล้โลกและมนุษย์มากขึ้น คือ กาแล็กซีทางช้างเผือกและดวงอาทิตย์
กาแล็กซีทางช้างเผือก มีกำเนิดเมื่อประมาณหนึ่งหมื่นสามพันหกร้อยล้านปีมาแล้ว หลังกำเนิดจักรวาลของเราเพียงประมาณสองร้อยล้านปี และก็เช่นเดียวกับสรรพสิ่งในจักรวาล กาแล็กซีทางช้างเผือกก็จะต้องพบกับวาระสุดท้ายในที่สุด
ตามความรู้ดีที่สุดถึงปัจจุบัน สิ่งที่จะเกิดขึ้นกับกาแล็กซีทางช้างเผือก ที่จะใกล้กับเรื่องความตายมากที่สุด คือ การชนกันของกาแล็กซีทางช้างเผือกกับกาแล็กซีแอนโดรมีดา ในอีกประมาณห้าพันล้านปีข้างหน้า
กาแล็กซีแอนโดรมีดาใหญ่กว่ากาแล็กซีทางช้างเผือกประมาณสองเท่า เมื่อสองกาแล็กซีชนกัน ส่วนใหญ่แล้ว กาแล็กซีที่เล็กกว่า จะเสมือนกับถูกกลืนกิน เหมือนกับที่กาแล็กซีทางช้างเผือกได้กลืนกิน....และกำลังกลืนกิน....กาแล็กซีใกล้เคียงที่เล็กกว่า ทำให้แอนโดรมีดามีขนาดใหญ่ขึ้น
...
สำหรับดวงอาทิตย์ เมื่อกาแล็กซีทางช้างเผือกกับแอนโดรมีดาชนกัน ดวงอาทิตย์ก็อาจจะยังคงความเป็นดาวฤกษ์อยู่ แต่ในตอนนั้น ดวงอาทิตย์จะเปลี่ยนสภาพไปเป็นดาวยักษ์แดง เข้าไปเป็นสมาชิกใหม่ของกาแล็กซีแอนโดรมีดา
หรือดวงอาทิตย์อาจจะชนกับดาวฤกษ์ดวงอื่นๆ ในกาแล็กซีทางช้างเผือกเอง และในกาแล็กซีแอนโดรมีดา
ส่วนดาวเคราะห์โลก ในอีกประมาณห้าพันล้านปี ก็คงจะพบกับวาระสุดท้ายไปก่อนแล้ว จากดวงอาทิตย์ที่เป็นดาวยักษ์แดง กลืนกินดาวพุธ ดาวศุกร์ และโลก
แล้วมนุษย์ล่ะ ?
อีกประมาณห้าพันล้านปี ถ้ามนุษย์ยังคงดำรงอยู่ ก็คงจะกระจายเผ่าพันธุ์มนุษย์ออกไปจากดาวเคราะห์โลกแล้ว ไปอยู่ในที่อื่นภายในระบบสุริยะ หรือออกนอกระบบสุริยะของเราไปแล้ว เพราะก่อนที่ดาวยักษ์แดงดวงอาทิตย์ จะขยายขนาดมากลืนกินโลก โลกก็จะเป็นดาวเคราะห์อันตรายที่มนุษย์ไม่สามารถจะอาศัยอยู่ได้อีกต่อไป
...
จากดวงอาทิตย์ ลงมาถึงดวงจันทร์
ดวงจันทร์มีขนาดเล็กกว่าโลกเกือบสี่เท่า โคจรรอบโลกหนึ่งรอบในเวลาพอๆ กับที่หมุนรอบตัวเองหนึ่งรอบ ทำให้ดวงจันทร์หันด้านเดียวมาสู่โลกเสมอ และทำให้หนึ่งวันของดวงจันทร์ ยาวพอๆ กับเวลาหนึ่งเดือนของโลก
ดวงจันทร์มีอิทธิพลต่อเรื่องน้ำขึ้นน้ำลงบนโลก และต่อความเป็นอยู่กับความรู้สึกทางอารมณ์ของมนุษย์โลก ต่อข้างขึ้นข้างแรมของดวงจันทร์
สำหรับภัยจากดวงจันทร์ที่อาจเกิดขึ้นกับโลก เช่น ดวงจันทร์เปลี่ยนวิถีโคจรจะเข้ามาชนโลก ดังในภาพยนตร์ วันโลกาวินาศฟอร์มยักษ์เรื่อง MOONFALL (วันวิบัติ จันทร์ถล่มโลก) ออกฉายเดือนมกราคม พ.ศ. 2565 ย่อมเป็นไปได้ในโลกแห่งจินตนาการ และสามารถจะเกิดขึ้นได้จริง ถ้าดวงจันทร์ถูกวัตถุขนาดใหญ่ระดับใกล้เคียงกับดวงจันทร์ชน แต่โอกาสจะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้นี้ กล่าวได้ว่า ไม่มี!
ในอนาคตไกลออกไปล่ะ ?
เกิดขึ้นได้ โดยเฉพาะเมื่อกาแล็กซีทางช้างเผือกชนกับกาแล็กซีแอนโดรมีดา
จริงๆ แล้ว ทุกวันนี้ และก็เป็นเช่นนี้มาเป็นเวลาหลายพันล้านปีแล้ว ดวงจันทร์กำลังโคจรห่างออกไปจากโลก ในอัตรา (ปัจจุบัน) 3.78 เซนติเมตรต่อปี
...
ภัยจากฝีมือมนุษย์เอง !
ภัยต่อโลกและมนุษย์ที่กล่าวไปแล้วทั้งหมด เป็นภัยธรรมชาติจากนอกโลก
แล้วภัยจากฝีมือมนุษย์เองล่ะ ?
ภัยจากฝีมือมนุษย์เองที่กล่าวถึงกันมากที่สุด และก็เป็นภัยของจริงด้วย คือ ภัยต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของโลก หรือ โลกร้อน (GLOBAL WARMING) เป็นภัยต่อสภาพแวดล้อมของโลก
แต่ภัยต่อสภาพแวดล้อมของโลก จะไม่รุนแรงถึงระดับทำให้โลกและมนุษยชาติต้องพบกับจุดจบอย่างแท้จริง
แสดงว่า ทั้งโลกและมนุษยชาติก็ปลอดภัยจากฝีมือมนุษย์อย่างแน่นอน ใช่หรือไม่ ?
คำตอบ คือ ทั้งใช่และไม่ใช่ !
ใช่ คือ ฝีมือมนุษย์จะไม่สามารถทำให้โลกต้องแตกดับได้ แต่ที่ไม่ใช่ ก็คือ มนุษยชาติวันนี้ กำลังตกอยู่ในภาวะเสี่ยงอย่างที่สุดต่อการถูกทำลายด้วยฝีมือมนุษย์เอง
ภัยร้ายแรงที่สุดต่อมนุษยชาติจากฝีมือมนุษย์เอง คือ ภัยสงคราม !
นับเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ ที่มนุษย์มีอาวุธร้ายแรงถึงระดับทำลายล้างมนุษยชาติได้ คือ อาวุธนิวเคลียร์
ถึงแม้อาวุธนิวเคลียร์ที่มีสะสมอยู่ทั่วโลกในปัจจุบัน คือ ประมาณ 13,000 ลูก จะน้อยกว่าเมื่อสงครามเย็นระหว่างสหรัฐอเมริกา กับสหภาพโซเวียตเดิมกำลังร้อนจัด (คือ ประมาณ 19,000 ลูก) แต่เท่าที่มีอยู่ ก็เกินพอแล้วที่จะทำลายล้างอารยธรรมของโลกลงได้
ถ้าเกิดสงครามโลกครั้งใหม่เป็นครั้งที่สาม อย่างแน่นอน จะเป็นสงครามนิวเคลียร์ !
ฉากทัศน์ที่จะเกิดขึ้น คือ คนประมาณครึ่งโลกจะตายทันที แต่พวกเขาจะ “โชคดีที่ตายก่อน” เพราะคนที่ยังรอดชีวิตอยู่ จะเผชิญกับภาวะโลกหลังสงครามนิวเคลียร์ คือ “ฤดูหนาวนิวเคลียร์” หรือ “NUCLEAR WINTER” ที่จะเกิดขึ้นเป็นเวลาประมาณสองถึงสามปี
มนุษยชาติหลังสงครามนิวเคลียร์ จะไม่ถึงกับสูญพันธุ์ แต่อารยธรรมจะล่มสลาย มนุษย์จะกลับไปสู่สภาพยุคเก่าแบบยุคหิน
แล้ววันสิ้นโลกแบบในภาพยนตร์ ฟินช์ จะเกิดขึ้นได้หรือไม่ ?
ดวงอาทิตย์ในปัจจุบัน เป็นลูกไฟนิวเคลียร์ธรรมชาติ ทุกขณะเวลา จะปลดปล่อยพลังงานในรูปของรังสี คือ รังสีแกมมา รังสีเอกซ์ รังสีอัลตราไวโอเลต รังสีความร้อนและแสงสว่างแก่โลก และอนุภาคมีประจุไฟฟ้าเป็นลมสุริยะ พายุสุริยะ ที่จะรุนแรงกว่าปรกติ เมื่อเกิดการลุกจ้ารุนแรงของดวงอาทิตย์ และก็สามารถมีผลรบกวนต่อระบบการสื่อสารของโลก ทั้งในอวกาศ (ดาวเทียมสื่อสาร) และบนโลก รวมไปถึงระบบการผลิตพลังงานไฟฟ้าบนโลก (เคยเกิดขึ้นมาแล้ว) ได้
แต่คำถามใหญ่ของเราว่า การลุกจ้าของดวงอาทิตย์ จะทำลายชั้นโอโซนของโลกจนกระทั่งเกิดภาวะโลกาวินาศดังในภาพยนตร์ ฟินช์ ได้หรือไม่นั้น คำตอบตรงๆ อย่างเป็นวิทยาศาสตร์ คือ ไม่ได้ !
และจริงๆ แล้ว อันตรายจากการลดลงของชั้นโอโซนในบรรยากาศชั้นสูง จนกระทั่งเกิดเป็นปัญหา “รูโหว่โอโซน” ที่เคยเป็นข่าวใหญ่มาแล้ว ก็เกิดจากฝีมือมนุษย์ที่ใช้สารจำพวก ซีเอฟซี (CFC) กับสเปรย์ปรับอากาศ น้ำยาปรับอากาศ การผลิตโฟม และสารจำพวก ฮาลอน (HALON) กับน้ำยาดับเพลิง ซึ่งในปัจจุบัน ถูกห้ามใช้ทั่วโลกแล้ว
อีกทั้งปัญหาจากดวงอาทิตย์ที่รบกวนระบบการสื่อสารของโลก และการผลิตพลังงานไฟฟ้านั้น มนุษย์ก็สามารถป้องกันได้
ดังนั้น บทสรุปสุดท้ายของเราจริงๆ ภัยร้ายแรงที่สุดต่อมนุษย์บนโลกวันนี้ จึงเป็นภัยจากฝีมือมนุษย์เอง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ภัยจากอาวุธนิวเคลียร์
แล้วเราจะป้องกันภัยร้ายแรงที่สุดต่อมนุษยชาติได้อย่างไร ?
นี่คือโจทย์ใหญ่ที่ผู้เขียนขอฝากให้ท่านผู้อ่านช่วยกันคิด เพราะชะตากรรมของมนุษยชาติ จริงๆ แล้ว ก็ขึ้นอยู่กับมนุษย์ทุกคนทั่วโลก !