นับตั้งแต่เกิดวิกฤติโควิด-19 เมื่อปีที่แล้ว (2563) เรารับรู้รับทราบกันมาตลอดว่า "อุตสาหกรรมท่องเที่ยว" ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง ธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องล้มกันระเนระนาด พอมาจนถึงปีนี้ (2564) ก็ยังไม่เห็นแววว่าจะกลับมาดีขึ้น และนั่นก็ทำให้อนาคตของ "ธุรกิจรถทัวร์" นั้นแสนมืดมน...
จากที่เคยเป็นหนึ่งในธุรกิจที่บูมมากๆ ใครจะคิดว่า ณ วันนี้ ธุรกิจรถทัวร์จะเหลือรอดแค่ 10% ที่ยังพอมีแรงวิ่งได้อยู่ และแม้ว่า เสียงความเดือดร้อนของพวกเขาจะส่งไปถึง "ภาครัฐ" แล้ว แต่ก็กลายเป็นว่า พวกเขายังคงไม่ได้รับการเหลียวแลใดๆ
"ผลกระทบเริ่มมีมาตั้งแต่เดือนเมษายน 2564 ซึ่งธุรกิจรถโดยสารไม่ประจำทาง (รถทัวร์เช่าเหมา) ไม่ได้วิ่งเลย 100% ที่มีวิ่งบ้างก็เป็นการให้บริการเฉพาะรับ-ส่งพนักงานภาคอุตสาหกรรม (โรงงาน) เท่านั้น เพราะเป็นสัญญารายปี ส่วนที่วิ่งให้รัฐวิสาหกิจหรือบริษัทต่างๆ พอมาเจอ Work from Home (ทำงานจากบ้าน) ก็มีการยกเลิกสัญญาหรือระงับสัญญาไป"
ดร.วสุเชษฐ์ โสภณเสถียร บริษัท มายเวย์ แทรเวล จำกัด ในฐานะนายกสมาคมผู้ประกอบการขนส่งทั่วไทย (สปข.) เปิดเผยกับทีมข่าวเฉพาะกิจฯ อย่างตรงไปตรงมาถึงสถานการณ์ "ธุรกิจรถทัวร์" ณ เวลานี้ ว่า เฉพาะการระบาดระลอก 3 ของโควิด-19 คือ เดือนเมษายน, พฤษภาคม, มิถุนายน และกรกฎาคม รวม 4 เดือน เสียหายไปไม่ต่ำกว่า 5 หมื่นล้านบาท
"เมื่อปีที่แล้ว (2563) ในธุรกิจรถทัวร์ ล้มหายตายจากไปราว 10% พอมาปี 2564 ณ เวลานี้ ก็หายไปอีก 30% ดังนั้น หมายความว่า หากสถานการณ์คลี่คลายจะกลับมาทำธุรกิจรถทัวร์ต่อไม่ได้แน่ๆ แล้ว 40%"
...
ทั้งนี้ หากให้ประเมินฉากทัศน์กรณี "ดีที่สุด" ของธุรกิจรถทัวร์นั้น
ดร.วสุเชษฐ์ มองว่าอย่างเร็วที่สุดน่าจะเดือนตุลาคม 2564 นี้ หรืออาจอยู่ที่ประมาณต้นปีหน้า (2565) และถ้าสถานการณ์เป็นลักษณะนี้ ก็ประเมินว่า กลุ่มธุรกิจรถทัวร์จะต้องหายไปจากตลาดไม่ต่ำกว่า 60% แน่นอน แต่ถามว่า "คนที่เหลือรอดจะกลับมาเริ่มใหม่ได้ไหม?" คำตอบก็คือ "ไม่รู้" แม้งานอาจจะกลับมามีต้นปีหน้า (2565) แต่ปัญหาอยู่ที่ว่า "จะกลับมาได้ไหม"
ต้องทำความเข้าใจว่า "รถทัวร์" ไม่ใช่จักรยาน ที่จะจอดทิ้งไว้ 3 เดือน หรือ 6 เดือน แล้วกลับมาวิ่งได้เลย สำหรับรถทัวร์เวลาจอดทิ้งก็มีสึกหรอ ตั้งแต่แบตเตอรี่ ยางล้อ ระบบไฟ ระบบต่างๆ ทั้งหมดพังไป หากจะให้รถทัวร์กลับมาวิ่งได้ ต้องมีการซ่อมบำรุง (Maintenance) ต่อคันไม่ต่ำกว่า 3-4 แสนบาทเป็นอย่างน้อย ซึ่งคิดว่า ผู้ประกอบการคงไม่มีกำลังพอในการทำตรงนี้เพื่อจะกลับมาแน่ๆ
ธุรกิจรถทัวร์ตกงานมากแค่ไหนแล้ว?
"ธุรกิจนี้มีคนประมาณแสนกว่าคน ตอนนี้ที่ประสบปัญหาเลยมีไม่ต่ำกว่า 8 หมื่นคน เพราะตอนนี้ รถทัวร์ที่วิ่งได้มีเพียงแค่ 10% เท่านั้นเอง มีคนที่ยังมีอาชีพอยู่กับธุรกิจรถทัวร์ได้อีกแค่ประมาณหมื่นคน"
ดร.วสุเชษฐ์ ยอมรับว่า ในส่วนบริษัทรถทัวร์ของตนเองนั้น ปัจจุบัน หยุดวิ่ง 100% แต่ก็ยังมีการดูแลพนักงานในระดับหนึ่ง บางส่วนที่ขอกลับต่างจังหวัดก็ให้เขากลับเพื่อไปประกอบอาชีพใหม่ เพราะไม่สามารถจะประคองดูแลเขาได้
สำหรับการประเมินฉากทัศน์กรณี "เลวร้ายที่สุด" ของธุรกิจรถทัวร์ ดร.วสุเชษฐ์ มองว่า ไม่ถึงขั้นหายไป 100% อาจจะไม่ถึงขั้นนั้น แต่ที่เหลือคงจะเป็นรถรับ-ส่งพนักงานบ้าง
"ผมมองประเมินตลาดว่า เต็มที่ปีหน้า (2565) ถ้างานกลับมา บริษัทเดิมๆ ที่เคยมีอยู่เหลือไม่ถึง 30% ที่จะประคองอยู่ได้ ที่เหลือตายหมด กับอีกอันที่จะเกิดปัญหาตามมา คือ กรณีที่ทุกอย่างฟื้นกลับมา นักท่องเที่ยวกลับมา แต่คนขับรถเปลี่ยนอาชีพหมดแล้ว นั่นจะทำให้อาชีพคนขับขาดตลาด"
ดร.วสุเชษฐ์ อธิบายว่า ปกติแล้ว รถทัวร์ 1 คัน จะมีพนักงานขับรถ 2 คนเป็นอย่างน้อย กรณีวิ่งงานยาวขึ้นไปก็ต้องมี 3 คน ซึ่งปัญหา คือ อาชีพคนขับรถไม่ใช่ว่าอยู่ๆ จะเอาเด็กจบใหม่แล้วมาขับได้เลย ต้องมีสกิลและประสบการณ์พอสมควร
"ตอนนี้ คนขับรถของเราฉีดวัคซีนแล้ว เพื่อหวังว่า ถ้ามีการเดินทางขึ้นมา คนรถเราก็จะปลอดภัย ความพร้อมทุกอย่างตรงนี้มีแล้ว ขาดแต่งาน"
...
แต่หากว่ากลับมาแล้วพฤติกรรมท่องเที่ยวไม่เหมือนเดิมจะเป็นเช่นไร?
ดร.วสุเชษฐ์ ยอมรับว่า กรณีนี้เป็นปัญหาแน่นอน เพราะพฤติกรรมการเดินทางของคนหลังโควิด-19 จะมีการปรับเปลี่ยน อีกทั้งก็ไม่รู้ว่ากลุ่มทัวร์ต่างประเทศจะมาเมื่อไร แล้วหากมาก็น่าจะเป็นกลุ่ม F.I.T หรือ Free Independent Travelers (รูปแบบการท่องเที่ยวส่วนบุคคล) การมาแบบหมู่คณะน่าจะน้อยลง โดยตลาดที่น่าจะรองรับคงเป็นตลาดคนไทยที่ต้องการไปท่องเที่ยว สัมมนา ศึกษาดูงาน หรือประชุมต่างๆ แต่คิดว่าคงจะน้อยลงเช่นกัน และคงไม่กลับมาเร็วนัก
ส่วนกรณีที่ว่า โควิด-19 ยังไม่คลี่คลายและลากยาวต่อเนื่องไปอีก ดร.วสุเชษฐ์ คิดว่า ในมุมมองที่คุยกันมาทั้งหมดคงต้องล่มสลายไป ที่จะกลับมาอีกทีคงเป็นยุคใหม่ คือ อาจเป็นกลุ่มทุนใหญ่ที่เข้ามา คงจะเป็นวงจรที่มีการพยายามทำให้เป็นแบบนั้น แล้วทำให้ผู้ประกอบการตายไปเอง เอสเอ็มอีต่างจังหวัดตายสนิทอยู่แล้ว ไม่สามารถทำได้
"ในอนาคตก็คงจะเป็นกลุ่มทุนใหญ่ๆ เข้ามา หรือทุนต่างชาติ แล้วมีการทำระบบใหม่ทั้งหมด ซึ่งจะทำลายวงจรรถทัวร์ไทยที่เคยอยู่คู่ประเทศไทยมา 50-60 ปี ตรงนี้ผู้ประกอบการไทยคงอยู่ยาก"
...
โดยส่วนตัว ดร.วสุเชษฐ์ เคยมีโมเดลปรับลดขนาดธุรกิจให้เล็กลงเมื่อปีที่แล้ว (2563) หมายความว่า อาจปรับเป็นขนาดรถเช่าแบบนักท่องเที่ยวมาแล้วขับเอง แต่ก็ต้องยอมรับว่า ธุรกิจนี้ค่อนข้างมืดมน โอกาสเปลี่ยนอาชีพมีสูง คงต้องหาอะไรอย่างอื่นทำ
"สำหรับบริษัทผมตอนนี้ คือ ใครอยากไปทำอาชีพอื่น เราให้ไป แต่ถ้าอยู่ก็พยายามหางานอย่างอื่นให้ทำ เพราะวันหนึ่งที่นักท่องเที่ยวกลับมา รถเราที่มีอยู่ตอนนี้ ถ้าต้องซ่อมบำรุงก็ต้องจ่าย 4-5 แสนบาท คงไม่ไปลงทุนแล้ว และคงจะเป็นขยะในอนาคต"
กว่าจะมาถึงจุดนี้ ดร.วสุเชษฐ์ ย้อนความว่า ธุรกิจรถทัวร์นำเที่ยวเคยบูมสุดๆ ปี 2560-2561 แล้วประมาณปี 2562 เริ่มตกแล้ว แม้สายการบินโลว์คอสจะเป็นส่วนหนึ่ง แต่การที่ท่องเที่ยวปี 2562 บูม ก็ต้องยอมรับว่า เวลานั้นในส่วน "ราคา" เริ่มมีนายทุนต่างชาติเข้ามาทุ่มตลาด ทำให้วงจรราคาเสียลงไป บางรายทำครบวงจร แล้วมาตัดราคากัน
"รถทัวร์นำเที่ยวทำรายได้ต่อเดือนเฉลี่ย 8 หมื่นบาท มากที่สุดคันหนึ่งประมาณ 1.5 แสนบาท เมื่อหักค่าต่างๆ แล้ว รายได้รถทัวร์ต่อเดือนเหลือคันละ 1 แสนบาท แต่ตอนนี้เป็น 0 จนถึงติดลบไปแล้ว"
...
ธุรกิจรถทัวร์จะรอดได้อย่างไร?
ดร.วสุเชษฐ์ ยืนยันหนักแน่นว่า ตอนนี้เข้า "โครงการช่วยเหลือตัวเอง" ภาระต่างๆ ก็ต้องประคองกันไป บางรายลูกน้องเมื่อแบกไม่ไหวก็ต้องลอยแพ เพราะแต่ละบริษัทก็ไม่สามารถที่จะดูแลพนักงานของตัวเองได้ ด้วยค่าอะไหล่ ค่าน้ำมัน ค่าต่างๆ ที่คงค้างอยู่ ประกันก็ระงับไว้ เพราะไม่มีเงินจ่าย ไม่มีเงินสดที่จะเตรียมมาชำระ มันเป็นลูกโซ่ทั้งระบบ
"ขายรถก็ไม่ได้ ตอนนี้ไม่มีคนซื้อ มีแต่คนขาย บางเจ้าถึงขนาดต้องไปตัดทิ้งช่างกิโลฯ ขายเป็นเศษเหล็ก เพราะเขาไม่มีเงินแล้ว มีรถคันหนึ่งแต่ทำอะไรไม่ได้ เมื่อก่อนไถนามาซื้อรถ แต่ตอนนี้ไปซื้ออะไรไม่ได้ รถก็ขายไม่ได้ ต้องตัดชิ้นส่วน ตัดเศษเหล็ก ขายกันเพื่อเอาตัวรอด มันไปถึงขั้นนั้นแล้วในปัจจุบันนี้"
ความคืบหน้า (ที่ไม่คืบ) กับการช่วยเหลือของภาครัฐ
ดร.วสุเชษฐ์ กล่าวว่า ความคืบหน้าการช่วยเหลือธุรกิจรถทัวร์ไทย คือ "เหมือนวันที่ไปยื่น" ตอนนี้ที่ได้รับมีแค่การอะลุ้มอล่วยการยกเว้นการตรวจสภาพกลางปีเท่านั้นเอง ส่วนเงินเยียวยา หรือข้อเสนอต่างๆ เงียบทุกอย่าง มีเพียงการสอบถามกลับมาบ้าง แล้วก็เงียบหายไป เหมือนเช่นเดียวกับปีที่แล้ว ล่าสุดยื่นอีกครั้งเดือนมิถุนายน ตอนนี้ก็มีแค่การพักตรวจสภาพรถ แต่การต่อภาษียังต้องเหมือนเดิม
"สิ่งที่เราอยากได้ คือ เราขอร้องไปตั้งแต่แรกเลยว่า การเยียวยาขอช่วยเหลือรถคันละ 5,000 บาทได้ไหม 3 เดือน หรือ 6 เดือน ก็ขอไปตั้งนานแล้ว ยังไม่ได้รับอะไรตอบรับกลับมา คือ ภาครัฐตอบรับทุกเรื่อง แต่ไม่เคยช่วยเหลือจริงใจสักเรื่องหนึ่ง"
สำหรับการเยียวยาคันละ 5,000 บาทนั้น ดร.วสุเชษฐ์ อธิบายว่า ตอนนี้ธุรกิจเดินไม่ได้ หากได้มาสักคันละ 5,000 บาทตามทะเบียนรถ ก็สามารถนำมาใช้หนี้สินได้บ้าง จ่ายพนักงาน พอประคองอยู่ได้บ้างเท่านั้น อีกส่วนหนึ่งที่ขอไปเพื่อซ่อมบำรุงรถหลังจากกลับมาวิ่งได้ ก็ขอประมาณคันละ 3 แสนบาท เพื่อนำมาซ่อมบำรุง แต่ก็คิดว่าคงยากอีกเหมือนเดิม
"รัฐไม่เคยเหลียวแล ไม่เคยคิดว่า ธุรกิจรถทัวร์เป็นหนึ่งในภาพความเดือดร้อนของธุรกิจ"
ดร.วสุเชษฐ์ ทิ้งท้ายไว้ว่า หากภาครัฐไม่หันมาช่วย ไม่หันมาดูอย่างจริงจัง ไม่เห็นความเดือดร้อนของกลุ่มธุรกิจรถทัวร์ไทย ก็คงต้องปล่อยให้เขาตายไปทีละคน...
ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ รายงาน
ข่าวน่าสนใจ:
- "เศรษฐกิจไทย" รั้งท้าย เชื่อมั่นตก กว่าจะฟื้นเท่าก่อนโควิด ใช้เวลา 5 ปี
- เปิดประเทศใน 120 วัน คงต้องต่อเวลา เมื่อวัคซีนไม่มาตามนัด เศรษฐกิจแย่
- "ร้านอาหาร" สู้! ดันโมเดล "ข้าวกล่อง" หวังคนละครึ่ง หั่น GP เดลิเวอรี่
- เปิดชื่อชาติหาญกล้า "ผสมสูตรวัคซีน" เผยผลวิจัย-ผลข้างเคียง
- คำต่อคำ อุปทูตสหรัฐฯ กับข้อวิพากษ์ชาติร่ำรวยบริจาควัคซีน ปูทางสู่เอเชีย