โควิดระบาดในไทย กำลังวิกฤติหนัก ผู้ติดเชื้อรายใหม่วันที่ 17 ก.ค. ทะลุหลักหมื่นไปแล้ว อาจถึงขั้นเกินขีดความสามารถของระบบสาธารณสุข จะรับมือได้ไหว โดยเฉพาะบุคลากรทางแพทย์ด่านหน้า ติดเชื้อเป็นวงกว้าง แม้ฉีดวัคซีนซิโนแวค ครบโดสไปแล้วก็ตาม

เพราะประสิทธิภาพ ไม่สามารถต้านเชื้อกลายพันธุ์ได้ แม้กระทั่งจีน ผู้ผลิตวัคซีนซิโนแวค ชนิดเชื้อตาย ยังเตรียมฉีดวัคซีน ชนิด mRNA ของไฟเซอร์ เป็นเข็ม 3 ให้กับประชาชน ขณะที่ไทย ยังรอความหวังวัคซีนประสิทธิภาพดีๆ จะเข้ามาในเร็วๆ นี้ ทั้งไฟเซอร์ และโมเดอร์นา ส่วนแอสตราเซเนกา จะได้ครบ 61 ล้านโดส คงต้องรออีกต่อไป จากหลายปัญหาติดขัด

จำนวนวัคซีนที่ทยอยเข้ามาในไทย ตั้งแต่วันที่ 26 ก.พ. 2564 จนถึงปัจจุบัน เริ่มจากซิโนแวค ยอดรวม 19.5 ล้านโดส ส่งมอบแล้ว 11.5 ล้านโดส ได้รับบริจาคจากจีนอีก 1 ล้านโดส ส่วนแอสตราเซเนกา 61 ล้านโดส ได้รับการส่งมอบแล้ว 5.37 ล้านโดส ได้รับบริจาคจากญี่ปุ่น 1.05 ล้านโดส และซิโนฟาร์ม ส่งมอบให้กับราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ 2 ล้านโดส

นอกจากนี้รัฐบาล ยังสั่งซื้อยี่ห้อไฟเซอร์ อีก 20 ล้านโดส และจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน 5 ล้านโดส อยู่ระหว่างรอการส่งมอบ โดยภายในปี 2565 ตั้งเป้าจัดหาวัคซีนหลายยี่ห้อ ให้ครบ 150 ล้านโดส เพิ่มฉีดสร้างภูมิคุ้มกันหมู่

ข้อมูลตั้งแต่วันที่ 28 ก.พ. จนถึง 15 ก.ค. 2564 ไทยฉีดวัคซีนไปแล้ว 13,533,717 โดส แบ่งเป็นเข็มแรก 10,163,340 โดส คิดเป็น 15.4% ของประชากร และเข็มสอง 2 3,370,377 โดส คิดเป็น 5.1% ของประชากรอัตราการฉีดเฉลี่ย 3 วันย้อนหลัง ตั้งแต่วันที่ 7 มิ.ย. อยู่ที่ 273,443 โดสต่อวัน

...

โควิดซับซ้อนไม่เข้าปอดเล็ดลอดไปสมองเสียชีวิต

ด้วยจำนวนผู้ติดเชื้อโควิดรายใหม่ เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว มีจำนวนมากอาการหนัก และอัตราการเสียชีวิต สูงขึ้น แม้ไม่มีอาการทางปอด แต่ขณะนี้พบคนติดเชื้อมีอาการทางสมองอย่างรวดเร็ว จนอาการหนักเสียชีวิต เป็นรายแรกของไทย ทั้งๆ ที่อายุน้อย และไม่มีโรคประจำตัวใดๆ จนความน่ากลัวของโควิดสายพันธุ์ใหม่ อาจจะซับซ้อนมากขึ้นก็เป็นไปได้

ในเรื่องนี้ “ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา” หัวหน้าศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ระบุว่า ได้พบผู้ป่วย อายุ 30 กว่าๆ ฉีดวัคซีนเชื้อตาย ยี่ห้อหนึ่งไปแล้ว 6-7 วัน และต่อมาติดโควิด มีอาการใจกลางสมอง เมื่อมาถึงโรงพยาบาลไม่ถึงวัน มีอาการไม่รู้สึกตัว บริเวณปอดไม่พบเชื้อ แต่เป็นปฏิกิริยาการติดเชื้อจากการอักเสบรุนแรง ทำให้ความดันตก มีผลต่อตับและไต จนไม่รู้สึกตัว และผนังหลอดเลือดในสมองเกิดการรั่ว ทำให้น้ำที่อยู่ในเส้นเลือดรั่วออกมาไปยังใจกลางสมอง และเสียชีวิตในที่สุด

“รายงานจากต่างประเทศ เคยเจอเคสลักษณะนี้เป็น 10 ล้านคน แต่ในไทยเพิ่งเจอ ซึ่งแปลกมากที่เชื้อโควิดไม่เข้าปอด แต่อยู่ดีๆ เข้ากลางสมอง หรือไทยอาจจะเคยมีก็ได้ ไม่อาการทางปอดแล้วเสียชีวิตที่บ้าน ทำให้ไม่รู้ว่ามีเคสแบบนี้ และยังบอกไม่ได้เป็นเพราะวัคซีนหรือไม่ หลังฉีดมาก่อนหน้านั้น ต้องดูหลายอย่าง”

รพ.รับมือไม่ไหว ติดทุกคนทุกอายุ ป่วยหนักตาย

ขณะนี้คนติดเชื้อจำนวนมาก หลายโรงพยาบาลรับมือไม่ไหว ด้วยความเป็นแพทย์รู้สึกเสียใจอยากร้องไห้ กับภาพที่เห็นคนป่วยล้นโรงพยาบาล ซึ่งตัวเลขผู้ติดเชื้อจริงๆ ต้องมากกว่าที่ ศบค.แถลงแน่ๆ อย่างแรกเพราะไม่มีการตรวจจริง เป็นแค่การแหยงจมูกตรวจเชิงรุก ในคนบางกลุ่ม ทำให้คนติดเชื้อน่าจะมีมากกว่านี้ หรือตรวจเพียง 25% ของกลุ่มเสี่ยงเท่านั้น

อีกทั้งสัดส่วนคนอาการหนักมีประมาณ 10% แต่ที่เห็นอยู่มีทั้งติดต่อเข้าโรงพยาบาล และหนาแน่นอยู่ในโรงพยาบาล แต่ที่ขอตรวจแล้วไม่ได้ตรวจ เป็นตัวเลขมหาศาล หากคูณด้วย 10 หรือ 20 แสดงว่าตัวเลขมากกว่านี้ สะท้อนจากคนอาการหนัก นอกจากนี้ยังมีคนตายไม่มีการยืนยันเต็มไปหมด จนตอนนี้วัดเผาไม่ทัน ยังไม่รวมคนตายจากโรคอื่น เพราะบุคลากรทางการแพทย์ไม่เพียงพอ ต้องไปรักษาผู้ป่วยโควิด จากการบริหารผิดพลาดของรัฐบาล

“การแพร่ระบาดไม่เพียงแค่พื้นที่ระดับสีแดงเท่านั้น จริงๆ แล้วไม่รู้ไปพีกอยู่ที่ไหน มีการเฉลี่ยความทุกข์ไปทุกจังหวัด ให้ทุกจังหวัดรับการผ่องถ่าย จนระบาดในชุมชนตามหมู่บ้าน ตามที่ทำงาน แม้กระทั่งในบ้าน แตกต่างจากการระบาดในสมุทรสาคร กลายเป็นว่าครั้งนี้ระบาดเต็มทุกพื้นที่แล้ว จนไม่มีพื้นที่เสี่ยงแล้ว ติดเชื้อทุกอายุ ติดกันทุกคน และคนอายุ 30 ก็ตาย เด็กก็ตาย”

เปิดแอร์อยู่ด้วยกัน 15 นาที ก็ติด แมสก์ช่วยไม่ได้

กรณีการระบาดในชุมชนแออัด ซึ่งล้อมรอบอยู่ใกล้ในหลายพื้นที่ ทำให้ขณะนี้ไม่ใช่การแพร่เชื้อทางอากาศแล้ว แต่ในพื้นที่มิดชิดไม่มีหน้าต่าง เปิดเครื่องปรับอากาศ เมื่ออยู่ด้วยกันนานๆ แม้ใส่หน้ากาก เพียงแค่ 15 นาที ถือว่ามีความเสี่ยงสูง จากฟองฝอยละอองขนาดเล็ก จากการพูด การตะโกนกันเฉยๆ ทำให้สถานที่ทำงาน โรงพยาบาล และพื้นที่อากาศถ่ายเทไม่เต็มที่ เต็มไปด้วยเชื้อโควิด

...

สถานการณ์ที่เกิดขึ้น จะไม่โทษการบริหารของรัฐบาลที่ผิดพลาดคงไม่ได้แล้ว เพราะผิดพลาดมาตั้งแต่สิ้นเดือน เม.ย.จนถึงปัจจุบัน ซึ่งต้องมีวัคซีนป้องกัน แม้คนในชุมชนแออัดต่อให้ป้องกันตัวเองมากเท่าใด ก็ไม่สามารถป้องกันการติดเชื้อได้ ทั้งใน กทม.และพื้นที่จังหวัดใหญ่ๆ ซึ่งในแผนที่ระบุชัดอยู่แล้วพื้นที่ใดเป็นชุมชนแออัด

สิ่งที่แนะนำควรแยกคนออกมา ไม่ให้เกิดความแออัด อย่าง กทม.ทั้ง 50 เขต ควรแยกคนออกมา ทำเป็นพื้นที่ให้อยู่อาศัยไม่ให้แออัด ก่อนเข้าไปคัดกรองตรวจหาเชื้อ 100% เพราะหากคนอยู่อย่างแออัด ปะปนกับคนติดเชื้อจะยิ่งแพร่ไปอย่างรวดเร็ว

“ยกตัวอย่างชุมชนคลองเตย มีเป็นพันคน แต่แจกคูปองให้ไปตรวจหาเชื้อ 50 ใบ เพื่อเดินทางไปคัดกรอง ยังอีกที่หนึ่ง บางคนอาจติดเชื้อไปแล้ว กลายเป็นว่าออกไปแพร่เชื้อให้คนอื่น ซึ่งผิดวิธีในการควบคุมโรคระบาด หากการคัดกรองไม่มีเครื่องมือที่ดีที่สุด ควรใช้แรพิด เทสต์ แม้ว่าตรวจคน 100 คน อาจจะหลุด 20 คน ก็ทำไปก่อน เพราะขณะนี้บุคลากรทางการแพทย์ขาดแคลนรับมือไม่ไหว และอุปกรณ์รักษาก็ไม่พอ”

...

วัคซีนไม่ดีพอ บุคลากรการแพทย์ติดเชื้อมากกว่า 700

นอกจากนี้ยังมีบุคลากรทางการแพทย์ติดเชื้อเป็นจำนวนมาก แม้ฉีดวัคซีนครบโดสแล้ว และกรณีกรมควบคุมโรคออกมาประกาศว่าติดเชื้อ 700 กว่าคนนั้น เฉพาะแพทย์และพยาบาลที่ติดเชื้อ แต่ยังไม่รวมเจ้าหน้าที่สาธารณสุขอื่นๆ ทั้งเภสัชกร หรือแม้แต่เจ้าหน้าที่ธุรการ เจ้าหน้าที่ทุกแผนก และแม่บ้านในโรงพยาบาล ซึ่งทุกคนอยู่ด่านหน้า มีการฉีดวัคซีนครบแล้วติดเชื้อ ทำให้ตัวเลขติดเชื้อมากกว่านี้

...

ในขณะที่สถานการณ์กำลังย่ำแย่ และวัคซีนที่นำเข้ามาไม่ดีพอ ต้องฉีดวัคซีนไขว้ชนิด ระหว่างวัคซีนไม่ดีกับวัคซีนที่ดีไปก่อน แม้ยังไม่รู้ว่าผลจะเป็นอย่างไร หากเกิดผลไม่ดีขึ้นมา ถามว่าใครจะรับชอบ ควรนำวัคซีนที่ดีด้วยกันทั้งคู่มาฉีดไขว้จะดีกว่า เพราะวัคซีนดีแม้เพียงเข็มเดียว หากฉีดเข้าไปในคนที่ตอบสนองได้ไม่ดี แต่อย่างน้อยต้องได้ภูมิคุ้มกันที่เกินเกณฑ์ไม่ต่ำกว่า 60 หรือ 70% ไม่ใช่วัคซีนซิโนแวค เพราะเห็นชัดกรณีบุคลากรทางการแพทย์ ฉีดครบโดสแล้ว ยังป่วยโควิด และเสียชีวิต คงต้องรอความหวังให้วัคซีนดีๆ เข้ามาโดยเร็ว.