ช่วงนี้มักจะได้ยินประโยคนี้บ่อยๆ "ยิ่งเสี่ยง...ยิ่งอยากลอง!" ตั้งแต่หวย ยันหุ้น จนมาถึงสิ่งนี้... "บิตคอยน์" (Bitcoin) ที่เปรียบกันขำๆ ว่า "ของเล่นเศรษฐี!"

ที่เรียกกันว่า "ของเล่นเศรษฐี" ก็เพราะว่า ตลาดคริปโต (Crypto) ตอนนี้ ไม่ได้มีแค่นักลงทุนธรรมดาทั่วไป แต่ดันมี "ผู้มั่งคั่ง" แห่ง Hedge Fund (กองทุนประกันความเสี่ยง) อย่าง อลัน โฮวาร์ด (Alan Howard) และพอล ทูดอร์ โจนส์ (Paul Tudor Jones) รวมถึง อีลอน มัสก์ (Elon Musk) เศรษฐีหัวแข็งแห่ง "เทสลา" (Tesla) มาลุ่มหลงด้วย

ถ้ายังจำกันได้... ตอนปีใหม่ (2564) ราคา "บิตคอยน์" เคยทะยานพุ่งไปที่ 33,099 ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 990,000 บาท และมีบางช่วงแตะถึง 1 ล้านบาท!!

ในตอนนั้นก็มีการมองว่า ราคา "บิตคอยน์" ที่สูงขนาดนี้น่าจะเป็น "ความกลัว!" ของนักลงทุนมากกว่า ที่มองหา "หลุมหลบภัย" (Safe Haven) ชั่วคราว สำรองนอกเหนือจาก "ทองคำ" และก็ไม่คิดว่าราคาจะไปได้ไกลเกินนี้นัก

แต่มาวันนี้...อาจไม่เป็นอย่างที่คิด

REUTERS/Benoit Tessier/Illustration
REUTERS/Benoit Tessier/Illustration

...

เมื่อ "บิตคอยน์" สร้างประวัติศาสตร์อีกครั้ง ด้วยการทะยานทะลุ 50,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 1,500,000 บาทเป็นครั้งแรก ซึ่งนับตั้งแต่ต้นปีจนถึงตอนนี้ก็ดีดเพิ่มขึ้นกว่า 70% แล้ว

การเพิ่มขึ้นทั้งหมดนั้น ปฏิเสธไม่ได้ว่า "อิทธิพล" ของบรรดาผู้มั่งคั่งที่กล่าวไปในตอนต้นนั้นมี "เอี่ยว" ไม่น้อย เพราะแค่ประกาศว่า พวกเขาจะร่วมลงทุนใน "บิตคอยน์" ก็ทำให้ "ตลาดคริปโต" พลุกพล่านเต็มไปด้วยนักลงทุนมากมายจากทั่วทุกสารทิศ แถมยังฉุดให้ "คริปโตคู่แข่ง" อย่าง "อีเธอร์" (Ether) ดีดตามไปด้วย โดยเมื่อวันศุกร์ที่ 12 กุมภาพันธ์ ราคาเพิ่มขึ้นกว่า 140% นับตั้งแต่ปีงบการเงินจนถึงปัจจุบัน (YTD)

แต่ถ้าจะให้ระบุตัวตนว่า ใครกันที่ทำให้ "บิตคอยน์" ดีดมากขนาดนี้?

REUTERS/Dado Ruvic
REUTERS/Dado Ruvic

คำตอบก็หนีไม่พ้น "อีลอน มัสก์" พ่อหนุ่มขาป่วนคนเดิม ที่พอ "เทสลา" ประกาศทุ่มซื้อ "บิตคอยน์" กว่า 1,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 45,000 ล้านบาท ก็ทำให้ราคาปรับเพิ่มขึ้นถึง 16%

และเพราะพ่อหนุ่มคนนี้...เลยมีข่าวทยอยออกมาเรื่อยๆ ว่า บริษัทยักษ์ใหญ่อาจกระโจนลง "ตลาดคริปโต" ด้วย หนึ่งในนั้นก็ "แอปเปิล" (Apple)

หรืออย่าง "มาสเตอร์การ์ด" (Mastercard) ที่เพิ่งโพสต์ข้อความลงบล็อกเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า ตอนนี้จะพยายามเลือกลงทุนใน "ตลาดคริปโต" เฉพาะที่เป็น Stablecoin ซึ่งเป็นเหรียญที่มีการตรึงมูลค่ากับสินทรัพย์อื่นๆ เช่น ดอลลาร์สหรัฐฯ โดยก่อนหน้านี้ "มาสเตอร์การ์ด" กลายเป็นหัวเรือใหญ่ในการทำ บัตรคริปโต เช่น ไวเรกซ์ (Wirex) และบิตเพย์ (Bitpay)

ทีนี้กลับมาว่ากันต่อที่ "บิตคอยน์" ในช่วงต้นๆ มีการคาดการณ์ว่าน่าจะเป็น Safe Haven ที่ตีคู่กับ "ทองคำ" ในอนาคต

แน่นอนคำถามที่ตามมา...หลังจากเห็นภาพ "ขาใหญ่" แจมตลาดคริปโต ก็คือ "บิตคอยน์" ดีกว่า "ทองคำ" จริงๆ หรือ?

REUTERS/Eric Gaillard
REUTERS/Eric Gaillard

...

หนึ่งในเหตุผลที่น่าดึงดูดของ "บิตคอยน์" ในเวลานี้ คงเป็นการที่มันไม่ถูกควบคุมโดยนโยบายการคลัง หรือรัฐบาล รวมถึงการลงทุนที่ง่ายผ่านสื่อกลางต่างๆ ซึ่งไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ "บิตคอยน์" มีการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางการเงินที่แข็งแรงมากขึ้น

แต่หากจะบอกว่า "บิตคอยน์" อาจเกิด "ฟองสบู่" หรือแท้จริงแล้ว "บิตคอยน์" คือ "ทองคำดิจิทัล" นั่นก็ยังไม่ชัดเจนนัก

ก่อนหน้านี้ "บิตคอยน์" เป็นตลาดซื้อขายแบบแคบๆ ที่เรียกกันว่า "วาฬ" แต่ปัจจุบันกลับมีนักลงทุนจำนวนมากที่เข้าไปลงทุน "บิตคอยน์" จนส่งแรงกระเพื่อมไปทั่วระบบนิเวศ และอาจกลายเป็น "ระเบิดฟองสบู่" ในอนาคต ซึ่งไม่ใช่ช่วงเวลาอันใกล้นี้แน่ๆ

เพราะตอนนี้ ต้องยอมรับว่า บทบาทของ "บิตคอยน์" ไม่ได้เหมือน "ทองคำ" ที่เป็น "หลุมหลบภัย" และเก็บสะสมรอการเก็งกำไรเพียงอย่างเดียว มีการพัฒนาไปสู่การนำไปใช้เป็น "ตัวกลาง" ในการซื้อขายสินค้าและบริการในร้านค้าต่างๆ บ้างแล้ว ตัวอย่างเช่น เพย์พาล (PayPal) ในขณะที่ ทองคำ เอง ภาพในการเป็น "ทองคำดิจิทัล" ยังสลัวอยู่ และไม่น่าจะเกิดได้ง่ายๆ

REUTERS/Eric Gaillard
REUTERS/Eric Gaillard

...

แม้แต่ เจฟฟรีย์ กันด์ลัช (Jeffrey Gundlach) ประธานดับเบิลไลน์ แคปิทัล แอลพี (DoubleLine Capital LP) ที่เป็น "กระทิงทอง" มาอย่างยาวนาน ก็ยังเกิดเปลี่ยนใจการลงทุนโลหะมีค่า และหันมาให้ความสนใจใน "บิตคอยน์" ที่มองเห็นแววว่า "การซื้อขายจะทำได้ดีกว่าทองคำ" ที่มองเห็นภาพได้จาก "คลื่นเงินสด" ที่ถูกโยกเข้าสู่ระบบคริปโตเคอร์เรนซีในช่วงการแพร่ระบาดโควิด-19 นี้

แต่ข้อเตือนใจหนึ่งที่ต้องจับตาโดย "กันด์ลัช" คือ "บิตคอยน์" อาจเป็นหนทางในการ "ไซฟอน" (Siphon) เงินสดจากตลาดทองคำ ที่บรรดาผู้มีอำนาจกำกับดูแลต้องจับตาให้ดี

อย่างไรก็ตาม ตลอด 4 ปีที่ผ่านมา ราคามีการเพิ่มขึ้นกว่า 4 เท่าแล้ว แม้จะมีลดลงบ้างเมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ราว 2% แต่ก็มีการคาดการณ์ว่า "บิตคอยน์" มีโอกาสแตะถึง 318,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 9,500,000 บาท ภายในสิ้นปี 2564

แน่นอนว่า ใครที่อยากเป็น "นักลงทุนบิตคอยน์" ก็ต้องเตรียมตัวเตรียมใจรับความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้น จากสถิติอันน่าตื่นตาตื่นใจนี้ไว้ด้วย เพราะความไม่แน่นอนในระยะสั้นมีโอกาสเกิดขึ้นได้หลากหลายแบบใน "ตลาดกระทิง" นี้.

The Answer โดย ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์
กราฟิก: Sathit

...

ข่าวน่าสนใจ:

ข้อมูลอ้างอิง:

  • อัตราแลกเปลี่ยน ณ 18 ก.พ. 2564 : 30.02 บาท