• จอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน ยื่น FDA ขออนุมัติการใช้วัคซีน คาดภายในกุมภาพันธ์หรือมีนาคมจะใช้ในสหรัฐอเมริกาได้
  • วัคซีนไฟเซอร์ อนุญาตให้ใช้ได้กับคนที่มีอายุ 16 ปีขึ้นไป ขณะที่ วัคซีนโมเดอร์นา อนุญาตให้ใช้ได้กับคนที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป
  • ผลข้างเคียงที่พบมากที่สุดหลังรับวัคซีน คือ อ่อนเพลีย ปวดศีรษะ ปวดกล้ามเนื้อและข้อ

ความสำเร็จของ บริษัท แจนส์เซน ฟาร์มาซูติคอล (Janssen Pharmaceuticals) ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของ จอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน (Johnson & Johnson) หลังสามารถพัฒนาวัคซีนชนิดใหม่ที่มีประสิทธิภาพโดยเฉลี่ยสูงถึง 66% ในผู้ป่วย Covid-19 ระดับปานกลางถึงระดับรุนแรง แต่จะมีประสิทธิภาพสูงถึง 85% ในผู้ป่วยระดับรุนแรง นอกจากนี้ ยังไม่พบผู้ป่วยที่ต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลหรือเสียชีวิตในกลุ่มอาสาสมัครที่เข้ารับการทดสอบวัคซีนชนิดนี้ด้วย

นอกจากนี้ ประสิทธิภาพวัคซีนโดยเฉลี่ยหลังถูกนำไปทดลองในหลากหลายภูมิภาค โดยเฉพาะในประเทศแอฟริกาใต้ ซึ่งกำลังมีการระบาดของไวรัสกลายพันธุ์ ยังพบว่ามีความแตกต่างกันเพียงเล็กน้อยอีกด้วย

มันจึงทำให้มนุษยชาติเข้าใกล้ความสำเร็จในการพิชิตเจ้าโรคร้ายนี้ไปอีกหนึ่งก้าวแล้ว

อ้อ...เกือบลืมบอกไป วัคซีนของแจนส์เซน ฟาร์มาซูติคอล ยังมีจุดเด่นที่เหนือกว่าบริษัทคู่แข่งอีกข้อ ตรงที่ฉีดเพียงแค่เข็มเดียวอีกด้วยนะ!

ล่าสุด บริษัท จอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน ได้ยื่นขอองค์การอาหารและยาของสหรัฐฯ (Food and Drug Administration) หรือ FDA ให้อนุมัติใช้วัคซีนชนิดนี้แล้ว ทำให้คาดว่า ภายในเดือนกุมภาพันธ์ หรือช้าที่สุด คือ เดือนมีนาคม น่าจะมีการอนุมัติให้เริ่มใช้วัคซีนชนิดนี้ในประเทศสหรัฐอเมริกาได้ ถึงแม้ว่าทางบริษัทจะยอมรับว่า คงไม่อาจผลิตวัคซีนในปริมาณมหาศาลได้จนกว่าจะถึงเดือนเมษายนก็ตาม

...

อะไรคือ ความแตกต่างระหว่าง "วัคซีนความหวังใหม่" กับ "วัคซีนที่เริ่มมีการฉีดให้กับผู้คนทั่วโลก" รวมถึง "วัคซีนที่กำลังอยู่ระหว่างการพัฒนา" กันบ้าง?

ประเภทของวัคซีน

วัคซีนของ บริษัท ไฟเซอร์ (Pfizer) และโมเดอร์นา (Moderna) ใช้หลักการ DNA หรือ mRNA วัคซีน คือ การใช้อนุพันธ์ของอาร์เอ็นเอหรือดีเอ็นเอ ที่ให้ผลต่อการแปลโค้ดสร้างโปรตีนในส่วนที่ใช้ป้องกันโรคโควิด-19 แล้วให้เซลล์ของร่างกายมนุษย์สร้างโปรตีนตัวนี้ขึ้นมาเพื่อป้องกันโรค

ในขณะที่ วัคซีนของ บริษัท จอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน จะเป็นการใช้อนุภาคเทียม (Pseudovirus) หรือการใช้ไวรัสไม่ก่อโรค แล้วฝากส่วนหนึ่งของไวรัสที่ก่อโรคเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของตัวไวรัส เพื่อส่งสารพันธุกรรมของ Covid-19 เข้าไปในเซลล์มนุษย์ จนกระทั่งกระตุ้นให้เกิดแอนติบอดีขึ้นมาต่อต้านโรคในที่สุด ซึ่งเป็นแนวทางเดียวกันกับการผลิตวัคซีนโรคอีโบลา ที่ผ่านการอนุมัติโดยองค์การยาแห่งสหภาพยุโรป (European Medicines Agency) หรือ EMA

ประชากรกลุ่มเป้าหมาย

วัคซีนของ บริษัท ไฟเซอร์ ได้รับอนุญาตให้ใช้ได้กับผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 16 ปีเป็นต้นไป ในขณะที่ของ บริษัท โมเดอร์นา ได้รับอนุญาตให้ใช้ได้กับผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไป และล่าสุด ทั้ง 2 บริษัทกำลังทำการทดสอบวัคซีนในกลุ่มอายุ 12-17 ปี ส่วนของ บริษัท จอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน ได้เริ่มทดสอบในกลุ่มอายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไป

ประสิทธิภาพของวัคซีน

วัคซีนของ บริษัท ไฟเซอร์ มีประสิทธิภาพในการป้องกันการติดเชื้อ Covid-19 อยู่ที่ 95% หลังได้รับการฉีดครบ 2 โดส โดยเบื้องต้น ผลลัพธ์ที่ได้หลังการฉีดสามารถป้องกันโรค Covid-19 ได้ดีและครอบคลุมเกือบทุกกลุ่มอายุและชาติพันธุ์

ส่วนวัคซีนของ บริษัท โมเดอร์นา มีประสิทธิภาพในการป้องกันการติดเชื้อ Covid-19 อยู่ที่ 94.1% หลังได้รับการฉีดครบ 2 โดส อย่างไรก็ดี พบว่า ประสิทธิภาพของวัคซีนลดลงเล็กน้อยในกลุ่มผู้มีอายุตั้งแต่ 65 ปีขึ้นไป อย่างไรก็ดี โมเดอร์นาได้ชี้แจงต่อองค์การอาหารและยาของสหรัฐอเมริกา (Food and Drug Administration) หรือ FDA เมื่อเดือนธันวาคมที่ผ่านมาแล้วว่า ในข้อเท็จจริงแล้ว จำนวนผู้สูงอายุที่ได้รับผลกระทบจากวัคซีนชนิดนี้มีจำนวนเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

อย่างไรก็ดี การนำวัคซีนของ บริษัท จอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน มาเปรียบเทียบในเชิงประสิทธิภาพ กับวัคซีนของอีก 2 บริษัทยังถือเป็นเรื่องที่ท้าทาย เนื่องจากมีความแตกต่างกันในการออกแบบเกณฑ์การทดลองทางคลินิกระยะที่ 3 โดยวัคซีนของไฟเซอร์จะเริ่มต้นนับจำนวนเคสตัวอย่าง หลังผู้ติดเชื้อได้รับวัคซีนเข็มที่ 2 ครบ 7 วัน ส่วนของโมเดอร์นาจะรอจนกว่าจะครบกำหนด 14 วัน หลังได้รับเข็มที่ 2

ซึ่งแตกต่างจากกรณีวัคซีนของ บริษัท จอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน จะเน้นไปที่การตรวจสอบว่า ประสิทธิภาพของวัคซีนเพียงเข็มเดียวจะมีประสิทธิภาพในการต่อสู้กับ Covid-19 ในผู้ป่วยระดับปานกลางถึงระดับรุนแรงได้หรือไม่ รวมถึงการติดตามและรวบรวมข้อมูลเรื่องพัฒนาการในเชิงบวกของอาการผู้ป่วยหลังได้รับวัคซีนในห้วงระยะเวลา 14 หรือ 28 วัน หลังได้รับวัคซีนด้วย

ด้วยเหตุนี้ วัคซีนของจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน จึงยังไม่ควรนำไปเปรียบเทียบเรื่องประสิทธิภาพกับวัคซีนของไฟเซอร์หรือโมเดอร์นาได้ และหากยังไม่ลืม วัคซีนของไฟเซอร์และโมเดอร์นามีการทดสอบก่อนหน้าที่จะมีการพบการกลายพันธ์ุของ Covid-19 ในสหราชอาณาจักร แอฟริกาใต้ และบราซิล ด้วย และจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีบทสรุปที่ชัดเจนอีกด้วยว่า วัคซีนของไฟเซอร์และโมเดอร์นาสามารถรับมือกับไวรัสกลายพันธุ์เหล่านั้นได้ดีเพียงใด

...

ปัจจุบัน วัคซีนของจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน กำลังอยู่ระหว่างการทดสอบกับไวรัสกลายพันธุ์ที่พบในประเทศแอฟริกาใต้อยู่ ในขณะที่ ผลการทดสอบประสิทธิภาพของวัคซีนโดยเฉลี่ย ล่าสุด พบว่า สามารถป้องกันการติดเชื้อ Covid-19 ในระดับปานกลางถึงรุนแรงได้ 66% ภายในระยะเวลา 28 วันหลังได้รับวัคซีน แม้ว่าจะพบตัวแปรเรื่องภูมิศาสตร์ เช่น ในประเทศสหรัฐอเมริกาได้ผล 72% ในทวีปอเมริกาใต้ได้ผล 66% และประเทศแอฟริกาใต้ได้ผล 57%

ส่วนสาเหตุที่ทำให้วัคซีนของจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน กำลังได้รับการจับตามองเป็นพิเศษ นั่นก็เป็นเพราะมันแสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพในการต่อสู้กับ Covid-19 ในผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรงได้ถึง 85% โดยไม่มีความแตกต่างกันใน 8 ประเทศ 3 ภูมิภาค ในกลุ่มอาสาสมัครทุกวัย รวมถึงไม่พบผู้เสียชีวิต หรือต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล หลังได้รับวัคซีนในช่วงระหว่าง 28 วัน ในการพัฒนาภูมิคุ้มกันด้วย

อย่างไรก็ดี จนถึงขณะนี้ยังไม่มีการยืนยันผลที่ชัดเจนได้ว่า วัคซีนจากทั้ง 3 บริษัท สามารถป้องกันการแพร่ระบาดในกลุ่มผู้ติดเชื้อแต่ไม่แสดงอาการ หลังได้รับวัคซีนไปแล้วได้หรือไม่

จำนวนวัคซีนและปริมาณวัคซีนต่อครั้ง

วัคซีนของ บริษัท ไฟเซอร์ และโมเดอร์นา ตามกระบวนการต้องฉีด 2 โดส ภายในระยะเวลา 21 วัน และ 28 วัน ตามลำดับ โดยปริมาณต่อโดสของไฟเซอร์อยู่ที่ 30 ไมโครกรัม ในขณะที่ของโมเดอร์นา อยู่ที่ประมาณ 100 ไมโครกรัม หรือปริมาณมากกว่าถึง 3 เท่า ต่อการฉีดหนึ่งครั้งต่อคน เมื่อเปรียบเทียบกับของบริษัทไฟเซอร์

ในขณะที่ วัคซีนของ จอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน เป็นชนิดเดียวในขณะนี้ที่ฉีดเพียงเข็มเดียว อย่างไรก็ดี บริษัทกำลังอยู่ระหว่างการพัฒนาและทดสอบการฉีดแบบ 2 เข็ม ภายในระยะเวลาห่างกัน 8 สัปดาห์ โดยผลการทดสอบในกลุ่มอาสาสมัคร 3,000 คน น่าจะได้ผลสรุปประมาณเดือนพฤษภาคม 2021

...

ผลข้างเคียงหลังได้รับวัคซีน

ณ ปัจจุบัน วัคซีนทุกชนิดพบผลข้างเคียงชั่วคราว หลังการฉีดวัคซีนให้กับคนจำนวนมาก หรือ Reactogenic ทำให้ต้องมีคำแนะนำสำหรับโรงพยาบาลต่างๆ ว่า ไม่ควรฉีดให้กับเจ้าหน้าที่ประจำห้องฉุกเฉินของโรงพยาบาลในเวลาที่ใกล้เคียงกัน เพราะอาจทำให้เกิดผลข้างเคียงจนไม่สามารถไปทำงานในวันถัดไปได้หลังได้รับวัคซีน

โดยผลข้างเคียงที่พบมากที่สุดหลังได้รับวัคซีน คือ อ่อนเพลีย ปวดศีรษะ ปวดกล้ามเนื้อและข้อ ซึ่งโดยมากมักจะพบหลังจากได้รับวัคซีนเข็มที่ 2 ไปแล้ว และมีรายงานด้วยว่า ในกลุ่มผู้มีอายุน้อยหรือมีระบบภูมิคุ้มกันดี มักจะเกิดผลข้างเคียงหลังได้รับวัคซีนมากกว่ากลุ่มผู้สูงอายุ อย่างไรก็ดี จนถึงขณะนี้ ยังไม่มีรายงานพบผลข้างเคียงในระดับร้ายแรงหรือเกิดอาการแพ้ในระยะยาว

อย่างไรก็ดี เบื้องต้นมีรายงานว่า พบผู้เกิดอาการแพ้ขั้นรุนแรงจำนวนหนึ่ง หลังได้รับวัคซีนประเภท mRNA ของไฟเซอร์และโมเดอร์นา แต่ในจำนวนนี้เป็นผู้ป่วยโรคภูมิแพ้และสามารถใช้ยาแก้แพ้รักษาได้ ด้วยเหตุนี้ สำหรับผู้ป่วยโรคภูมิแพ้หรือมีประวัติแพ้ยา หลังการฉีดวัคซีนของไฟเซอร์และโมเดอร์นาไปแล้ว จะต้องรอตรวจสอบอาการเป็นเวลา 15-30 นาที เพื่อความปลอดภัย ส่วนวัคซีนของจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน จนถึงขณะนี้ยังไม่มีรายงานการพบอาการแพ้ขั้นรุนแรงแต่อย่างใด

ปลอดภัยแค่ไหน หากนำไปฉีดให้กับสตรีตั้งครรภ์หรืออยู่ระหว่างการให้นมบุตร

จนถึงปัจจุบันยังไม่มีการทดสอบฉีดวัคซีนให้กับคนกลุ่มนี้แต่อย่างใด

ข้อจำกัดในการจัดเก็บวัคซีน

แม้วัคซีนประเภท mRNA จะมีการจัดส่งและจัดเก็บที่ยุ่งยากอยู่สักหน่อย แต่วัคซีนของโมเดอร์นายุ่งยากน้อยกว่า เนื่องจากสามารถจัดเก็บที่อุณหภูมิ -20 องศาเซลเซียส หรืออุณหภูมิในช่องแข็งตู้เย็นปกติได้ ในขณะที่ของไฟเซอร์ตัดจัดเก็บอยู่ในอุณหภูมิที่ต่ำถึงขนาด -70 องศาเซลเซียส หรือต้องใช้ตู้แช่แข็งชนิดพิเศษ ส่วนวัคซีนของจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน สามารถเก็บไว้ได้อย่างน้อย 3 เดือน ในอุณหภูมิตู้เย็นปกติ (2-8 องศาเซลเซียส) ได้

...

ส่วนการใช้งานนั้น เมื่อนำออกมาจากช่องแช่แข็งมาละลายใส่ขวดวัคซีนแล้ว วัคซีนของไฟเซอร์จะต้องนำไปใช้ภายใน 5 วัน ในขณะที่ของโมเดอร์นาจะคงตัวในอุณหภูมิช่องแข็งตู้เย็นภายในระยะเวลา 30 วัน ส่วนในอุณหภูมิห้องปกติอยู่ที่ประมาณ 12 ชั่วโมง ส่วนจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน ยังไม่ได้มีการระบุอย่างชัดเจนในประเด็นนี้

สำหรับวัคซีนจากบริษัทอื่นๆ

แอสตราเซเนกาและมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด (AstraZeneca and University of Oxford)

บริษัท แอสตราเซเนกา และมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด ระบุในรายงานว่า สามารถผลิตวัคซีนป้องกันโรค Covid-19 ที่มีประสิทธิภาพสูงถึง 90% หลังการทดลองในกลุ่มอาสาสมัครในสหราชอาณาจักรและประเทศบราซิล เมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายน 2020 และไม่พบรายงานผู้ที่ต้องเข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาล หรือกรณีร้ายแรงอื่นใดหลังได้รับวัคซีนชนิดนี้ ส่วนการฉีดจะต้องฉีด 2 เข็ม ภายในระยะเวลา 1 เดือน

อย่างไรก็ดี จากการวิเคราะห์ในภาพรวม ประสิทธิภาพโดยเฉลี่ยของวัคซีนชนิดนี้อยู่ที่ 70% ส่วนการจัดเก็บ สามารถจัดเก็บได้ในอุณหภูมิ 2-7 องศาเซลเซียส เป็นระยะเวลาอย่างน้อย 6 เดือน ภายใต้การดูแลของสถานพยาบาล สำหรับราคาต่อโดสอยู่ที่ 25-37 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อโดส (749-1,108 บาท)

สถาบันวิจัยและพัฒนากามาเลยา ประเทศรัสเซีย (Gamaleya research institute) สปุตนิก วี (Sputnik V)

หลังการอนุญาตให้เริ่มมีการฉีดวัคซีนสปุตนิก วี เพื่อการทดลองระยะที่ 3 ในเดือนสิงหาคม ต่อมา ศูนย์วิจัยด้านระบาดวิทยาและจุลชีววิทยาแห่งชาติของรัสเซีย (Russia’s National Research Center for Epidemiology and Microbiology) อ้างว่า วัคซีนชนิดนี้มีประสิทธิภาพในการป้องกันโรค Covid-19 สูงถึง 92% เมื่อได้รับการฉีดครบ 2 เข็ม เมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน 2020

อย่างไรก็ดี ในการอัปเดตข้อมูลล่าสุดเมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2021 รัสเซียอ้างว่า วัคซีนสปุตนิก วี มีประสิทธิภาพเฉลี่ยอยู่ที่ 91.6% สำหรับไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์เดิม

ส่วนราคาต่อโดสนั้น จากรายงานล่าสุดอยู่ที่ราคาไม่เกิน 10 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อโดส (299 บาท) ภายใต้กำลังการผลิต 1,000 ล้านโดสภายในปี 2021 นี้

ซิโนแวค ไบโอเทค (Sinovac Biotech)

วันที่ 13 มกราคม 2021 บริษัท ซิโนแวค ไบโอเทค ในประเทศจีน รายงานความคืบหน้าล่าสุดเรื่องประสิทธิภาพของวัคซีน Covid-19 ว่า มีประสิทธิภาพเฉลี่ย 50.38% ในการทดลองทางคลินิกสเตรทสุดท้ายในประเทศบราซิล หากแต่สิ่งที่น่าเป็นห่วงสำหรับวัคซีนของซิโนแวค คือ ค่าเฉลี่ยของประสิทธิภาพวัคซีนที่แตกต่างกันมาก เมื่อนำไปทดสอบในหลากหลายภูมิภาค เช่น การทดลองในประเทศอินโดนีเซีย พบว่า มีประสิทธิภาพ 65% ส่วนการทดสอบที่ประเทศตุรกีอยู่ที่ 91.25% เมื่อเดือนธันวาคม 2020

สำหรับราคาต่อโดสของวัคซีนซิโนแวค ไบโอเทค อยู่ที่ 29.75 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อโดส หรือประมาณ 889 บาท (*อัตราแลกเปลี่ยน ณ 14 ก.พ. 64 : 29.88 บาท) โดยจะต้องฉีดทั้งหมด 2 เข็ม (ราคารวม 1,778 บาท)

โนวาแวกซ์ (Novavax)

28 มกราคม 2021 บริษัท โนวาแวกซ์ แถลงว่า จากการทดลองประเมินผลลัพธ์หลัก (Primary endpoint) ของวัคซีนป้องกันโรค Covid-19 เฟสที่ 3 ในพื้นที่สหราชอาณาจักร พบว่า มีประสิทธิภาพอยู่ที่ 89.3% นอกจากนี้ จากข้อมูลการทดลองในแอฟริกาใต้ และหลายๆ การทดลองทางคลินิกในเฟสที่ 1 2 และ 3 หลายๆ ครั้งที่ผ่านมา มันยังแสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพทางคลินิกในการต่อสู้กับไวรัสกลายพันธุ์ในสหราชอาณาจักรและแอฟริกาใต้ ได้เป็นอย่างดีอีกด้วย

สำหรับราคาต่อโดสของวัคซีนโนวาแวกซ์อยู่ที่ 16 ดอลลาร์สหรัฐฯ (478 บาท) เฉพาะในประเทศสหรัฐอเมริกา โดยจะต้องฉีดทั้งหมด 2 เข็ม ส่วนอุณหภูมิในการเก็บรักษาอยู่ที่ 2-8 องศาเซลเซียส

ผู้เขียน: นายฮกหลง
กราฟิก: เทพอมร แสงธรรมาพิทักษ์

ข่าวน่าสนใจ: