การปรากฏตัวของวัคซีนแห่งความหวังในการต่อสู้กับ COVID-19 จาก 2 บริษัท คือ บริษัท ไฟเซอร์ (Pfizer) และบริษัท โมเดอร์นา (Moderna) เริ่มถูกชำเลืองมองด้วยความเป็นกังวลปนสงสัย หลังมีรายงานออกมาว่า มีชาวนอร์วีเจียนจำนวนหนึ่งเสียชีวิตหลังได้รับวัคซีนของบริษัท ไฟเซอร์
โดยองค์การยานอร์เวย์ (Norwegian Medicines Agency) หรือ NoMA ออกมารายงานพบอาการไม่พึงประสงค์จากการใช้ยา (adverse drug reactions) หลังจากได้รับวัคซีน Pfizer BioNTech COVID-19 mRNA หรือ BNT162b2 ของบริษัท ไฟเซอร์ ไม่ว่าจะเป็นอาการไข้ ปวดศีรษะ และเกิดอาการปวดบริเวณที่ได้รับการฉีดวัคซีน หรืออีกจำนวนหนึ่งเกิดอาการแพ้อย่างรุนแรง และยังพบผู้เสียชีวิตถึง 33 ศพ จากทั้งหมด 55,000 คน ที่ได้รับวัคซีนป้องกัน COVID-19 เข็มแรกในประเทศนอร์เวย์ โดยทั้งหมดเป็นผู้ที่มีอายุเกินกว่า 75 ปี และมีปัญหาด้านสุขภาพ (รายงาน NoMA ณ วันที่ 19 มกราคม 2021)
ส่งผลให้แพทย์ของนอร์เวย์ได้รับคำแนะนำให้มีเพิ่มความรอบคอบในการประเมินอาการของผู้ป่วยในแต่ละระดับ เพื่อพิจารณาความเป็นไปได้ที่ผู้ป่วยอาจจะได้รับอันตรายจากผลข้างเคียงต่างๆ หลังได้รับวัคซีน โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ป่วยอาการวิกฤติ
"สำหรับผู้ป่วยสูงอายุที่อยู่ในภาวะเปราะบางขั้นรุนแรง แม้ผลข้างเคียงจากวัคซีนจะไม่ร้ายแรงมากนัก แต่ก็อาจส่งผลลัพธ์ในขั้นเลวร้ายได้ ในขณะที่กลุ่มผู้ป่วยอาการหนักและแทบไม่เหลือความหวังแล้ว การใช้วัคซีนก็แทบไม่เห็นผลลัพธ์ในเชิงบวกเช่นกัน" สำนักงานด้านการสาธารณสุขนอร์เวย์สรุป
ขณะที่ คามิลลา สโทเทนเบิร์ก (Camilla Stoltenberg) หัวหน้าสำนักงานด้านการสาธารณสุขนอร์เวย์ ยังได้กล่าวเพิ่มเติมว่า...
...
"สิ่งสำคัญที่ต้องไม่ลืม คือในทุกๆ วันจะมีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 45 ศพตามบ้านพักคนชราทั่วประเทศนอร์เวย์ ดังนั้นตัวเลขการเสียชีวิตที่เกิดขึ้น จึงยังไม่สามารถสรุปได้ว่าเป็นตัวเลขการเสียชีวิตที่มากเกินไป หรือมีความเชื่อมโยงกับประเด็นการฉีดวัคซีน"
ทั้งนี้ นอร์เวย์ใช้วัคซีนป้องกัน COVID-19 ที่ถูกพัฒนาจาก 2 บริษัท คือ บริษัท ไฟเซอร์ และบริษัท โมเดอร์นา เท่านั้น ในขณะที่หลายบริษัทยากำลังทำงานร่วมกับรัฐบาลในกลุ่มประเทศนอร์ดิก (สวีเดน เดนมาร์ก นอร์เวย์ ฟินแลนด์ และไอซ์แลนด์) เพื่อตรวจสอบหาสาเหตุการเสียชีวิตที่เกิดขึ้น และจะมีรายงานความปลอดภัยเกี่ยวกับการใช้วัคซีนของบริษัท ไฟเซอร์ ฉบับแรก ออกเผยแพร่ในช่วงสิ้นเดือนมกราคมนี้
ส่วนในประเทศสหรัฐอเมริกา ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคติดต่อของสหรัฐฯ (Centers for Disease Control and Prevention) หรือ CDC รายงานเช่นกันว่า การฉีดวัคซีนที่ถูกพัฒนาโดยบริษัท ไฟเซอร์ รวม 1.9 ล้านโดส ในประเทศสหรัฐอเมริกา ระหว่างวันที่ 14-23 ธันวาคม 2020 พบผู้มีอาการแพ้หลังได้รับวัคซีนจำนวนหนึ่ง โดยในจำนวนนี้มีอาการแพ้ขั้นรุนแรง 21 คน หรือเท่ากับจะพบกรณีดังกล่าวเพียง 11.1 รายต่อการฉีด 1 ล้านโดส
นอกจากนี้ องค์การอนามัยโลก หรือ WHO ได้ออกมายืนยันแล้วว่า ยังไม่พบหลักฐานที่สามารถเชื่อมโยงได้ว่า จำนวนผู้เสียชีวิตในประเทศนอร์เวย์ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุและมีโรคประจำตัวนั้น มีความเกี่ยวข้องกับการให้วัคซีนดังกล่าว (แถลงการณ์ ณ วันที่ 22 มกราคม 2021)
ทั้งนี้ วัคซีนที่ถูกพัฒนาจากทั้งบริษัท ไฟเซอร์ และบริษัท โมเดอร์นา ผ่านการรับรองจากหลายประเทศในยุโรป หลังมีการทดสอบฉีดให้กับอาสาสมัครหลายพันคน และในจำนวนนี้มีผู้ที่มีอายุระหว่าง 80-90 ปีรวมอยู่ด้วย ในขณะที่ค่าเฉลี่ยอายุของอาสาสมัครกลุ่มแรกๆ นี้ อยู่ที่ประมาณ 50 ปี และที่ผ่านมา หลังได้รับมอบวัคซีน กลุ่มผู้สูงอายุที่อยู่ตามบ้านพักคนชรา คือ กลุ่มคนแรกๆ ที่หลายประเทศเร่งฉีดวัคซีน เนื่องจากถือเป็นกลุ่มเสี่ยงที่สุดจากการระบาดของโรค COVID-19
1. อะไรคือข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นหลังเกิดการเสียชีวิต?
รายงานอย่างเป็นทางการเปิดเผยว่า มีผู้เสียชีวิต 33 ศพ จากจำนวน 42,000 คน ในประเทศนอร์เวย์ หลังได้รับวัคซีนของบริษัท ไฟเซอร์ เมื่อช่วงกลางเดือนมกราคม โดยผู้เสียชีวิตทั้งหมดมีอายุเกิน 75 ปี และเป็นผู้ป่วยอาการวิกฤติที่คาดว่าน่าจะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้อีกไม่นาน
...
โดยหลังจากการตรวจสอบ องค์การอนามัยโลก หรือ WHO ได้ออกมาระบุว่า กรณีการเสียชีวิตที่เกิดขึ้นทั้งหมดสอดคล้องกับอัตราการเสียชีวิตจากทุกสาเหตุในกลุ่มประชากรผู้สูงอายุ
2. เกิดกรณีการเสียชีวิตหลังได้รับวัคซีนในประเทศอื่นๆ บ้างหรือไม่?
ในประเทศเยอรมนี ผู้ได้รับวัคซีนของบริษัท ไฟเซอร์ ครบจำนวน 2 เข็ม มีจำนวนมากกว่า 800,000 คน โดยสถาบันเพาล์ แอร์ลิช (Paul Ehrlich Institute) หรือ PEI ซึ่งเป็นสถาบันควบคุมการพัฒนาวัคซีนของเยอรมนี ได้ออกมาระบุหลังการตรวจสอบการเสียชีวิตของผู้สูงอายุอย่างน้อย 7 ราย หลังได้รับวัคซีนเพียงไม่นานว่า น่าจะมีสาเหตุจากโรคประจำตัว ไม่ว่าจะเป็น โรคมะเร็ง โรคไต หรือโรคอัลไซเมอร์ ซึ่งไม่ได้เกี่ยวข้องกับการได้รับวัคซีนแต่อย่างใด
3. ความเสี่ยงของวัคซีนในกลุ่มผู้สูงอายุ และผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัว
จนถึงขณะนี้มีรายงานว่า อาจพบ "อาการแพ้" แต่ไม่เป็นอันตรายในกลุ่มผู้ป่วยที่ยังอายุน้อย หรืออาจส่งผลให้โรคประจำตัวเกิดอาการกำเริบขึ้นในกลุ่มผู้สูงอายุอยู่บ้าง นอกจากนี้ สไทนา แมดเซน (Steinar Madsen) ผู้อำนวยการ Norwegian Agency Medical ได้เปิดเผยผ่านวารสารทางการแพทย์ของนอร์เวย์ว่า มีการจำกัดจำนวนผู้มีอายุเกินกว่า 85 ปีที่ได้รับการฉีดวัคซีนของบริษัท ไฟเซอร์ นอกจากนี้ผู้ที่จะได้รับการฉีดวัคซีนครบ 2 เข็ม ตามกระบวนการในทวีปยุโรปนั้น จะมีค่าเฉลี่ยอายุอยู่ที่ประมาณ 50 ปีด้วย
4. อะไรคือสาเหตุของอาการแพ้อย่างรุนแรงจนถึงขั้นอาจเสียชีวิต
ปกติระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายของมนุษย์จะสร้างโปรตีนชนิดหนึ่ง ที่มีชื่อเรียกว่า แอนติบอดี (Antibody) ออกมากำจัด "สิ่งแปลกปลอม" จากภายนอก ซึ่งแน่นอนว่าความพยายามต่อสู้กับสิ่งแปลกปลอมที่ว่านั้น ในบางครั้งอาจทำให้ร่างกายได้รับผลกระทบอยู่บ้าง และในบางกรณีอาจถึงขั้นเกิดอาการบวม หรือเกิดการอักเสบของเนื้อเยื่อ จนกระทั่งทำให้เกิดอาการแพ้ขั้นรุนแรงชนิดเฉียบพลัน หรือที่เรียกว่า แอแนฟิแล็กซิส (Anaphylaxis) ซึ่งเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ โดยในประเทศสหรัฐอเมริกาพบว่า ผู้ที่อยู่ในข่ายนี้มีจำนวนถึง 5% ของจำนวนประชากร
...
อย่างไรก็ดี แม้ต้นเหตุที่ทำให้เกิดอาการ "แอแนฟิแล็กซิส" จะเกิดขึ้นได้จากหลายปัจจัย แม้กระทั่งการแพ้แมลงหรือเกสรดอกไม้ แต่ที่พบบ่อยมากที่สุดและเป็นอันตรายถึงชีวิตในประเทศสหรัฐอเมริกาและสหราชอาณาจักร คือ "อาการแพ้ยา" นั่นเอง
5. วัคซีน COVID-19 ทำให้เกิดอาการแพ้ขั้นรุนแรงจนถึงชีวิตบ่อยครั้งแค่ไหน?
ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคติดต่อแห่งชาติสหรัฐฯ หรือ CDC รายงานเมื่อวันที่ 19 มกราคม ว่า พบผู้ได้รับวัคซีนของบริษัท โมเดอร์นา เกิดอาการแอแนฟิแล็กซิสจำนวน 15 ราย และอีก 45 ราย เกิดอาการแพ้ขั้นรุนแรงชนิดเฉียบพลัน หลังได้รับวัคซีนของบริษัท ไฟเซอร์
ด้วยตัวเลขนี้ หากนำมาคิดเป็นค่าเฉลี่ยจะเท่ากับทุกๆ 1 ล้านโดสของวัคซีนโมเดอร์นา จะพบผู้มีอาการแพ้ขั้นรุนแรง 2.1 ราย ในขณะที่ค่าเฉลี่ยของวัคซีนไฟเซอร์จะอยู่ที่ 6.2 ราย ต่อ 1 ล้านโดส ตามลำดับ ซึ่งเบื้องต้นถือว่าอยู่ในอัตราที่ต่ำพอสมควร
ในขณะที่การฉีดวัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่จะอยู่ที่ 1.3 ราย ต่อ 1 ล้านโดส และค่าเฉลี่ยของวัคซีนป้องกันโรคอื่นๆ จะอยู่ที่ประมาณ 12-15 ราย ต่อ 1 ล้านโดส
...
6. ระยะเวลานานแค่ไหนหลังได้รับวัคซีน จึงจะทำให้รู้ได้ว่าเกิดอาการแพ้ขั้นรุนแรง?
ไมเคิล คินซ์ (Michael Kinch) ผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนายา และรองอธิการบดีมหาวิทยาลัยวอชิงตัน ระบุว่า อาการแอแนฟิแล็กซิสมักเกิดขึ้นภายในระยะเวลาเพียงไม่กี่นาที หรือมากที่สุดไม่เกิน 1 ชั่วโมงหลังร่างกายได้รับสารบางชนิด ในขณะที่รายงานของ CDC ระบุว่า ค่าเฉลี่ยมาตรฐานอยู่ที่ประมาณ 13 นาที
7. หากเกิดอาการแพ้ขั้นรุนแรงหลังได้รับวัคซีนควรทำอย่างไร?
ในสหรัฐอเมริกาและสหราชอาณาจักรให้คำแนะนำแก่ประชาชนว่า หากมีอาการแพ้สารประกอบใดๆ ในวัคซีนป้องกันโรค COVID-19 ก็ไม่ควรมาเข้ารับการฉีดวัคซีนดังกล่าว อย่างไรก็ดี อาการแอแนฟิแล็กซิสสามารถรักษาได้โดยการให้ยาแก้แพ้แอนตีฮิสตามีน (Antihistamines) ควบคู่ไปกับการฉีดอะดรีนาลีน (Adrenaline)
โดยปัจจุบัน ทั้งในสหรัฐอเมริกาและสหราชอาณาจักร เจ้าหน้าที่ด้านสาธารณสุขจะมีการเฝ้าสังเกตอาการของผู้ได้รับวัคซีนจากทั้ง 2 บริษัท เป็นเวลาอย่างน้อย 15 นาทีหลังการฉีด เพื่อความปลอดภัย ในขณะที่ผู้ที่มีประวัติเป็นโรคภูมิแพ้จะต้องถูกเฝ้าดูอาการนานเป็น 2 เท่า (อย่างน้อย 30 นาที) หลังการฉีดวัคซีน นอกจากนี้ผู้ที่มีอาการแพ้หลังการฉีดวัคซีนเข็มแรกจะได้รับคำแนะนำว่า ไม่ควรฉีดเข็มที่ 2 เพื่อให้ครบตามกระบวนการอีกด้วย
สำหรับความคืบหน้าการฉีดวัคซีนของชาวโลก เพื่อต่อสู้กับ COVID-19 คืบหน้าไปมากน้อยเพียงใดแล้ว เชิญเหวี่ยงสายตาลงไปสำรวจได้ในบรรทัดด้านใต้นี้...
ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ รายงาน
กราฟิก : เทพอมร แสงธรรมาพิทักษ์
ข่าวน่าสนใจ:
- ปรัชญา "สวีเดน" โควิดเสรี ไม่ล็อกดาวน์ เศรษฐกิจนำ สุดท้ายพัง!
- เมื่อวัคซีน Covid-19 ต้องใช้ 3 อดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ การันตี
- "ไบเดน" เล่นใหญ่ เบื้องหลังเซ็น 17 คำสั่ง หักหน้า "ทรัมป์" ล้างมโนคติฝังหัว
- แกะรอยอวสาน "ผ่าพิภพไททัน" จุดพีคดำมืด หรือ "เอเรน" คือบทสรุป
- รอยร้าว GOT7-JYP สัญญา 7 ปี กับกฎหมายที่เปิดช่องตีจาก