ปี 2563 เกิดภาพความสูญเสีย ความเจ็บปวด หายนะทางเศรษฐกิจ ความยุ่งเหยิงทางการเมือง และการแพร่ระบาดครั้งใหญ่ของโควิด-19 (Covid-19) ในแบบที่ไม่มีใครเคยคาดคิดมาก่อน จนทำให้หลายๆ สิ่งที่เราคิดว่าคงอีกนานถึงจะเป็นไปได้ กลับเป็นไปได้ แถมเกิดเร็วขึ้นอีกต่างหาก... และนั่นคือ สิ่งที่เราควรตั้งตารอคอยในปี 2564
ส่วนจะมีอะไรบ้างนั้น The Answer จะสรุปคำตอบสั้นๆ (ให้ฟัง) ไล่เรียงกันทีละข้อ
1. การฉีดวัคซีน ที่ไม่ใช่แค่การฉีดวัคซีน
ปี 2563 ที่ผ่านมา เกิดการพัฒนา "วัคซีน" ป้องกันโควิด-19 จนนำไปสู่การทดสอบและการผลิตจำนวนมากในระยะเวลาเพียงไม่ถึงปี นับได้ว่าเป็นประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของวงการการศึกษาทางวิทยาศาสตร์ด้านวัคซีนเลยก็ว่าได้ หากเทียบกับการพัฒนาวัคซีนที่ผ่านๆ มาก็เรียกได้ว่า "ความเร็วเทียบไม่ติด!!"
ที่สำคัญ... การพัฒนาไม่ได้มีเพียงรายเดียว แต่มีทั้งการร่วมมือของไฟเซอร์ (Pfizer) กับไบออนเทค (BioNTech), โมเดอร์นา (Moderna), การร่วมมือของแอสตราเซนิกา (AstraZeneca) กับมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด (Oxford) และซิโนฟาร์ม (Sinopharm) ของจีน
โดยจนถึงตอนนี้ มีประชากรโลกได้รับการฉีดวัคซีนเบื้องต้นไปแล้วนับล้านคน
ยิ่งกว่านั้น...รู้ไหมว่า วัคซีนโควิด-19 นี้ กำลังจะนำไปสู่ความสำเร็จครั้งยิ่งใหญ่ที่เราไม่ควรพลาดแม้สักวินาที!!
นั่นคือ "วัคซีนมะเร็ง"
ซึ่งความสำเร็จของ Pfizer และ Moderna ในการใช้ mRNA เปลี่ยนเซลล์ของร่างกาย ถือเป็นความหวังในการพัฒนารักษาโรคอื่นๆ ในอนาคต เช่น มะเร็งและหัวใจ และบางทีอาจเป็นความท้าทายอันยิ่งใหญ่ เช่น เอชไอวี (HIV) ที่นักวิจัยวัคซีนต่อสู้มานานกว่า 4 ทศวรรษ
...
ถึงแม้ว่า mRNA และวัคซีนอื่นๆ ทั้งหมดยังคงอยู่ในระยะแรกของการทดลองในมนุษย์ แต่ก็เป็นความสำเร็จครั้งล่าสุดที่เป็นลางดีๆ สำหรับวัคซีนโรคติดเชื้ออื่นๆ ในอนาคต แน่นอนว่า การรักษา "เนื้องอก" ก็มีความหวัง เพราะตลอดที่ผ่านมานั้นมีอุปสรรคมากมายที่ทำให้การสร้างระบบภูมิคุ้มกันเป็นไปได้ยาก
และด้วยความสำเร็จของวัคซีนไวรัสโคโรนา มีความเป็นไปได้ว่า อาจมีการผลักดันให้ก้าวไปสู่การทดลองกับผู้ป่วยมะเร็งในอนาคต โดยหนึ่งในวัคซีนมะเร็งของ BioNTech พบว่ามีการตอบสนองที่น่าสนใจ และในบางกรณีพบเนื้องอกลดลง ส่วนการเข้าถึง mRNA ของผู้ป่วย HIV ที่ดำเนินการร่วมกับมูลนิธิบิลและเมลินดาเกตส์ (Bill and Melinda Gates Foundation) พบว่า ไวรัสสามารถซ่อนตัวภายในเซลล์ได้ และยังไม่เริ่มโครงการทดลองมนุษย์
อย่างไรก็ตาม หากประสบความสำเร็จ เชื่อว่านี่จะเป็นข่าวดีครั้งใหญ่ของโลกเลยก็ว่าได้
2. Work From Home (WFH)
แม้การทดลอง "ทำงานจากบ้าน" (WFH) จะได้ผลลัพธ์อย่างยอดเยี่ยม แต่ก็ไม่ได้ราบรื่นเสียทีเดียว เพราะบางคนอาจต้องรับผิดชอบการดูแลเด็กๆ ไปพร้อมๆ กับการทำงานยาวนานหลายชั่วโมง แถมยังมีปัญหาในการเข้าถึงเทคโนโลยีหรืออินเทอร์เน็ตความเร็วสูง (hi-speed) ที่ไม่เท่าเทียมกัน รวมถึงความตึงเครียดของสภาวะจิตใจ
ถึงอย่างนั้นก็มีประชากรโลกกว่าร้อยล้านคนที่สามารถทำงานให้สำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยการทำงานรูปแบบ รีโมต ช่วยให้ธนาคาร, โรงเรียน, หน่วยงานรัฐบาล, ธุรกิจต่างๆ และหน่วยงานการแพทย์ยังดำเนินงานอยู่ได้
และนั่นนำไปสู่การปรับกลยุทธ์การทำงานใหม่ให้เข้ากับสถานการณ์ เช่น โควิด-19 เริ่มตั้งแต่การปรับชั่วโมงการทำงาน, การแบ่งเวลาระหว่างบ้านและออฟฟิศในแต่ละสัปดาห์ จนอาจกลายเป็น New Normal ในอนาคต โดยจากข้อมูลการสำรวจของ Gallup พบว่า ในเดือนเมษายน ชาวอเมริกันทำงาน WFH ต้องรับผิดชอบหน้าที่เพิ่มเป็น 2 เท่าต่อสัปดาห์ กว่า 62%
โดยภาพที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน คาดว่าการทำงานแบบ WFH จะมีอยู่ต่อไป...แม้โควิด-19 สิ้นสุดแล้วก็ตาม
จากการสำรวจของ National Bureau of Economic Research ที่เผยแพร่เมื่อเดือนเมษายน ปี 2563 พบว่า กว่า 40% ของตำแหน่งงานในสหรัฐอเมริกา สามารถทำงานจากบ้านได้อย่างสมบูรณ์ โดยการสำรวจประเภทงานของอุตสาหกรรมต่างๆ ที่สามารถทำงานจากบ้านได้อย่างสมบูรณ์ พบว่า บริการด้านการศึกษามีสัดส่วนมากที่สุด 83% รองลงมา ผู้เชี่ยวชาญ นักวิทยาศาสตร์ ผู้ให้บริการด้านเทคนิค 80% ตามมาด้วย การจัดการ 79%, การเงิน-ประกันภัย 76% และข้อมูล 72%
ซึ่งนั่นกลับพบข้อมูลที่น่าสนใจว่า การทำงานแบบ WFH เหมาะกับแค่กลุ่มคนบ้านรวยเท่านั้น ด้วยการเข้าถึงอุปกรณ์ต่างๆ ที่ไม่ได้หาได้ทันทีและพร้อมใช้งานได้ทุกคน หากเทียบดูกับประเทศต่างๆ แล้วพบว่า ไทยยังเกาะกลุ่มอยู่กับหลายๆ ประเทศ คือ สัดส่วนการทำงานสำเร็จจากบ้านต่ำกว่า 25% ขณะเดียวกันก็พบว่า WFH ไม่ได้เป็นตัวเลือกที่เหมาะสมสักเท่าไรสำหรับแรงงานมืออาชีพบางกลุ่ม เช่น ก่อสร้างและเกษตรกรรม รวมถึงงานบริการที่มีค่าแรงต่ำ เช่น ร้านอาหารและค้าปลีก
อย่างไรก็ตาม ก็มีความกังวลในบรรดาผู้บริหารว่า การทำงานรูปแบบ WFH อาจทำให้สูญเสียความเป็นมิตร การทำงานร่วมกัน และความคิดสร้างสรรค์ในเวลาที่มีการแข่งขันแบบ Face to Face ซึ่งมีความเป็นไปได้ว่าอาจประนีประนอมให้แบ่งการทำงานออกเป็นสัปดาห์อยู่บ้านและสัปดาห์อยู่ออฟฟิศ
...
การทำงาน WFH ของทุกคนเป็นอย่างไรกันบ้าง?
ดีหรือแย่...แชร์เล่าประสบการณ์กันได้...
3. ชัยชนะของ LGBTQ
ตลอดปี 2563 เรียกได้ว่ามีการเรียกร้องสิทธิต่างๆ มากมาย หนึ่งในนั้นคือ "ความเท่าเทียมทางเพศ" ที่เรียกได้ว่ามีทั้งสมหวังและผิดหวัง เช่น คอสตาริกา ที่เดือนพฤษภาคม 2563 ได้มีมติให้การแต่งงานของบุคคลเพศเดียวกันถูกต้องตามกฎหมาย นับเป็นประเทศที่ 28 ของโลก ก่อนที่ 2 เดือนต่อมา มอนเตเนโกรจะกลายเป็นประเทศแรกในแหลมบอลข่าน ที่มีการอนุมัติให้พลเมืองเพศเดียวกันสมรสกันได้
ขณะที่ สหรัฐอเมริกา ประเทศแห่งเสรีภาพก็ตามมาติดๆ ในเดือนมิถุนายน เมื่อศาลสูงสนับสนุนกฎหมายคุ้มครองแรงงานเกย์และแรงงานข้ามเพศ (Trangender) จากการเลือกปฏิบัติในการทำงาน ทว่าก็ยกเว้นธุรกิจขนาดเล็ก แต่อีกก้าวความสำเร็จในแวดวงการเมืองสหรัฐฯ คือ การที่บุคคลข้ามเพศได้รับเลือกเป็นวุฒิสมาชิกแห่งรัฐเป็นรายแรกของประเทศ คนๆ นั้นชื่อ ซาราห์ แมคไบร์ด (Sarah McBride)
เช่นกันในเซอร์เบียร์ นายกรัฐมนตรีหญิงรายแรก อานา เบอร์นาบิซ (Ana Benabic) ที่มีการเปิดเผยอย่างชัดเจนว่ารักเพศเดียวกัน ก็สามารถคว้าชัยเป็นสมัยที่ 2 กับคะแนนเสียงท่วมท้น
...
ฉะนั้น ปี 2564 นี้ก็อาจจะได้เห็นก้าวใหม่ของ "ความเท่าเทียมทางเพศ" ในอีกหลายๆ ประเทศ
4. การก้าวสู่ Green
โควิด-19 กลายเป็นตัวเร่งให้เกิดการเปลี่ยนแปลง "เทรนด์พลังงาน" เห็นภาพได้ชัดเจนหลังจากมีการชัตดาวน์ในหลายๆ พื้นที่ทั่วโลก รถยนต์ไม่ได้ถูกนำมาใช้ประโยชน์และทุกคนต้องเก็บตัวอยู่กับบ้าน ทำให้ความต้องการลดลงอย่างรวดเร็ว นำไปสู่การเรียกร้องให้ "ยุติยุคแห่งน้ำมัน" ในอนาคต
โดยการชัตดาวน์ที่เกิดขึ้นมีแนวโน้มว่าอาจไปกระตุ้นผู้ให้บริการไฟฟ้ามีการปรับเปลี่ยนไปสู่ยุคของ "พลังงานที่ไม่มีวันหมด" เช่น ลมและแสงอาทิตย์
ไม่เพียงเท่านั้น ด้านสิ่งแวดล้อมก็เห็นได้ชัดว่า ปี 2564 อาจมีการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมมากทีเดียว เช่นประเทศที่มีมลพิษสูงที่สุดในโลกอย่างจีน ที่มีการให้คำมั่นว่าจะลดการปล่อยคาร์บอนลงและต้องเป็นศูนย์ภายในปี 2603
แน่นอนว่า นั่นเป็นสัญญาณกระตุ้นให้ประเทศอื่นๆ อาทิ ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ ในการตั้งเป้ายุติโครงการสำรวจน้ำมันในอาร์กติกเซอร์เคิลโดยไว
สำหรับประเทศไทยเองนั้น ปี 2564 ก็ต้องลุ้นกันอีกปีว่า รถยนต์ไฟฟ้าจะเกิดได้มากน้อยแค่ไหน...
...
จาก 4 สิ่งที่ควรตั้งตารอคอยในปี 2564 ที่ The Answer สรุปมาคร่าวๆ นั้น เห็นได้ว่าเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในปี 2563 มาแล้วทั้งสิ้น แต่การเกิดขึ้นนั้นยังไม่ได้ถึงบทสรุป หรือถึงจุดสิ้นสุดแต่อย่างใด... แต่เป็นเพียงการเริ่มต้นในการก้าวสู่ยุคใหม่ ไม่ว่าจะเป็น วิทยาศาสตร์ การแพทย์ การใช้ชีวิต หรือแม้แต่สังคม
ปี 2564 ย่อมมีหลายๆ สิ่งให้เราได้ติดตามอีกมาก...ส่วนจะดีหรือร้ายก็ต้องรอชม สำหรับโควิด-19 ในประเทศไทยเวลานี้...ก็ขอให้ทุกท่านระมัดระวังตัวเอง เพราะมีแววว่า เราอาจต้องเริ่มต้นปีกับการ STAY AT HOME!! กันอีกครั้ง.
ข่าวน่าสนใจ: