จับตา 10 อุตสาหกรรมส่งออกไทย สะเทือนหนัก หลัง "โดนัลด์ ทรัมป์" ตั้งกำแพงภาษีสินค้านำเข้าไทย 36% ส่อกระทบยาว หากรัฐไม่มีการเจรจา

10 อุตสาหกรรมไทย ส่อกระทบหนัก อเมริกาตั้งกำแพงภาษี 36%

การประกาศตั้งกำแพงภาษีของสหรัฐอเมริกา หลังประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ กางแผนแนวทางการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากทั่วโลก ส่งผลให้เกิดแรงสั่นสะเทือนมาถึงสินค้าส่งออกของไทยที่มีหลายชนิดส่งไปยังสหรัฐเป็นฐานลูกค้าหลัก ซึ่งไทยจะถูกกำแพงภาษี 36% แต่ถ้าวิเคราะห์ถึง 10 อุตสาหกรรมการผลิตของไทยที่จะได้รับผลกระทบ หลังมีการประกาศเรียกเก็บภาษี และต้องการให้นักลงทุนหันกลับมาตั้งฐานผลิตในสหรัฐอุตสาหกรรมของไทยที่อาจได้รับผลกระทบ 

10 อุตสาหกรรมไทย ส่อกระทบหนัก อเมริกาตั้งกำแพงภาษี 36%

...

โดยข้อมูลจากกระทรวงพาณิชย์ สรุปไว้ถึงช่วงปี 2566-2567 มีสินค้าไทยส่งออกไปสูงสุดดังนี้

10 อุตสาหกรรมไทย ส่อกระทบหนัก อเมริกาตั้งกำแพงภาษี 36%

1. เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ
2. อุปกรณ์และส่วนประกอบยานยนต์
3. ผลิตภัณฑ์ยาง
4. เครื่องจักรกลและส่วนประกอบของเครื่องจักรกล
5. อัญมณีและเครื่องประดับ
6. เครื่องใช้ไฟฟ้าและส่วนประกอบอื่นๆ
7. อาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป
8. ไก่แปรรูป
9. แผงวงจรไฟฟ้า
10. เหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์

10 อุตสาหกรรมไทย ส่อกระทบหนัก อเมริกาตั้งกำแพงภาษี 36%

ยังต้องจับตาว่า รัฐบาลไทยจะดำเนินแผนเจรจาอย่างไร ขณะเดียวกันภาคเอกชนเองก็อาจจะต้องมีแผนสำรอง เพราะหากมีการปล่อยให้ถูกตั้งกำแพงภาษี ในระยะยาวจะส่งผลกระทบต่อการส่งออกไทย และอาจทำให้เกิดการย้ายฐานการผลิตได้

ทางออกไทยผจญกำแพงภาษีอเมริกา

ดร. กิริฎา เภาพิจิตร ผอ.วิจัย Economic Intelligence Service (EIS) สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) กล่าวถึงผลกระทบจากการประกาศขึ้นภาษีสินค้านำเข้าสหรัฐฯ กับประเทศคู่ค้าหลายประเทศ โดยไทยถูกเพิ่มอัตราภาษีที่ 36% ว่า ผลกระทบดังกล่าวเกิดขึ้นทั้งโลก เพราะทุกประเทศที่ส่งออกไปยังสหรัฐฯ จะถูกคิดภาษีนำเข้าเพิ่มขึ้น 10% ในวันที่ 5 เมษายนนี้

ส่วนประเทศไทยเป็น 1 ใน 60 กว่าประเทศที่ถูกเพิ่มภาษีในอัตราสูงกว่านั้น โดยในเอกสารทางการของสหรัฐ ระบุไว้ที่ 37% ซึ่งอัตราดังกล่าวจะเริ่มในวันที่ 9 เมษายนนี้ อย่างไรก็ตามมีบางประเทศในอาเซียนที่ถูกเก็บภาษีในอัตรามากกว่าไทย เช่น เวียดนาม กัมพูชา ลาว เมียนมา ส่วนจีนที่ถูกภาษีเพิ่มอีก 34% จากเดิมที่อัตราได้ปรับขึ้น 20% อยู่แล้ว ทำให้จีนถูกเก็บภาษีนำเข้าที่ 54%

ตัวอย่างสินค้าส่งออกของไทยที่จะได้รับผลกระทบหลัก ๆ เนื่องจากเป็นสินค้าที่มีมูลค่าการส่งออกไปยังสหรัฐฯ สูงอยู่ใน 20 อันดับแรก ซึ่งคิดเป็น 64% ของการส่งออกไปสหรัฐฯ อย่างเช่น หม้อแปลงไฟฟ้า เครื่องประดับ เครื่องปรับอากาศ รวมทั้งส่วนประกอบและชิ้นส่วนยานยนต์ ที่ไทยมีเม็กซิโกเป็นคู่แข่งสำคัญในตลาดสหรัฐฯ

ซึ่งการขึ้นภาษีครั้งนี้ จะทำให้ไทยต้องจ่ายภาษีนำเข้าที่ 38.5% (รวมกับอัตราเดิมจ่าย 1.5%) ในขณะที่เม็กซิโก จ่ายภาษี 25% เท่านั้น นอกจากนี้การขึ้นภาษีดังกล่าว ยังทำให้เศรษฐกิจโลกชะลอ รวมทั้งคู่ค้าอื่นของไทยด้วย ดังนั้นคาดว่าปีนี้ส่งออกของไทยจะโตอยู่ที่ 1-2% ขณะที่ปีที่ผ่านมาโตที่ 5.4%

...


สิ่งสำคัญที่ต้องพิจารณาคือการประเมินคู่แข่งของไทยที่ผลิตสินค้าส่งออกไปสหรัฐฯ ว่าถูกขึ้นภาษีมากกว่าหรือน้อยกว่าไทย เพราะนั่นหมายถึงโอกาสในการแข่งขันบนสนามที่มีกติกาใหม่ ซึ่งไทยอาจสามารถส่งสินค้าไปทดแทนสินค้าของประเทศอื่น ๆ ที่ถูกตั้งกำแพงภาษีสูงกว่าไทยได้ เพราะปีแรกของการขึ้นภาษีสหรัฐฯ คงไม่สามารถผลิตสินค้าในประเทศมาทดแทนสินค้าได้ทัน


“เราก็อาจจะมีโอกาสเพิ่มการส่งออกไปสหรัฐฯ ในสินค้าที่คู่แข่งของไทยถูกขึ้นภาษีมากกว่าเรา เช่น จีน 54% เวียดนาม 46% แต่ไทย 36% ดังนั้นเราอาจสามารถแข่งขันในเรื่องราคาได้ เช่น ชิ้นส่วนโทรศัพท์มือถือ เครื่องคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ และอุปกรณ์เซมิคอนดักเตอร์ นี่คือโอกาสของไทยในครั้งนี้ ซึ่งเราเห็นได้จากสมัยทรัมป์ 1 ที่หลังจากที่จีนถูกตั้งกำแพงภาษี สหรัฐฯ ก็หันไปซื้อสินค้าจากประเทศอื่นเพิ่มขึ้น เช่น ไทย เวียดนาม และไต้หวัน แทนสินค้าจากจีนในตอนนั้น”


นอกจากผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับการส่งออกของไทยแล้ว สินค้านำเข้าน่าจะเพิ่มขึ้น เนื่องจากทุกประเทศต้องหาตลาดใหม่ โดยเฉพาะสินค้าจากจีน และสินค้าประเภทเหล็ก


เชื่อว่าสหรัฐฯ ต้องการให้นานาประเทศ รวมทั้งไทยเจรจาเพิ่มเติมเพื่อเอื้อประโยชน์ให้กับสหรัฐฯ มากขึ้นกว่าเดิม แลกกับการขอปรับลดอัตราภาษีนำเข้า เพราะในเอกสารของสหรัฐฯ ระบุว่าทุกอย่างปรับเปลี่ยนได้หากมีการเจรจา โดยประเมินว่ามี 3 แนวทางที่ทางสหรัฐฯ ต้องการจากไทย คือ 1. อาจขอให้ไทยลดภาษีนำเข้าสินค้าสหรัฐฯ โดยสินค้าที่ไทยเรียกเก็บสหรัฐฯ สูงกว่าที่สหรัฐฯ เรียกเก็บจากไทยมาก เช่น ไวน์ เบียร์ เนื้อวัว รถยนต์ รวมถึงสินค้าเกษตรหลายชนิด ซึ่งสินค้าเกษตรมีความสำคัญกับประธานาธิบดีทรัมป์ เนื่องจากเกษตรกรเป็นฐานเสียงหลัก

2. อาจขอให้ไทยเพิ่มโควตานำเข้าสินค้าบางประเภทมากขึ้น เช่น ข้าวโพด และกาแฟ ที่ไทยมีการกำหนดโควต้านำเข้า

...

3. อาจขอให้ไทยลดข้อกำหนดที่เป็นมาตรฐานสุขภาพ เช่นให้ไทยอนุญาตให้นำเข้าเนื้อหมูจากสหรัฐฯ ซึ่งไทยกังวลว่ามีสารเร่งเนื้อแดงเกินมาตรฐาน ไทยควรพิจารณาเจรจาเพื่อเปิดตลาดสินค้าที่มีผลกระทบทางลบต่อเศรษฐกิจไทยน้อยหรือจะส่งผลดีกับผู้บริโภคในไทยในลำดับแรก นอกจากนี้สหรัฐฯ อยากให้ประเทศต่าง ๆ มีการไปลงทุนในสหรัฐฯ มากขึ้นด้วย