"บิ๊กต่าย" กู้ศรัทธาตำรวจ ภารกิจร้อน แต่งตั้งผู้บังคับบัญชาระดับสูง ลดความขัดแย้งวงการสีกากี ส่องโอกาสกลับมาของ "บิ๊กโจ๊ก" อาจเป็นเรื่องหนักอก ผบ.ตร.คนใหม่

"บิ๊กต่าย" พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ก้าวสู่ตำแหน่ง ผบ.ตร.คนที่ 15 หลังนายกฯ "แพทองธาร ชินวัตร" นั่งหัวโต๊ะประชุมคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) เมื่อ 7 ต.ค. ที่ผ่านมา แม้ที่ผ่านมา "บิ๊กต่าย" นั่งรักษาการ ผบ.ตร. ในช่วงที่ "บิ๊กต่อ" ถูกสั่งให้ไปช่วยงานที่สำนักนายกฯ แต่ศึกในกรมตำรวจ เป็นอีกประเด็นที่สังคมจับตา บทบาทผู้นำสีกากีคนใหม่

การก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งสูงสุดของ "บิ๊กต่าย" นอกจากถูกคาดหวังต่อบุคลากรภายในกรมตำรวจแล้ว ในฝั่งการเมือง ก็เป็นอีกปัจจัยที่ต้องทำงานร่วมกัน "พลตำรวจตรีสุพิศาล ภักดีนฤนาถ" อดีตผู้บังคับการกองปราบ มองว่า การที่นายกฯ เลือก "บิ๊กต่าย" เป็น ผบ.ตร. คนใหม่ ถือเป็นสิ่งที่ต้องทำตามกฎหมาย เพราะใน พ.ร.บ. ตำรวจ 2565 มีเงื่อนไขในการกำหนดกฎ ก.ตร. หากไม่ปฏิบัติตาม จะมีความผิด

ภารกิจสำคัญต่อจากนี้ "บิ๊กต่าย" ต้องแต่งตั้ง รอง ผบ.ตร. ไปจนถึงตำแหน่งระดับสารวัตร ซึ่งกฎหมายของการแต่งตั้งใหม่ ต้องคำนึงหลักอาวุโส และต้องมีการเรียงระดับบัญชีรายชื่อแต่งตั้งอย่างเป็นธรรมให้กับข้าราชการตำรวจที่เลื่อนตำแหน่งในวาระประจำปีนี้

...

"การแต่งตั้งผู้บัญชาการ ต้องมีน้ำหนักความอาวุโส 50% เพื่อให้เป็นไปตามกฎของ ก.ตร. ขณะที่ตำแหน่งระดับสารวัตรถึงผู้กำกับต้องมีความอาวุโส 33% ดังนั้น กระบวนการในการกลั่นกรองจัดลำดับต้องมีความแม่นยำ หากบกพร่องจะมีคนร้องเรียน ต่อคณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรมข้าราชการตำรวจ (ก.พ.ค.ตร.) ถ้ามีการกระทำผิดในการแทรกแซงการแต่งตั้งจะต้องติดคุก 5 ปี ถ้าพิสูจน์ได้"

ส่วนเรื่องการเมือง ผบ.ตร. ต้องรับนโยบายจากรัฐบาลได้ โดยประเด็นร้อนตอนนี้คือ การตามจับผู้ต้องหาในคดีตากใบ เพราะวันที่ 25 ต.ค.67 คดีจะหมดอายุความ แต่กลุ่มคนเหล่านี้ได้หลบหนีไปหมดแล้ว ทั้งที่จริงต้องมีการสืบหา หรือติดตามผู้ต้องหาตั้งแต่เนิ่นๆ ไม่ใช่ว่าทำตอนที่สายไปแล้ว ซึ่งควรประสานกับตำรวจในต่างประเทศ ให้ติดตามตัวกลับมา

ที่สำคัญ ต้องกำจัดเงินสีเทา ที่เป็นภาพลบของวงการตำรวจ เช่น พนันออนไลน์ และส่วนต่างๆ ให้หมดจากระบบ ขณะเดียวกันควรปราบปรามบรรดาแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ให้เป็นระบบมากขึ้น หรือนำเงินจากกองทุนต่างๆ มาเยียวยาประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนจากแก๊งคอลเซ็นเตอร์ โดยอาจมีการออกพระราชกฤษฎีกา มาช่วยเหลือประชาชน

ด้านการปราบปรามยาเสพติด เป็นวาระแห่งชาติมายาวนาน ใช้วิธีการปราบปรามแบบเก่าไม่ได้ เพราะการปราบปรามอย่างเดียว ไม่สามารถทำให้ความเดือดร้อนของประชาชนหายไปได้ แต่ต้องทำให้ผู้ติดยาเสพติดตามพื้นที่ต่างๆ ให้ไปอยู่ในพื้นที่รักษาอย่างจริงจัง หากตำรวจบังคับใช้ไม่ได้ ต้องร่วมมือกับหมอหรือทหาร ในการนำไปควบคุมตัวให้เกิดการรักษาจนหายดี

ขณะที่การปรับตัวโครงสร้างองค์กรตำรวจ ต้องไปดูระดับสถานีตำรวจทั้ง 1,400 แห่ง ให้ปรับไปด้วยอาคาพยพจากการแต่งตั้งโยกย้ายที่เป็นธรรมที่สุด และผู้ที่ได้รับการแต่งตั้งในระดับผู้นำสถานีตำรวจ ต้องไม่ข้ามห้วย ขึ้นชั้นเร็ว ไม่มีตั๋วหรือใบสั่งในการให้ไปนั่งในโรงพักระดับเกรดเอ
"บิ๊กต่าย" ควรเรียกร้องจากรัฐบาล ในวงเงินงบประมาณแสนกว่าล้านบาท/ปี แต่ 80% กลับนำไปใช้กับบุคลากรและการดำเนินงาน ซึ่งไม่ได้เป็นงบลงทุนในการสร้างที่พักอาศัยให้กับข้าราชการตำรวจ มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

"บิ๊กโจ๊ก" หวนคืนวงการสีกากี

เมื่อถามถึงการขึ้นสู่ตำแหน่ง ผบ.ตร. ของ "บิ๊กต่าย" จะยิ่งเป็นการปิดโอกาสที่ "บิ๊กโจ๊ก" หวนคืนวงการตำรวจหรือไม่? "พลตำรวจตรีสุพิศาล" วิเคราะห์ว่า ถ้าบิ๊กโจ๊ก กลับมาก็อาจเป็นอันตรายต่อการทำงานของ "บิ๊กต่าย" เพราะคดีที่เกิดขึ้น มีด้วยกัน 3 ระดับคือ การออกโดยมิชอบ ซึ่งถ้าศาลปกครองชี้ว่าเป็นการออกคำสั่งโดยมิชอบ จะกระทบทั้งองค์กรตำรวจ เนื่องจากต้องไล่รื้อ ปรับกลยุทธ์เพื่อโต้กลับ "บิ๊กโจ๊ก" โดยเฉพาะคดีเกี่ยวกับวินัย ที่ใกล้ตัดสิน มีผลกระทบไปถึงคณะ ก.ตร. และอีกหลายคณะในกรมตำรวจ กลายเป็นเรื่องที่ใหญ่มาก และอาจเพิ่มความขัดแย้งภายใน

...

"คดีวินัยของบิ๊กโจ๊ก ใกล้ถึงเวลาที่จะต้องลงโทษ ซึ่งรอง ผบ.ตร. ฝ่ายกฎหมาย ที่รับไม้ต่อ ต้องมีการเซ็นคำสั่งให้ออก ถ้าเป็นแบบนี้ บิ๊กโจ๊ก จะร้องต่อว่าคำสั่งนั้นไม่ชอบอย่างไร ไปยัง ก.พ.ค.ตร. มีการยืดเวลาไปยังศาลปกครองสูงสุดอีกรอบ แต่ถ้าคดีวินัย ไม่ปรากฏพยานหลักฐานเลย บิ๊กโจ๊ก ก็มีโอกาสกลับเข้าสู่ สตช. และคดีที่อยู่ในศาลสูงสุดจะยุติลงไป เพราะไม่มีการลงโทษ ขณะที่คดี ป.ป.ช. ก็ว่ากันไปตามอายุความ"