กว่า 1 เดือน ที่เดินแผนปฏิรูปรถเมล์ ในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล 107 เส้นทาง ผู้โดยสารที่มีรายได้น้อยส่วนใหญ่เจอปัญหา ค่ารถเพิ่มสูงขึ้นเท่าตัว "มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค" พร้อมเครือข่าย ยื่นหนังสือต่อ "กรมขนส่ง" รวบรวมปัญหาจากผู้โดยสาร เสนอทางแก้ไขเร่งด่วน ขอให้เปลี่ยนเลขสายรถ กลับมาเหมือนเดิม หลังผู้โดยสารสับสนหนัก

แผนปฏิรูปรถเมล์ ในพื้นที่กรุงเทพฯ ปริมณฑล ทยอยปรับตามแนวทาง “1 เส้นทาง 1 ผู้ประกอบการ" โดยวันที่ 25 ก.ค. ที่ผ่านมา เป็นวันแรกที่ ขสมก. เดินรถตามแผนปฏิรูป 107 เส้นทาง แต่มีเสียงสะท้อนจากผู้ใช้บริการ ถึงรถขาดระยะ รอนาน ค่าโดยสารแพงกว่ารถร้อนที่ ขสมก. เคยวิ่งเกือบเท่าตัว ทำให้มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค และภาคีเครือข่าย ยื่นหนังสือต่อกรมการขนส่งทางบก วันนี้ (3 ก.ย. 67) เพื่อเรียกร้องให้มีการปรับปรุงแก้ไข

กับดักปฏิรูป "รถเมล์" ผู้โดยสารจ่ายแพง รถขาดระยะ ยังไร้ทางออก

นฤมล เมฆบริสุทธิ์ รองผู้อำนวยการมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค กล่าวว่า ทางมูลนิธิ และเครือข่ายรวบรวมปัญหาจากผู้ใช้รถเมล์ทุกเส้นทางทั่วกรุงเทพ หลังจากดำเนินตามนโยบายมากว่า 1 เดือน พบว่าประชาชนผู้มีรายได้น้อยได้รับความเดือดร้อน เรื่องค่ารถเมล์ที่ต้องจ่ายแพงขึ้นเท่าตัว บางเส้นทางรถมีการขาดระยะ ซึ่งสามารถสรุปข้อเสนอแนะได้ดังนี้

...

มีความสับสนจากการเปลี่ยนเลขสาย และเปลี่ยนเส้นทาง เช่น รถเมล์สาย 129 เดิม วิ่งจากบางเขน ไป สำโรงขึ้นทางด่วน เปลี่ยนเป็น 1-14E ทำให้ผู้ใช้บริการเข้าใจว่า เป็นรถเมล์สาย 114 ที่วิ่งบางเขน ไปท่าน้ำนนทบุรี หรือ รถเมล์สาย 26 เส้นทางอนุสาวรีย์-มีนบุรี หลังปฏิรูปเปลี่ยนเส้นทางเป็น หมอชิต 2-มีนบุรี ใช้เลขสาย 1-36 ผู้ใช้บริการเข้าใจว่าเป็น รถเมล์สาย 136 ที่วิ่งจาก หมอชิต 2-คลองเตย

รถไม่ครอบคลุมทุกพื้นที่ เส้นทางที่ถูกตัดไม่มีรถวิ่ง เช่น การยกเลิกรถเมล์สาย 195 ที่วิ่งตั้งแต่ จุดกลับรถ บิ๊กซี สุขสวัสดิ์-พระประแดง ขณะนี้ไม่มีรถวิ่งบริการ ทำให้ผู้โดยสารเดือดร้อนจำนวนมาก

กับดักปฏิรูป "รถเมล์" ผู้โดยสารจ่ายแพง รถขาดระยะ ยังไร้ทางออก

การวิ่งบริการชั่วคราว ที่ให้บริการระยะสั้น แต่ไม่มีข้อมูลว่ามีรถสายไหนมาให้บริการต่อ เช่น รถเมล์สาย 68 ที่วิ่งจาก บางลำพู-สมุทรสาคร ส่วนรถเมล์สาย 68 มหาวิทยาลัยพระจอมเกล้าธนบุรี บางขุนเทียน-BRT ราชพฤกษ์ ถ้าหมดระยะเวลาขยายบริการชั่วคราวยังไม่ทราบว่ามีรถสายใดให้บริการต่อ

ส่วนรถที่วิ่งเส้นทางใหม่ ไม่ผ่านเส้นทางเก่า ทำให้ประชาชนต้องเปลี่ยนสายรถและสับสน เช่น รถเมล์สาย 45, 63 และ 511 ที่วิ่งขึ้นทางด่วนทั้งหมด

รถให้บริการไม่เพียงพอต่อความต้องการ เพราะตามนโยบาย “1 เส้นทาง 1 ผู้ประกอบการ” เป็นการผูกขาดเส้นทาง และจำนวนรถที่นำมาวิ่งบริการไม่ครบตามจำนวนขั้นต่ำที่ขออนุญาตกับกรมการขนส่งทางบก ทำให้มีรถไม่เพียงพอรองรับประชาชนที่ใช้บริการ ประชาชนเกิดความเดือดร้อน ทำให้การเดินทางมีความยากลำบากเพิ่มมากขึ้น

กับดักปฏิรูป "รถเมล์" ผู้โดยสารจ่ายแพง รถขาดระยะ ยังไร้ทางออก

รถที่วิ่งเส้นทางเดิมและเส้นทางใหม่ บางเส้นทางมีรถน้อย คอยนานทำให้ไม่ได้รับความสะดวกในการเดินทาง ประชาชนต้องหันไปพึ่งระบบขนส่งทางอื่น เช่น รถแท็กซี่, รถมอเตอร์ไซค์รับจ้าง มีอัตราค่าโดยสารที่สูงขึ้น

ความแตกต่างเรื่องราคาค่าโดยสาร ที่ให้บริการแต่ละเส้นทาง เพราะค่าโดยสารระหว่างรถ ขสมก. กับ เอกชน ที่เอกชนมีอัตราค่าโดยสารสูงกว่า 2-3 เท่า ทำให้ประชาชนต้องรับภาระค่าเดินทางที่เพิ่มขึ้นในแต่ละวัน เช่น รถเมล์สาย 18 รถ เดิม ขสมก. ราคา 8 บาทตลอดสาย เมื่อเปลี่ยนให้เอกชนวิ่ง ประชาชนต้องรับภาระค่าโดยสาร 15, 20 และ 25 บาท เป็นต้น ทำให้ประชาชนไม่มีทางเลือก

รถวิ่งระยะสั้นทำให้ประชาชนต้องต่อรถหลายสาย และไม่ใช่ผู้ประกอบการรายเดียวกัน ต้องแบกภาระรถโดยสารที่มีอัตราค่ารถสูงขึ้น เพราะแต่ละเส้นทางอาจมีผู้ประกอบการที่ให้บริการไม่ใช่ผู้ประกอบการรายเดียวกัน เพราะไม่มีระบบตั๋วร่วม ขณะเดียวกัน บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ไม่สามารถใช้กับรถของเอกชนได้ ซึ่งรถเอกชนบางสาย ไม่ยอมให้ใช้สิทธิผู้สูงอายุ

...

ขาดการประชาสัมพันธ์ ทำให้ประชาชนไม่ทราบข้อมูลล่วงหน้าในการเดินทาง ขาดช่องทางประชาสัมพันธ์ที่ให้ประชาชนสามารถเข้าไปตรวจสอบเส้นทางการเดินรถสะดวก เช่น สายด่วนรถเมล์ที่สามารถตอบข้อซักถามของประชาชนได้ทั้งหมด เป็นต้น

ส่วนเส้นทางใหม่ยังไม่มีป้ายรถเมล์ เช่น รถเมล์สาย 2-33 ช่วง ถนนนครอินทร์ และรถเมล์สาย 4-34 ช่วงเลียบทางด่วน กาญจนาภิเษก ถึง สุขสวัสดิ์

ด้านคุณภาพบริการและมาตรฐานความปลอดภัย เช่น คุณภาพของรถที่นำมาให้บริการ รถเก่า เช่น แอร์ไม่เย็น, รถสกปรก, เบาะขาด, ราวจับไม่แข็งแรง

ส่วนรถที่ใช้ระบบไฟฟ้ามีปัญหาเรื่อง แบตเตอรี่บรรจุไฟน้อย ไฟสำรองไม่เพียงพอ ทำให้ไม่เหมาะที่จะใช้ในเส้นทางระยะไกลและรถติด

กับดักปฏิรูป "รถเมล์" ผู้โดยสารจ่ายแพง รถขาดระยะ ยังไร้ทางออก

ข้อเสนอทางออกให้กับกรมการขนส่งทางบก

สำหรับทางออก "นฤมล" มองว่า ควรมีการยกเลิกเลขสายรถเมล์ใหม่ เช่น สาย 1-14E ให้ใช้เลขสายเดิมคือ สาย 129 และใช้สัญลักษณ์ติดป้ายสีเหลือง “ทางด่วน” เพื่อไม่ให้ประชาชนสับสนในการใช้บริการ

ควรมีการทบทวนข้อกำหนด 1 เส้นทาง 1 ผู้ประกอบการ เช่น เส้นทางที่มีประชาชนใช้บริการเป็นจำนวนมาก เสนอให้มีผู้ประกอบการมากกว่า 1 ราย เพื่อให้เกิดการแข่งขันไม่ผูกขาดเส้นทาง ให้ประชาชนมีทางเลือก

...

ขณะเดียวกัน ควรมีมาตรการกำกับดูแลให้ผู้ประกอบการจัดหารถเมล์โดยสารให้เพียงพอทุกเส้นทางตามที่กรมการขนส่งทางบกกำหนดไว้ เช่น ผู้ประกอบการต้องมีรถเมล์ให้บริการไม่ต่ำกว่า 10 คันต่อเส้นทาง

กับดักปฏิรูป "รถเมล์" ผู้โดยสารจ่ายแพง รถขาดระยะ ยังไร้ทางออก

รวมถึงเชื่อมต่อรถเมล์ โดยสารระหว่างรัฐวิสาหกิจ และเอกชน เช่น การคิดราคาค่าโดยสารรวมแล้วไม่เกิน 30 บาท/วัน โดยการใช้ระบบตั๋วร่วม เพื่อลดภาระค่าโดยสารของประชาชน

จัดทำช่องทางประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนสามารถตรวจสอบ เลขหมาย และเส้นทางการเดินรถ เช่น มีการจัดทำ แอปพลิเคชัน สายด่วนรถเมล์ส่วนกลางที่สามารถตอบคำถามเส้นทางได้ทุกเส้นทางทั้งหมด

นอกจากนี้ อยากให้มีตัวแทนผู้บริโภคที่ใช้บริการ และองค์กรผู้บริโภคเข้าไปมีส่วนร่วมกับหน่วยงานภาครัฐ รัฐวิสาหกิจ และเอกชน ที่เกี่ยวข้องทุกภาคส่วน ในการออกกฎหมาย มาตรการกำกับ และหลักเกณฑ์การกำกับดูแลการให้บริการรถโดยสารสาธารณะ เพื่อให้ผู้บริโภคที่ใช้บริการได้รับการคุ้มครองสิทธิอย่างเป็นธรรมมากที่สุด.