"เทพพลัง งามนนท์" จากผู้รับเหมาเงินล้าน ฟองสบู่แตก กลับบ้านหักดิบอบายมุขทุกชนิด สร้างบ้านดินด้วยตัวเอง ก่อนกลายเป็นเทพปลูกกล้วยอินทรีย์ ไร้สารเคมี 100% ชี้ ปลูกกล้วยไม่ใช่กล้วยๆ

ตอนนี้เริ่มมีชาวบ้านบ่นอุบว่า “กล้วย” มีราคาแพงขึ้นมาก และจากข่าวเมื่อหลายวันก่อน บอกว่า ซื้อในราคาหวีละ 60 บาท!!

แต่เมื่อตรวจสอบข้อมูล “กล้วยน้ำว้า” กับราคา “ตลาดไท” จากข้อมูล ณ วันที่ 23 สิงหาคม และกราฟเส้นในรายปี

จากเดือนสิงหาคมปีที่แล้ว ถึงเดือนสิงหาคมปีนี้ พบว่า ราคาต่างกันราว 12 บาท คือ จากราคาสูงสุด 20 บาท ในปีที่แล้ว แต่ปีนี้ราคาสูงสุด 32 บาท/หวี

แน่นอนว่า เรื่องราวเกษตรกับการกินอยู่อย่างพอเพียง หรือสร้างรายได้ให้ชีวิตได้มั่นคงสัปดาห์นี้ คือ เรื่องของ “กล้วยๆ” แต่จะทำจริง ก็ไม่ใช่งานกล้วยๆ สักเท่าไร...

พี่เทพ หรือ “เทพพลัง งามนนท์” เกษตรกรปลูกกล้วยคนดัง "ไร่เทพพลัง" ใน ต.หนองบัวเหนือ อ.เมือง จ.ตาก มาเล่าเรื่องราวชีวิต และการเป็นเกษตรกรปลูกกล้วยอย่างไรให้ประสบความสำเร็จ โดยได้รับการอนุญาตให้ขายในพื้นที่ “สันติอโศก” เพราะเป็นการปลูกพืชแบบอินทรีย์ 100%

...

ชีวิตพลิกผัน จากช่างไฟฟ้า ขุดทองที่ลิเบีย ชีวิตหกล้มในปี 2540

นายเทพพลัง ชายวัยเกษียณ มาดเซอร์ เจ้าของสวนกล้วยรวมกับครอบครัว 35 ไร่ เล่าว่า เดิมทีเราเป็นครอบครัวเกษตรกร ในพื้นที่ จ.ตาก ด้วยความที่เป็นลูกคนโตจาก 5 คน และพื้นฐานครอบครัวก็ยากจน แต่ก็ได้อาศัยไปเรียนหนังสือที่เมืองนนท์ อาศัยป้ากับลุงอยู่

“คิดว่าไม่กลับแล้ว จ.ตาก เพราะรู้สึกว่าอยู่ยาก ลำบาก อยากเป็นคนกรุงเทพฯ (หัวเราะ) แต่พอเรียนจบ ม.ศ.5 (เทียบเท่า ม.6) ก็มีคนแนะนำว่า อยากให้ไปลองทำงานที่ต่างประเทศ ตอนนั้นเป็น “ช่างไฟฟ้า” ฝึกหัด ประเทศแรกที่ไป คือ “อิรัก” ซึ่งก็เป็นเหมือนกรรมกรดีๆ นี่แหละ เพราะเรายังไม่เป็นอะไรมาก”

นายเทพพลัง บอกว่า ตอนนั้นไปอิรักไม่ถึงปี จากนั้นก็กลับมา เรียนรู้ที่จะเป็น “ช่างไฟฟ้า” และ “ช่างก่อสร้าง” ซึ่งเราก็ทำงานด้านนี้อยู่หลายปี กระทั่งรู้สึกว่าอยากกลับไปขุดทองต่างประเทศอีกครั้ง จึงเลือกที่จะไปสอบเป็นช่างไฟฟ้า และมีโอกาสได้ไปที่ประเทศ “ลิเบีย” ซึ่งไปสอบ 30 คน เขาเอาแค่ 2 คน แต่เราก็ได้ไปในตำแหน่งช่างไฟฟ้า ทำงานที่นั่น 2 ปี ก็พอเก็บเงินทองได้

ใจหนึ่งก็อยากที่จะทำงานที่นั่นต่อ แต่เพื่อนก็ชวนกลับมาเป็น “ผู้รับเหมา”...
“ถ้าไม่กลับมาตอนนี้จะไม่ทันนะ...”
เพื่อนก็ทัก ให้รีบกลับมากอบโกย ช่วงอสังหาฯ กำลังบูม


พี่เทพ เล่าต่อว่า ช่วงที่กลับมาตอนนั้น คือ ช่วงปี 2538-2539 ตอนนั้นที่ทำ มีเงินเข้าบัญชีเป็นล้านๆ แต่เงินก็เข้ามาแล้วก็ผ่านไป มีลูกน้องในการที่ต้องดูแล กว่า 80 คน กระทั่ง “ฟองสบู่แตก” จากผู้รับเหมาก่อสร้าง กลายเป็นเราต้องไปรับจ้างคนอื่น กระทั่งสุดท้ายก็ไปไม่รอด...

“ในหัวตอนนั้นคิดเรื่องเดียว ตอนที่กลับมาจาก “ลิเบีย” มีเงินเหลือแสนกว่าบาท ก็เลยเอาเงินไปให้พ่อซื้อที่ดินไว้ เมื่อถึงเวลาซมซานกลับมาบ้าน และขอที่ดินคืนจากพ่อ...”
“กูไม่ให้” พ่อตอบ พร้อมให้เหตุผลว่า
“มึงจากบ้านไปตั้งแต่เด็ก หากให้ที่ดินไปแล้ว แล้วมีปัญญา หรือความรู้เรื่องเกษตรหรือ...”
“เออ...มันก็จริง”

พี่เทพ เล่าต่อว่า แม้จะอยากกลับมาทำเกษตร แต่เมื่อเสนออะไรไป พ่อก็ไม่ให้ทำ เช่น เราเสนอไอเดียว่า “อยากปลูกป่า” คำตอบที่ได้คือ “ที่เรียบเตียนอยู่แล้ว ปลูกป่าได้ประโยชน์อะไร”

ทีมข่าวฯ ถามว่า ทำไมตอนนั้นถึงคิดอยากปลูกป่า นายเทพพลัง ตอบว่า ก็ไม่รู้เหมือนกันนะ แค่คิดว่า หากเราปลูกป่า อีก 10-20 ปี น่าจะได้ใช้ประโยชน์...สรุปว่าการโต้เถียงด้วยเหตุผลครั้งนั้น เราแพ้ (หัวเราะ) แต่เราก็พยายามเข้าไปปลูกไว้ แต่สุดท้ายก็ตายหมด เพราะพ่อเอาวัวเข้าไปย่ำ (หัวเราะ)

ตอนนั้นเป็นเพียงคนตกงาน กลับมาอาศัยพ่ออยู่ กระทั่งตอนนั้น มันมีโครงการของ ธ.ก.ส. ให้ไปอบรมเกี่ยวกับการสร้างอาชีพ พ่อที่เป็นลูกค้า ธ.ก.ส. ก็เลยส่งเราไปอบรม 4 คืน 5 วัน...

และจากอบรมในครั้งนั้น ทำให้วิธีคิด วิถีการดำเนินชีวิตของ “เทพพลัง” เปลี่ยนไป...

...

ถูกหาว่าบ้า หักดิบ อบายมุข เลิกเหล้า กินมังสวิรัติ

ตอนนั้นพี่เทพ จำได้ดี คือ ประมาณปี 2546 พ่อแนะนำ ให้ไปอบรมเถอะ มีที่พัก กินอยู่ดี ภาพที่คิด คือ ได้กินอยู่สบาย นอนโรงแรมดีๆ ซึ่งก่อนที่จะไปนั้น เราเป็นคนที่อบายมุขแบบครบองค์ กินเหล้า สูบบุหรี่ การพนัน เรียกว่าเอาหมด

เหล้าแดงไม่มี ไม่เป็นไร เหล้าป่า เหล้าเถื่อน กินหมด สิ่งที่ทำ เพราะเข้าใจว่ามันเป็นของคู่กับมนุษย์เรา.... แต่เมื่อไปถึง ภาพที่คิด กับสิ่งที่เจอ มันแตกต่างกันมาก คือ เขาให้ไปนอนที่วัด ตื่นตี 3 นั่งสวดมนต์ พอสาย เข้าฐานงานต่างๆ เพื่ออบรมหลายๆ อย่าง อาทิ เคล็ดลับการทำเกษตรอินทรีย์ สอนทำอาหาร และสอดแทรกธรรมะ

“แค่เพียง 4 คืน 5 วัน กลับมาผมเปลี่ยนเลย...เลิกเหล้า เลิกกินเนื้อสัตว์ กลายเป็นมังสวิรัติ แบบหักดิบ เพราะตอนนั้น ในเมื่อเราไม่มีเงินแล้ว เราจะเอาเงินที่ไหน กินเหล้า สูบบุหรี่ หรือกินเนื้อสัตว์ และในค่ายอบรมก็บอกว่า การกินมังสวิรัติ ก็ไม่ใช่เรื่องยุ่งยากอะไร มันลดต้นทุนการใช้ชีวิต เราก็เอาเลย พอกลับมา ก็ทดลองจิตใจ ไม่ออกจากบ้าน หุงหาเตาฟืนด้วยตัวเอง มันจะตายไหม... ซึ่งเรื่องนี้ทีแรกไม่ได้บอกใคร”

พอเราเริ่มทำแบบนี้ ชาวบ้านแถบนั้นลงความเห็นว่า “บ้า” และสงสัยว่า “โดนของ” หรือเปล่า...ขณะที่ตัวเราเองไม่ได้คิดอะไร อยากมีบ้านของตัวเอง ซึ่งตอนอบรมในงานต่างๆ ก็มีโอกาสได้เจอ “โจน จันใด” แกได้พูดเรื่อง “บ้านดิน” ไอ้เราก็อยากได้บ้านแบบนี้ ด้วยความที่มีสกิลช่าง จึงไปศึกษานิดหนึ่งก็มาสร้างบ้านดินด้วยตัวเอง...

“นี่มันบ้าใหญ่แล้ว” ชาวบ้านเห็นเราสร้างบ้านดินด้วยตัวคนเดียว ทั้งที่ไม่มีเงิน เราก็ไปศึกษาวิธีทำเองทั้งหมด ตั้งแต่ย่ำดิน เอามาปั้น นอกนั้น คือ ได้เงินแม่ที่มาซื้อกระเบื้องมุงหลังคา

ปัจจุบันมีคนมาเห็นบ้านดิน คนทัก “พี่เทพ รวยขนาดสร้างบ้านดินเลยหรือ..” ตอนนี้กลายเป็นความเชื่อสลับกันว่า คนที่มีบ้านดินเท่านั้น คือ คนรวย (หัวเราะ)

...

เริ่มต้นเกษตรกร ปลูกข้าวอินทรีย์สำเร็จ แต่ไปไม่รอด...

จากการอบรมครั้งนั้น ก็ทำให้กลับมาศึกษาเกษตรอินทรีย์ ซึ่งข้อมูลในสมัยนั้นมันหายาก เพราะไม่มีอินเทอร์เน็ต ต้องหาข้อมูลตามหนังสือ หรือหน่วยงานมีการอบรมการทำน้ำหมักชีวภาพ เราไปสมัครเรียน โดยอาศัยขอเงินพ่อเพื่อเติมน้ำมันขับรถไป “มึงจะไปทำไม ก็ใช้ปุ๋ยกระสอบ 400-500 บาท แต่เราก็ไม่ยอม ดั้นด้นที่จะไป”

หลังจากเรียนรู้ได้พอสมควรแล้ว ก็เริ่มทำนา ด้วยวิถีเกษตรอินทรีย์ เริ่มต้น 10 ไร่ เราทดลองปลูกข้าวแบบนี้ 5 รอบ ปรากฏว่า 2 รอบแรก ล้มเหลว เพราะเราเป็นมือใหม่ กระทั่งรอบ 3 ขึ้นไป ข้าวของเราดีกว่าคนรอบข้าง จนเขาต้องกลับมาซื้อพันธุ์ข้าวจากเรา ทั้งที่เราเริ่มต้นปลูก เราใช้พันธุ์ข้าวจากเขา

อย่างไรก็ตาม การปลูกข้าวของ เทพพลัง นั้น มาเจออุปสรรคใหญ่ เพราะเมื่อได้ผลผลิตแล้ว กลับเอามากองรวมกับข้าวที่ผ่านการปลูกด้วยเคมี คำถามคือ “แบบนี้เราจะทำไปเพื่ออะไร...” เพราะตอนนั้นไม่มีอุปกรณ์ในการสีข้าว ทำแพ็กเกจ หรือเราจะสื่อสารกับคนซื้อก็ทำได้ยาก เพราะไม่มีโซเชียลมีเดีย

“สิ่งที่ทำให้การปลูกข้าวล้มเหลวนั้น มาจากเราไม่ได้วางแผน เรารู้แต่จะปลูก แต่เราจะขายอย่างไร ต่อยอดอย่างไร แต่...สิ่งที่ได้กลับมา คือ การทำให้พื้นที่ของเรานั้น สะอาด เป็นเกษตรอินทรีย์จริงๆ ได้จุลินทรีย์ดีๆ อาศัยในผืนดิน ซึ่งเป็นไปตามปณิธานของเรา ว่าไม่ใช้เคมีเลย”

...

ปลูกแก่นตะวัน แต่ลูกค้าซื้อกล้วย!

เทพพลัง บอกว่า หลังปลูกข้าวสำเร็จ แต่ไปไม่รอด ก็เลยหาอย่างอื่นมาปลูก โดยเลือกที่ “แก่นตะวัน”

แก่นตะวัน (พืชดอกตระกูลทานตะวัน) เป็นพืชปลูกง่าย 4 เดือนเก็บ ราคาก็ดี กิโลกรัมละ 100 กว่าบาท และที่สำคัญ คือ ปลูกไร่เดียวได้ผลผลิตเป็นตัน

ปัญหาของ “แก่นตะวัน” คือ เราไม่รู้วิธีเก็บรักษา หากเก็บจากต้นแล้ว ก็อยู่ได้สัปดาห์เดียว ทีนี้แก้ปัญหาอย่างไร คือ ต้องแก้ด้วยน้ำแข็ง หรือที่เย็นๆ ซึ่งก็จำเป็นต้องซื้อภาชนะ เราลงทุนซื้อถังใบละ 6,000 บาท แต่...ขายได้วันละ 1-2 กิโลกรัม แม้จะลงทุนขับรถไปขายที่กรุงเทพฯ

ช่วงที่เอาไปขาย เห็น “กล้วย” ที่แม่บ้านปลูกไว้ 30-40 ต้น ไหนๆ จะเอาแก่นตะวันไปขายแล้ว ก็เลยติดกล้วยไปขายด้วย เวลาขาย เราจัดเรียง “แก่นตะวัน” อย่างดี ให้คนซื้อได้เห็น ส่วน “กล้วย” ที่เอามา ก็แอบๆ ไว้

“ผมอธิบายเรื่องแก่นตะวัน ให้คนสนใจ 5-30 นาที กว่าจะตัดสินใจซื้อได้ คือ ใช้เวลานานมาก บางคนขอซื้อครึ่งกิโลกรัม 50 บาท แต่เมื่อเขาเห็นกล้วย เขาซื้อเลย ไม่ถามอะไรเลย ระหว่างทางกลับ จึงปรึกษาแม่บ้าน เรามาปลูกกล้วยกันไหม... ซึ่งก็เริ่มต้นที่การปลูก 1 ไร่

ปลูกกล้วยน้ำว้าพันธุ์เตี้ย 1 ไร่

การเริ่มต้นปลูกกล้วยน้ำว้า เราเอาพันธุ์มาจากสวนข้างๆ เพราะเขาปลูกแล้วเขาไม่ดูแล และกำลังจะเลิกปลูก โดยเราไปขอซื้อ แต่เขาบอกว่าอยากได้เท่าไรก็เอาไปเลย...ตอนนั้นจำได้เลย ลงทุน 1 ไร่ ใช้เงิน 7,000 บาท ซึ่งเราช่วยกันปลูก 2 คน ตายาย ชาวบ้านเขาก็ถามว่า

"ทำอะไรกัน"
"ปลูกกล้วยครับ"
"บ้าหรือเปล่า ที่ดินดีขนาดนี้ มีแต่ปลูกข้าวโพดกัน 4 เดือน ได้เงินแล้ว..."

นายเทพพลัง บอกว่า หากเราปลูกข้าวโพด ก็จะกลับไปเป็นเหมือนเดิม คือ การใช้เคมี ใช้ยาฆ่าหญ้า ซึ่งเราไม่สามารถทำได้ เพราะเราตั้งปณิธานไว้แล้วว่าจะไม่ทำ

"พอเราปลูกได้ 6-7 เดือน กล้วยก็ออก ได้หัวปลีใหญ่มาก สาเหตุที่ผลผลิตสวย เพราะตอนที่เราปลูกข้าว เราใช้วิธีการหมักฟางอยู่ตลอด ไม่เคยเผาเลย กลายเป็น "คลังอาหาร" ของพืช ซึ่งกล้วยหวีหนึ่ง เราหนักเกือบ 2 กิโลกรัม พอเราเอาไปขายกับ "แก่นตะวัน" ปัญหาต่อมา คือ เราจะขายหวีเท่าไร..."

ช่วงแรก ก็เอาไปให้วัดก่อน แบบ "หน้าบาง" ที่วัดบอกไม่ต้องให้ มาเกือบ 400 กิโลเมตร จะเอามาให้ ก็เลยตั้งราคา 18 บาท เพื่อนนั่งข้างๆ บอกจะขายราคานี้ทำไม ก็ 20 บาท ไปเลย...
เราเอากล้วยมาขาย 4-5 เครือ นั่งขาย 2 ชั่วโมงหมด ซึ่งการเดินทางมากรุงเทพฯ ของเรา เพราะเรามีธุระ ต้องเข้ามาจัดการ ฉะนั้น การมาแต่ละครั้ง เราก็เอามาขายด้วย...

พี่เทพ บอกว่า ตอนขายไม่เหนื่อยเลย ไม่จำเป็นต้องมาอธิบายเหมือนแก่นตะวัน พอมากับแม่บ้าน เขาติดราคาไว้ 10-25 บาท ตามความสวย


จากการปลูก 1 ไร่ กลายเป็น 6 ไร่

พี่เทพ เล่าต่อว่า หลังจากนั้น เรามีการปลูกพืช จาก 1 เป็น 6 ไร่ ที่สำคัญ คือ การปลูกกล้วยแบบอินทรีย์ 100% นั้น ให้รสชาติที่หวานกว่าคนอื่น ตอนแรกก็ไม่เชื่อ เพราะเราเอากล้วยไปแจกคนอื่น คนนั้นมาบอกเราว่าหวานกว่า...หรือเพราะว่า

"กล้วยฟรี" หรือเปล่า คิดอย่างมีอคติ (หัวเราะ) กล้วยมันต้องเหมือนกันหมด จนวันหลัง เราได้ชิมกล้วยอีกเจ้า มาให้กิน ดังนั้น จึงอนุมานได้ว่า น่าจะมาจากการทำกล้วยอินทรีย์นี่แหละ ที่สำคัญ คือ ผลที่ได้ คือ ไม่หวานหรือสุกงอมแบบการเร่งแบบเคมี"

ต่อมา น้องและพ่อ ที่เคยปลูกข้าวโพด ได้เจอวิกฤติ ราคาข้าวโพดตกต่ำ...เราจึงเสนอว่าให้ปลูกกล้วยอินทรีย์

"แล้วมันได้เงินเท่าไรล่ะ"

"ปีแรกจะยังไม่มีรายได้นะ..."

สุดท้าย พ่อเขายอมทำตามเรา เพราะจำนนว่า ไปต่อกับข้าวโพดไม่ได้ เมื่อเป็นเช่นนี้ เราก็เลยชวนเพื่อนมาช่วยปลูกกล้วยให้พ่ออีก 6 ไร่

หลักการปลูกกล้วยของผม คือ การเว้นระยะห่างให้เหมาะสม จากนั้นขุดหลุม ซึ่งคำนวณแล้ว 6 ไร่ หากผลผลิตออกจะมีรายได้เหลือไม่ต่ำกว่า 10,000 บาท เราบอกแบบนี้ทีแรก พ่อก็ไม่เชื่อ เพราะทำข้าวโพด 4 เดือน บางทีเหลือไม่ถึงพัน เพราะเมื่อเก็บผลผลิต ขาย และเอาเงินไปลงทุนใหม่


"ปลูกกล้วย 1 ครั้ง รักษาดีๆ อยู่ได้ยาวถึง 5 ปี ซึ่งในช่วงปี 2-4 จะได้ผลผลิตแบบเต็มเม็ดเต็มหน่วย เมื่อทำจริงๆ ปรากฏว่า พ่อมีเงินเหลือ 120,000 บาทต่อปี ก็คือเก็บได้เดือนละหมื่นจริงๆ เมื่อเห็นผลดังนี้ น้องอีก 4 คน ก็หันกลับมาปลูกกล้วยเหมือนกัน รวมๆ กัน 35 ไร่"

หลักการดูแล คือ กล้วยจะถูกกับจุลินทรีย์หน่อกล้วยมาก เมื่อเอาหน่อกล้วยมาทำจุลินทรีย์ มันจะงอกงามมาก ถ้าขยันหน่อย เราก็ให้น้ำผสมจุลินทรีย์ 15 วันครั้ง สิ่งที่ขาดไม่ได้สำหรับกล้วย คือ ต้องใกล้แหล่งน้ำ เพราะน้ำ

ราคากล้วยขึ้นลงเป็นวงรอบ แนะนำมือใหม่

กูรูปลูกกล้วยเชื่อว่า ราคากล้วยนั้นจะมีขึ้นและลงเป็นวงรอบ ช่วงนี้ราคากล้วยแพงใช่ไหม คนก็จะหันมาปลูก แต่พอคนแห่ปลูกชนกัน ราคาก็ตก ดังนั้น เทคนิคการปลูก คือ เราต้องปลูกเขา อย่าปล่อยให้เขาโทรม มันก็จะได้ผลผลิตเรื่อยๆ บางครั้งต้องเอากำไรมาเลี้ยงต้นกล้วยก่อน จนกระทั่งตอนนี้ได้ข่าวว่า กล้วยกรุงเทพฯ ขายหวีละ 60 บาท ซึ่งเราก็ไม่เคยเห็นราคานี้

"ผมขายราคาที่กำหนดไว้ สมมติว่าราคาตก ที่อื่นขายหวีละ 15 แต่ผมขาย 20 บาท ซึ่งเราบอกเขาว่าของเราไม่เหมือนของคนอื่น และลูกค้าก็ยอมรับราคาได้ ฉะนั้น หากแพง เราก็ขายเท่าเดิม"

พี่เทพเผยว่า การปลูกกล้วยไม่ใช่เรื่องกล้วยๆ นะ สิ่งจำเป็นที่สุด คือ "น้ำ" เป็นหลัก ถ้ากล้วยขาดน้ำ นี่ยากนะ ที่ปัจจุบันฝนก็ไม่ตกตามฤดูกาล ฉะนั้น สิ่งจำเป็น คือ แหล่งน้ำ น้ำฟรี น้ำบาดาล หรือน้ำคลองชลประทาน หากเป็นเชิงพาณิชย์ คุณต้องหาแหล่งน้ำฟรีให้ได้...

อ่านบทความที่น่าสนใจ