หนุ่มวัย 31 ปี กลายเป็นเสี่ยฟาร์มกุ้งเครย์ฟิช หรือ กุ้งก้ามแดง แรกเริ่มเลี้ยงขาย ก่อนสร้างอาณาจักร รายได้ 6 หลักต่อเดือน ชีวิตสโลว์ไลฟ์ 1 เดือนทำงานแค่ 10 วัน
ช่วง 1-2 เดือนนี้ เราเจอข่าว “ปลาหมอคางดำ” เอเลี่ยนสปีชีส์ ที่ถึงขั้น “รุกราน” ระบบนิเวศของไทย โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคกลางและภาคใต้ ฟาร์มกุ้งหลายแห่งต้องประสบกับหายนะ แต่ในพื้นที่ภาคอีสานนั้นถือว่ายังปลอดภัย
“ยังไม่เจอปลาหมอคางดำนะ ถ้ามาอีสานก็คงโดนจับกินหมด”
ท็อป จักรกฤษณ์ พิศาลเดช หนุ่มวัย 31 ปี เจ้าของพิศาลเดชฟาร์ม กุ้งก้ามแดง หรือ กุ้งเครย์ฟิช ที่ตั้งอยู่ใน จ.ขอนแก่น จากเกษตรกรเลี้ยงกุ้ง กลายเป็นผู้ส่งเสริมเกษตรกรในพื้นที่ภาคอีสาน กล่าวกับไทยรัฐออนไลน์ พร้อมเล่าเบื้องหลังการเลี้ยงกุ้งก้ามแดง หรือล็อบสเตอร์น้ำจืด ที่สร้างรายได้มหาศาลในเวลานี้
จากลูกจ้างร้านไก่ทอด สู่เจ้าของฟาร์มกุ้งก้ามแดง
ท็อป เล่าว่า หลังจากที่เขาเรียนจบที่มหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม ก็ไปสมัครงานเป็นพนักงานร้านไก่ทอดชื่อดัง ซึ่งเราก็ทำงานปกติ และหลังจากทำได้ราว 5 เดือน เขาก็จะเลื่อนตำแหน่งให้เราเป็นระดับหัวหน้าพนักงาน สาเหตุเพราะเราจบปริญญาตรี ส่วนคนอื่นๆ มีวุฒิ ม.3 หรือ ม.6 และเราก็ทำได้ทุกอย่าง
...
นายจักรกฤษณ์เล่าต่อว่า ระหว่างนั้นก็ไถๆ ฟีด ก็ไปเจอข้อมูลเกี่ยวกับการเลี้ยงสัตว์และประสบความสำเร็จ กระทั่งไปเจอเพื่อนโพสต์ภาพกุ้งก้ามแดง รายได้ดี ได้เงินเดือนละ 50,000 บาท ซึ่งวันที่ดู ก็คือวันก่อนที่เขาจะเลื่อนตำแหน่ง ซึ่งเราก็ตัดสินใจวันนั้นเลยว่า เราจะเลี้ยงกุ้งเครย์ฟิช เราไปบอกเขาว่าเราจะลาออกวันที่เขาจะขึ้นตำแหน่งให้
“ตอนนั้นทำงานได้ 5 เดือน ได้เงินประมาณเดือนละ 9,000-11,000 บาท 5 เดือน ก็ทำให้เราพอเก็บเงินได้ 20,000-30,000 บาท ส่วนหนึ่งเพราะเราทำงานในสาขาใกล้บ้าน อยู่บ้านก็ไม่ค่อยมีค่าใช้จ่ายอะไร ฉะนั้นจึงตัดสินใจลงทุนครั้งแรกภายในวันเดียว โดยไปหาเพื่อนคนที่โพสต์ภาพกุ้ง ซึ่งผมอยู่ใน อ.บ้านไผ่ เพื่อนอยู่ที่ อ.ชนบท เขาบอกว่าเขาซื้อมาจากคนขายที่ อ.โคกโพธิ์ไชย จ.ขอนแก่น เราก็ขับมอเตอร์ไซค์ไปเลย ครั้งแรกที่ซื้อมา 30 ตัว เป็นเงิน 1,000 บาท”
จุดเริ่มต้นเลี้ยงกุ้งเครย์ฟิช คืนเดียวหายไปครึ่งหนึ่ง
นายจักรกฤษณ์เล่าอย่างติดตลกว่า หลังจากซื้อมาแล้ว เราก็ไม่ได้เตรียมอุปกรณ์อะไรเลย ออกซิเจนอะไรก็ไม่มี ใส่กล่องโฟมมา จากนั้นก็เอากล่องโฟมมาวางไว้ที่บ้าน ปรากฏว่าคืนนั้นกุ้งขนาดเท่านิ้วก้อย
“แม่เดินมาบอก “มึงมาดูสิ กุ้งมันไต่ออกมา ไม่รู้หายไปไหน” พอเรามาเช็กดูพบว่าหายไป 15 ตัว วันรุ่งขึ้นก็ซื้อเพิ่มมาอีกเท่าตัว อีกวันก็ไปซื้อมาอีก เอามาใส่กะละมังไว้ 2-3 ใบ เหมือนกับเพื่อนที่เลี้ยงมา เราก็เลี้ยงและขยายไปเรื่อยๆ จากกล่องโฟม ขยายเป็นกะละมัง กลายเป็นฟิวเจอร์บอร์ด และบ่อผ้าใบ กุ้งก้ามแดงมันก็ผสมพันธุ์เพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ ขายลูกกุ้ง 3 ตัวร้อย หรือพ่อแม่พันธุ์ คู่ละ 700 บาท ทำไปทำมากุ้งเริ่มเยอะ ลูกค้าเป็นขาจรตามกระแสบ้าง กระทั่ง 1 ปีผ่านไป อยากได้ลอตใหญ่ได้เยอะ...”
นายจักรกฤษณ์บอกว่า วันหนึ่งมีลูกค้าติดต่อเข้ามา เขาอยากได้พ่อแม่พันธุ์กุ้ง 100 ตัว ซึ่งเวลานั้นถือว่าเยอะมากสำหรับเรา และเราก็มีไม่เพียงพอ แต่เราก็ตอบรับเขา เผอิญว่าเราได้รู้จักพี่คนหนึ่ง ชื่อพี่พุ่ม เขาเป็นฟาร์มใหญ่กว่าเรา เราจึงโทรหาเขา เราอยากได้กุ้งก้ามแดงพ่อแม่พันธุ์ 100 ตัว ซึ่งตอนนั้นเราขายตัวละ 100 บาท ก็เป็นเงิน 10,000 บาท เราขอซื้อจากเขาตัวละ 25 บาท เราขาย 100 บาท (หัวเราะ)
“นี่คือออเดอร์แรกที่รู้สึกว่าขายได้เยอะ จากเดิมที่มีคนซื้อแค่ 1-2 คู่เท่านั้น และหลังจากนั้นเราก็เหมือนพันธมิตรกับพี่พุ่ม กระทั่งมีลูกค้าจากกัมพูชาติดต่อเข้ามา ขอซื้อ 100 กิโลกรัม ซึ่งเป็นออเดอร์ใหญ่มากๆ ซึ่งก็เป็นเรื่องบังเอิญอีก ที่จู่ๆ มีฟาร์มกุ้งจากกาฬสินธุ์ติดต่อเข้ามา มาขายกุ้งให้กับเรา โดยเขาบอกว่ามี 100 กิโลกรัม เราซื้อจากเขา และได้กำไรจากการขายให้กับลูกค้ากัมพูชาครึ่งหนึ่ง เราขายไป 50,000 บาท แต่เราซื้อมาเพียง 25,000 บาท”
จากการขายในลอตนั้น ทำให้มีการติดต่อซื้อขายกันต่อมา จากนั้นก็มีลูกค้าประเทศอื่นๆ มาติดต่อขอซื้อ ด้วยเหตุนี้ทางนายจักรกฤษณ์จึงริเริ่มคิดในการสร้างเครือข่ายของผู้เลี้ยง โดยที่เขาก็รับซื้อจากเกษตรกรในภาคอีสาน และกลายเป็นแหล่งซื้อขายกุ้งเครย์ฟิช
...
เหตุการณ์ไม่คาดฝัน ไฟดับ เสียหายเกือบแสน!
ทีมข่าวฯ ถามว่า ระหว่างทางเคยเจออุปสรรคหรือเหตุที่ล้มเหลวบ้างหรือไม่ เจ้าของพิศาลเดชฟาร์ม กุ้งก้ามแดง ยอมรับว่า เราทำตรงนี้มา 10 ปี รู้สึกว่าปัญหาที่เจอมีไม่มาก แต่ก็มีวันหนึ่งเมื่อ 5 ปีก่อน เราได้เลี้ยงและซื้อกุ้งมาสต๊อกกว่า 220 กิโลกรัม และจู่ๆ เกิดไฟดับ!
“วันนั้นกุ้งผมตายไปกว่า 80% จาก 220 กิโลกรัม เหลือรอด 30 กิโลกรัม ภายในวันเดียว ตื่นเช้ามา กุ้งผมนอนหงายท้องหมด ผมขาดทุนยับ สูญเสียเงิน 80,000 บาท ส่วนสาเหตุไฟดับนั้น เราก็ไม่รู้ แต่หลังจากวันนั้นเป็นต้นมา เราซื้อสำรองไฟมาเลย”
หลักการเลี้ยง “กุ้งก้ามแดง” ออร์แกนิก
ส่วนหลักการเลี้ยงกุ้งก้ามแดงนั้น นายจักรกฤษณ์เล่าว่า หลักการในเลี้ยงแบบ “พ่อแม่พันธุ์” นั้น เราจะเลี้ยงในอัตราส่วน ตัวผู้ 1 ตัวเมีย 2 เลี้ยงแบบนี้จะดีที่สุด เพราะหากเลี้ยงตัวผู้ 1:3-4 น้ำเชื้อตัวผู้จะอ่อน แล้วจะเกิดอาการไข่ฝ่อ ฉะนั้นการเลี้ยงแบบ 1:1 หรือ 1:2 เพียงเท่านี้จะดีกว่า และใน 1 ตร.ม. ให้ลง 12 ตัว
สำหรับตัวเมีย 1 ตัว จะให้ลูกประมาณครั้งละ 300-400 ฟอง โอกาสรอดประมาณ 70-80% หากตัวเมียตัวใหญ่ จะยิ่งให้ไข่เยอะ
...
พ่อแม่พันธุ์ แยกแยะอย่างไร
การดูกุ้งก้ามแดงที่เป็นลักษณะพ่อแม่พันธุ์ ต้องมีอายุ 5 เดือนขึ้นไป ตัวผู้ที่บริเวณข้างก้ามจะมีถุงน้ำสีแดง ตัวผู้โครงสร้างบึกบึนกว่า ตัวใหญ่กว่า และมันจะมีเดือยเล็กๆ ก็คืออวัยวะเพศมันใกล้กับขาคู่ที่ 1 ไล่ดูจากด้านล่าง ส่วนตัวเมีย ก้ามเรียวเล็ก จะมีรูบริเวณขาคู่ที่ 3
หากผสมไปแล้ว 48 ชั่วโมงก็จะรู้ผลเลยว่า เพราะกุ้งแม่พันธุ์ที่พร้อมผสม จะมีไข่ฝังอยู่ในหัวอยู่แล้ว หากผสมติด ไข่มันก็จะค่อยๆ ออกจากหัว ลำเลียงมาที่หน้าท้อง
เมื่อผสมแล้ว เราจะปล่อยเขาไว้แบบนั้น 2 สัปดาห์ โดยสิ่งสำคัญคือการให้ออกซิเจน เวลาแม่กุ้งมันห่อไข่ มันจะม้วนหาง เหมือนหางด้วน ไข่มันห่อจะแน่นๆ เหมือนพวงองุ่น
จากนั้นก็แยกมาบ่อฟัก บ่อที่สอง ทำแบบบ่อแรก คือ ระดับน้ำ 20-30 ซม. ออกซิเจนเปิดให้แรง
3-4 สัปดาห์ ลูกกุ้งจะเป็นตัวและลงเดิน จากนั้นก็แยกแม่ไข่กลับมาที่บ่อผสมใหม่
รวมๆ ระยะเวลาประมาณ 45 วัน กุ้งออกมาเป็นตัวเท่าเม็ดข้าว หรือ 3 มิลลิเมตร จากนั้นก็อนุบาลลูกกุ้งต่ออีก 45 วัน ให้มันกินพวกสาหร่ายหางกระรอก, พุงชะโด ซึ่งสาหร่ายมันจะเป็นที่หลบของพวกมันด้วย
...
ระยะเวลาทั้งหมด 90 วัน ก็ได้เป็นลูกกุ้งที่สามารถจำหน่ายได้แล้ว อย่างน้อยตัวละ 2 บาท นี่คือวิธีการเพาะ หากเราไม่จำหน่ายลูกกุ้ง เราก็จะลงบ่อดินอีก 4 เดือน จะได้กุ้งเนื้อ 20-25 ตัว/กิโลกรัม ดังนั้นหากจะไล่ตั้งแต่ต้น ตั้งแต่ผสม ก็ใช้เวลา 7-8 เดือน
“การเลี้ยงกุ้งไม่ถูกกับสารเคมีใดๆ เลย เน้นการเลี้ยงออร์แกนิก หากลงบ่อปูน อาจจะใช้แร่ธาตุรวม ละลายน้ำ สาดทุก 2 สัปดาห์ เพื่อให้เขาสร้างเปลือก ดูดซึม ลอกคราบได้เร็ว แต่ถ้าเป็นบ่อดิน จะใช้จุลินทรีย์สังเคราะห์แสงในการบำบัดน้ำ กำจัดแก๊สไข่เน่า เดือนละครั้ง ตามอัตราส่วนของบ่อ ส่วนเรื่องน้ำ ออกซิเจน ความสกปรก ขี้กุ้ง ก้นบ่อ เราใช้วิธีการถ่ายน้ำประมาณ 50% ส่วนบ่อยหรือไม่ ขึ้นอยู่ตามความเหมาะสม ทุกคนที่เปลี่ยนน้ำต้องเติมแร่ธาตุด้วย”
1 เดือนทำงาน 10 วัน รายได้ 6 หลัก
นายจักรกฤษณ์เผยว่า ทุกวันนี้เรามีลูกฟาร์มทั่วอีสาน หลายๆ พื้นที่เขาทำนาเยอะ เราก็เข้าไปส่งเสริมให้เลี้ยงและมาขายให้กับเรา แต่ละเดือนขายได้ 1-2 ตัน รายได้ก็หลักแสนบาท ราคาที่ขายคือกิโลกรัมละ 400-500 บาท โดยปัจจุบันยังมีการส่งขายไปยังประเทศเพื่อนบ้าน ประกอบด้วย เมียนมา ลาว โดยเมื่อก่อนขายกัมพูชาด้วย แต่เดี๋ยวนี้ไม่ได้ส่งแล้ว นอกจากนี้ก็ส่งมาที่กรุงเทพฯ และหัวเมืองใหญ่ โดยเฉพาะร้านอาหารจีน ซื้อกุ้งเครย์ฟิชของเรา 100% เพราะเป็นอาหารที่เขากินอยู่แล้ว ฉะนั้นเมื่อเขามาเมืองไทย เขาก็จะสั่งกิน
“เครย์ฟิช” นั้น เปรียบเสมือนล็อบสเตอร์น้ำจืด ซึ่งหากเทียบรสชาติแล้ว ส่วนตัวคิดว่าอร่อยกว่าล็อบสเตอร์ เพราะเนื้อมันหวานโดยธรรมชาติ เวลาเรากัดเนื้อจะฟูและแน่น รับประกันเลยว่าดี แต่ข้อเสียคือ “เนื้อน้อย” อย่างไรก็ตาม มันเป็นสินค้าเฉพาะกลุ่ม ที่ไม่ได้มีขายทั่วไป และถึงวันนี้ตลาดก็ยังคงต้องการ...
เจ้าของฟาร์มกุ้งก้ามแดงกล่าวทิ้งท้ายว่า ทุกวันนี้ผมทำงาน 1 เดือนแค่ 10 วัน สัปดาห์ทำงานแค่ 2 วัน คือการจัดการส่งของลูกค้า เพราะเวลานี้การเลี้ยงของเราจัดการเข้าระบบหมดแล้ว จึงไม่จำเป็นต้องทำงานหนักเหมือนแต่ก่อนที่เป็นลูกจ้างเขา...
ที่มารูป : พิศาลเดช ฟาร์ม กุ้งก้ามแดง
อ่านบทความที่น่าสนใจ