ฟังบทวิเคราะห์จาก "นายพิสิฐ ลี้อาธรรม" อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ที่สุดแล้ว ดิจิทัลวอลเล็ตและแบงก์ชาติ อะไรคือ ปัญหา?“การใช้จ่ายเงินแผ่นดินจะต้องให้เกิดประโยชน์และคุ้มค่า และรัฐบาลจะต้องไม่ใช้จ่ายเงินเพื่อหวังประโยชน์ทางการเมือง”นายพิสิฐ ลี้อาธรรม อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง นโยบายดิจิทัลวอลเล็ต : นโยบายดิจิทัลวอลเล็ต (Digital Wallet) ซึ่งเป็นการดำเนินโครงการเติมเงิน 10,000 ผ่านดิจิทัลวอลเล็ต (Digital Wallet) นั้น มีปัญหามาตั้งแต่ต้นแล้ว และน่าจะจบลงตั้งแต่ที่รัฐบาลชุดนี้ ไม่กล้าเสนอพระราชบัญญัติกู้เงิน 5 แสนล้าน แต่ใช้วิธีฝ่ายบริหารโดยไม่เสนอเป็น พ.ร.บ.กู้เงิน ด้วยการดึงเงินจาก 3 แหล่ง1. ตัดลดงบประมาณรายจ่ายของปีงบประมาณ พ.ศ.2567 จำนวน 172,300 ล้านบาท2. ขยายการขาดดุลงบประมาณประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2568 จำนวน 152,700 ล้านบาท 3. พิจารณาขอยืมเงินจากธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร จำนวน 175,000 ล้านบาท “สิ่งที่รัฐบาลทำนั้นอธิบายง่ายๆ มันก็คือ หมอบอกว่าคนไข้ว่าต้องการเลือดใหม่ แต่แทนที่จะหาเลือดใหม่มาอัดฉีดให้กับคนไข้ แต่สิ่งที่หมอทำคือ….สูบเลือดออกจากคนไข้ แล้วนำมาฉีดคืนให้กับคนไข้ใหม่อีกครั้งหนึ่ง!” นายพิสิฐ ลี้อาธรรม อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง สูบเลือดจากคนไข้แล้วนำมาฉีดคืนให้คนไข้ คืออะไร? ข้อที่ 1. การตัดลดงบประมาณรายจ่ายของปีงบประมาณ พ.ศ.2567 จำนวนถึง 172,300 ล้านบาทข้อที่ 2. ขยายการขาดดุลงบประมาณประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2568 จำนวน 152,700 ล้านบาท“ทั้งหมดนี้จะเห็นได้ว่า มันไม่ได้เป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจแต่อย่างใด เพราะสิ่งที่จะเกิดขึ้นทันทีที่มีการนำเงินออกมา คือ บรรดาสถาบันการเงินต่างๆ ก็จะไม่สามารถนำเงินมาปล่อยกู้ให้กับธุรกิจได้ เมื่อเป็นเช่นนี้จะทำให้เกิดการหมุนเวียนของเงินในระบบเศรษฐกิจได้อย่างไร?” ข้อที่ 3. ขอยืมเงินจาก ธ.ก.ส. จำนวน 175,000 ล้านบาท “เท่าที่ผมได้ตรวจสอบ พบว่า ธกส.มีเงินอยู่ในบัญชีเหลือแค่ประมาณ 20,000 ล้านบาทเท่านั้น ฉะนั้น หาก ธกส.จะให้เงินกู้แก่รัฐบาลเพื่อนำไปใช้กับโครงการดิจิทัลวอลเล็ต ทางเดียวที่จะทำได้คือ ธกส.ต้องไปบีบรัดเอากับเงินที่ปล่อยกู้ให้กับเกษตรกรไปแล้ว เมื่อเป็นเช่นนี้ ผลที่ตามมาคือจะทำให้ภาคการเกษตรขาดเงินหมุนเวียนในระบบแน่นอน”ทำไมโครงการดิจิทัลวอลเล็ต ต้องกู้เงินจาก ธกส. “คำตอบ คือ ธกส.มีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเป็นประธาน ฉะนั้น โดยนัยจึงเหมือนว่า รัฐบาลจะสามารถควบคุมและสั่งการได้ ขณะที่สถาบันการเงินอื่นๆ นั้น อาจจะมีคณะกรรมการคอยดูแลอยู่ จึงอาจจะสั่งการได้ยากกว่า อีกทั้ง ธกส.ยังมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อช่วยเหลือเกษตรกร ดังนั้น รัฐบาลจึงสามารถอ้างได้ว่าส่วนหนึ่งของเงินกู้ 175,000 ล้านบาทนี้ จะถูกนำไปจัดสรรเพื่อแจกจ่ายให้กับกลุ่มเกษตรกรจำนวน 17 ล้านคนด้วย”ความสุ่มเสี่ยงของโครงการดิจิทัลวอลเล็ต? ดิจิทัลวอลเล็ต VS กฎหมาย “สิ่งที่ผมอยากตั้งข้อสังเกตในเรื่องนี้ คือ ประเด็นที่ 1. เพราะเหตุใด ทั้งๆ ที่เมื่อวันที่ 16 ม.ค. 67 คณะรัฐมนตรีเพิ่งมีมติอนุมัติ การกำหนดวงเงินงบประมาณรายจ่ายปี พ.ศ. 2568 เอาไว้ที่ 3.6 ล้านล้านบาท ขาดดุล 713,000 ล้านบาท ตามที่ 4 หน่วยงาน ซึ่งประกอบด้วย สำนักงบประมาณ, กระทรวงการคลัง, สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และธนาคารแห่งประเทศไทย นำเสนอ ตามมาตรา 24 ของ พระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. 2561 แต่แล้วในการประชุม 4 หน่วยงาน เมื่อวันที่ 5 เมษายน 2567 ซึ่งใช้เวลาในการประชุมเพียงแค่ 20 นาที จากนั้นได้มีการนำเสนอต่อคณะรัฐมนตรีให้ก่อหนี้เพิ่มเต็มจำนวน จนเป็นผลให้ต้องขาดดุลเพิ่มเป็น 865,700 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นการขาดดุลงบประมาณที่สูงที่สุดเป็นประวัติการณ์เท่าที่เคยมีการนำเสนอวงเงินงบประมาณของประเทศ” “ประเด็นที่ 2. เพราะเหตุใด ทั้งๆ ที่ พ.ร.บ.งบประมาณ ปี 2567 วงเงิน 3.48 ล้านล้านบาท ที่เพิ่งประกาศลงในราชกิจจานุเบกษาไปเมื่อวันที่ 26 เม.ย. แต่แล้วจู่ๆ รัฐบาล กลับมีการตัดงบประมาณดังกล่าวเพิ่มอีกถึง 150,000 ล้านบาท! ซึ่งการกระทำดังกล่าว นอกจากจะสร้างผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจ เนื่องจากถือเป็นการดึงเงินที่กำลังจะถูกปล่อยลงสู่ระบบกลับคืนแล้ว โดยส่วนตัวผมยังคิดด้วยว่า การกระทำดังกล่าว ถือเป็นการท้าทายอำนาจของฝ่ายนิติบัญญัติด้วย เพราะออกกฎหมายมาแล้ว กลับถูก Over rule โดยฝ่ายรัฐบาล ขณะเดียวกัน การตัดงบฯ มากถึง 150,000 ล้านบาท จาก พ.ร.บ.งบประมาณ ปี 2567 ที่ผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภา เพื่อหวังจะนำเงินไปใช้ในโครงการดิจิทัลวอลเล็ต ยังอาจเข้าข่ายการใช้งบประมาณแผ่นดินโดยไม่มีกฎหมายรองรับ ซึ่งสุ่มเสี่ยงต่อการทำผิด มาตรา 142 ของรัฐธรรมนูญปี 2560 ด้วย! คือ...ถ้าหากเป็นวงเงินเล็กๆ น้อยๆ ก็ยังพอว่า แต่นี่เงินเป็นแสนๆ ล้านบาท มันย่อมไม่ใช่เรื่องเล็กๆ ที่จะมาตัดงบฯ แล้วเอาไปโปะให้กับโครงการดิจิทัลวอลเล็ต เช่นที่รัฐบาลกำลังคิดอยู่ตอนนี้” ดิจิทัลวอลเล็ต VS กกต.“ตอนหาเสียงพรรคเพื่อไทยบอกว่าโครงการนี้ จะเป็นการดำเนินงานผ่านงบประมาณปกติ ด้วยการลดรายจ่ายในด้านอื่นๆ และหาทางเพิ่มรายได้ แต่แล้วเมื่อถึงเวลาที่จะทำจริงๆ สิ่งที่น่าแปลกคือ พรรคเพื่อไทยกลับไม่ได้ทำโครงการนี้ ตามที่ได้แจ้งเอาไว้กับทางคณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือ กกต. หนำซ้ำยังมีการไปตัดงบฯ ที่ผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภา และยังมีการเพิ่มเพดานการขาดดุล รวมถึงกู้เงินจาก ธกส.มาใช้สำหรับโครงการนี้ด้วย ทั้งหมดนี้ จึงเห็นได้ว่า...วิธีการที่นำมาใช้ล้วนแล้วแต่ไม่ได้ตรงกับที่ได้หาเสียงเอาไว้กับประชาชนเลยสักนิด ดังนั้น ผมจึงอยากขอเรียกร้องให้ กกต.เข้าไปตรวจสอบโครงการดังกล่าวด้วย” ดิจิทัลวอลเล็ต VS เศรษฐกิจ “ในมุมมองของผม ผลกระทบที่เลวร้ายที่สุด ซึ่งอาจจะเกิดจากโครงการดิจิทัลวอลเล็ตในแบบที่เข้าใจง่ายที่สุดคือ เมื่อคนไข้กำลังขาดเลือด แต่สิ่งที่ทำกลับเป็นการสูบเลือดออกจากคนไข้ คุณคิดว่า คนไข้จะเป็นอย่างไร?…. คำตอบก็คือ คนไข้จะต้องสลบถูกไหมครับ!มันก็เหมือนกับสิ่งที่รัฐบาลชุดนี้กำลังทำอยู่ นั่นคือการสูบเงินออกจากงบประมาณปกติมากถึงแสนล้านบาทไม่พอ ยังสูบเงินออกจาก ธกส.อีกเป็นแสนล้านบาทด้วย ทั้งๆ ที่เงินมหาศาลก้อนนี้ควรจะถูกนำไปใช้สำหรับให้มีการเบิกจ่ายตามปกติ โครงการต่างๆ ที่มีเงินหมุนเวียนอยู่ ก็ไปดึงของเขาออกมาแบบนี้ เศรษฐกิจของประเทศก็ต้องช็อกลำดับถัดไป เอาล่ะ!... รัฐบาลอาจจะบอกว่าจะนำเงินก้อนนี้มาจ่ายให้ แต่การจ่ายออกไปก็ยังมีคำถามอีกว่า...แล้วคนที่รับ เขาจะรับอย่างไร? รวมถึงการตรวจสอบการจ่ายเงินและการรับเงินมีความโปร่งใสมากน้อยขนาดไหน?” สิ่งที่ผมอยากตั้งข้อสังเกตอีกเรื่องคือ เพราะเหตุใดในเมื่อรัฐบาลชุดนี้มีความปรารถนาจะใช้นโยบายเงินหมุนเช่นเดียวกับของรัฐบาลของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เสียแล้ว เหตุใดจึงไม่ใช้ แอปพลิเคชันเป๋าตังในการแจกจ่ายเงินออกไป ซึ่งคนที่รับเงินก็สามารถนำไปใช้ได้ทันที ซึ่งก็ตรงไปตรงมาดี แต่รัฐบาลกลับเลือกไปใช้วิธีเลี้ยวลดคดเคี้ยว ซึ่งคนทั่วๆ ไป อาจจะยังไม่เข้าใจ แถมรัฐบาลยังต้องไปเสียเงินไม่รู้เท่าไรให้กับการสร้างแอปพลิเคชันใหม่ ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อทำออกมาแล้วมันจะถูกต้องหรือสามารถตรวจสอบเงินที่อาจจะตกหล่นที่นั่นที่นี่ ได้มากน้อยขนาดไหน ก็ไม่รู้เสียด้วย!”ความเห็นส่วนตัวคิดว่านโยบายดิจิทัลวอลเล็ต เป็นเรื่องที่ร้ายแรงและอันตรายมาก เพราะว่าระบบการคลังของเราจะเสียหายมาก เพราะสิ่งสำคัญที่ต้องไม่ลืมคือ เงินที่จ่ายไปมันเป็นภาระที่จะต้องมีการใช้คืน เพราะไม่เช่นนั้นมันจะกลายเป็นหนี้สาธารณะ ที่จะต้องเก็บภาษีมาใช้คืนอยู่ดี เพราะเงินสำหรับโครงการนี้ไม่ใช่จู่ๆ จะลอยขึ้นมาแล้วก็หายไปเฉยๆ ประเด็นสำคัญที่ผมอยากชวนทุกคนคิดอีกเรื่องก็คือ....ความเป็นธรรมในสังคมมีมากน้อยแค่ไหน ทำไม ต้องอายุ 17 ปี ถึงได้เงิน ทำไมเด็กอายุ 3 ขวบ หรือ 15 ขวบ จึงไม่ได้เงิน หรือเพราะมันเป็นการดำเนินนโยบายทางการเมือง เพื่อหวังผลในการเลือกตั้งครั้งหน้าที่คนอายุ 17 ปี จะมีสิทธิในการเลือกตั้งพอดีหรือไม่อย่างไร? ขณะเดียวกัน วิธีการนี้อาจกลายเป็นแบบอย่างให้กับการเลือกตั้งครั้งต่อไป ที่พรรคการเมืองต่างๆ อาจจะหาเสียงในลักษณะเดียวกันนี้ นั่นคือ สัญญาเอาไว้อย่างหนึ่งแต่พอถึงเวลาก็ทำอีกอย่างหนึ่ง จากการที่ไม่ได้มีการผ่านกระบวนความคิดที่รอบคอบ ถึงเวลาก็มาค่อยแก้กันทีละเปลาะๆ แบบลิงแก้แหเช่นนี้ “สมมติว่าในการเลือกตั้งครั้งหน้า มีพรรคการเมืองอื่นๆ ทำแบบเดียวกันนี้ แล้วบอกว่าจะแจกเงินสองหมื่น หรือสามหมื่นบาท คิดว่าในท้ายที่สุดแล้วมันจะเกิดอะไรขึ้น? ประเทศไทยเราก็คงกลายเป็นอาร์เจนตินาแห่งที่ 2 ของโลกไป”พล.อ.ประยุทธ์ VS เศรษฐา อะไรคือความแตกต่าง สิ่งหนึ่งที่ผมอยากชวนทุกคนร่วมกันคิด คือ ความแตกต่างระหว่างโครงการแจกเงินผ่านแอปพลิเคชันเป๋าตัง กับ โครงการดิจิทัลวอลเล็ต กรณีแรกนั้นเกิดขึ้นเพราะมีการแพร่ระบาดโควิด-19 จนเป็นผลให้นักท่องเที่ยวต่างชาติมากกว่า 40 ล้านคนต่อปีหายไปทันที ซึ่งมันเป็นสภาพที่เราต้องช่วยเหลือคนที่กำลังเดือดร้อนการแก้ไขปัญหามันจึงต้องออกมาในรูปแบบนั้น แต่กับกรณีของโครงการดิจิทัลวอลเล็ตนั้น สภาพเศรษฐกิจไม่ได้วิกฤติเหมือนช่วงโควิด-19 มันจึงจะไปทำในลักษณะแบบเดียวกันไม่ได้ เพราะเศรษฐกิจไม่ได้ติดลบเหมือนในช่วงนั้น อีกทั้ง ณ ปัจจุบัน ประเทศต่างๆ ก็กลับมาทำมาหากินกันตามปกติแล้วอีกด้วย ผลงานรัฐบาล 8 เดือน กับการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ “ผมขอพูดแบบนี้แล้วกันนะครับ เอาง่ายๆ ตอนนี้ ตลาดหุ้นไทย Market Cap หายไปแล้ว 3 ล้านล้านบาท หรือเกือบจะเท่ากับวงเงินงบประมาณเฉลี่ย ซึ่งปีๆ หนึ่งอยู่ที่ประมาณ 3.1 ล้านล้านบาท และนี่น่าจะเป็นคำตอบถึงคำถามนี้ได้ดีที่สุด” เพราะอะไรแบงก์ชาติ จึงต้องเป็นอิสระจากรัฐบาล วิกฤติต้มยำกุ้งเมื่อปี 40 คือตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุด เพราะก่อนหน้าที่จะเกิดวิกฤตินั้นมีข่าวลือเกิดขึ้นมากมายแล้วว่า สถาบันการเงินแห่งนั้นแห่งนี้จะล้ม แต่ด้วยความที่ธนาคารแห่งประเทศไทยในช่วงเวลานั้นยังไม่มีความเป็นตัวของตัวเองมากนัก จากการถูกนักการเมืองกลุ่มหนึ่ง เข้าไปกดดันไม่ให้ปิดสถาบันการเงินบางแห่งที่ตัวเองมีความใกล้ชิด แต่เมื่อประชาชนไม่หลงเหลือความเชื่อมั่นอีกต่อไป ผลลัพธ์สุดท้ายที่เกิดขึ้นคือ สถาบันการเงินต่างๆ ก็ค่อยๆ ทยอยพากันล้มตามกันเป็นโดมิโนมากขึ้นเรื่อยๆ และนี่คือหนึ่งตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดเมื่อแบงก์ชาติถูกแทรกแซงจากการเมือง “แบงก์ชาติถ้าจะต้องตัดสินใจเรื่องการเงิน หรือ สถาบันการเงิน จะต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานของความรับผิดชอบอย่างแท้จริง ไม่ใช่ถูกล้อมกรอบโดยนักการเมือง เพราะสัญชาตญาณของนักการเมืองมักชอบใช้เงิน ด้วยเหตุนี้ แบงก์ชาติจึงต้องทำงานโดยไม่อยู่ภายใต้อาณัติหรือการกำกับของรัฐบาล และเรื่องนี้ถือเป็นหลักสากลที่นานาประเทศยึดถือและปฏิบัติอยู่”แบงก์ชาติ ทำไมไม่ลดดอกเบี้ยนโยบาย “คำถามแรกนะครับ ถ้าลดดอกเบี้ยนโยบายตอนนี้แล้ว จะได้ประโยชน์อะไรหรือเปล่า?” ปัจจุบันดอกเบี้ยนโยบายของไทยเราก็ต่ำกว่าสหรัฐอเมริกา ชาติอาเซียน หรือแม้กระทั่งในเอเชีย ยกเว้นประเทศญี่ปุ่น แล้วจะเป็นไปได้อย่างไร ที่จะให้ดอกเบี้ยนโยบายลดต่ำลงไปให้ได้มากกว่านี้ มันผิดกลไกตลาดเงิน“คำถามที่สอง ถ้าลดดอกเบี้ยนโยบายตอนนี้แล้ว ใครจะได้ประโยชน์?”คนได้ประโยชน์ก็คือ สถาบันการเงินที่มากู้กับแบงก์ชาติ เพราะประชาชนทั่วไปไม่ได้มากู้เงินจากแบงก์ชาติแต่ประการใด เพราะฉะนั้น ถ้าหากอยากให้ประชาชนได้ดอกเบี้ยต่ำ ก็ควรไปสั่งให้ ธกส. ธนาคารออมสิน หรือธนาคารของรัฐ ลดดอกเบี้ยสิครับ หรือไม่รัฐบาลก็จัดประชุมกับธนาคารต่างๆ เพื่อให้ยอมลดดอกเบี้ยลง จริงๆ แล้วตอนนี้ กลไกดอกเบี้ยทำงานด้วยตัวของมันเองอยู่แล้ว เพียงแต่รัฐบาลไม่มีความเข้าใจในส่วนนี้ จู่ๆ ก็พยายามเข้ามาสั่ง ซึ่งการกระทำแบบนี้เป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง และจะยิ่งทำให้ความน่าเชื่อถือของระบบลดลงอีกด้วย ขณะเดียวกัน รัฐบาลชุดนี้ควรพิจารณาตัวเองด้วยว่าระบบการคลังมีความเข้มแข็งสักแค่ไหน มีการขาดดุลให้น้อยกว่านี้ได้ไหม เงินจะได้เหลือให้กับประชาชนได้กู้ต่อ แต่ถ้ารัฐบาลยังขืนที่จะขาดดุลมากขึ้นๆ แบบนี้ ก็เท่ากับเป็นการสูบเงินออกจากระบบ และทำให้เงินในระบบมีน้อยลง ดอกเบี้ยก็ต้องสูงขึ้นเป็นธรรมดาที่สำคัญไปกว่านั้น คือ รัฐบาลควรถามตัวเองด้วยว่า มีโครงการอะไรที่เป็นชิ้นเป็นอันมากพอที่จะชักชวนให้นักลงทุนต่างชาติเข้ามาลงทุนในประเทศไทยอย่างแท้จริงแล้วหรือยัง เพราะ 8 เดือนที่ผ่านมา มีเงินไหลออกนอกประเทศตลอดเวลา หุ้นก็ตกลงเรื่อยๆ เมื่อเป็นแบบนี้แล้วใครจะอยากมาลงทุนกันสิ่งที่รัฐบาลควรเร่งทำในเวลานี้ คือ ทุ่มเทในเรื่องของการชักชวนนักลงทุนต่างชาติให้เข้ามาลงทุนในประเทศไทย มากกว่าที่จะใช้จ่ายด้วยตัวเองหรือทำนโยบายที่ไม่เป็นชิ้นเป็นอัน เพราะมันเห็นแล้วว่าไม่ได้เกิดประโยชน์กับประเทศอย่างแท้จริง!”ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ รายงาน กราฟฟิก : Anon Chantanant