อาเรวัช กลิ่นเกษร ออกปากเตือน FC ลุงพล อย่าทำอะไรให้สังคมบิดเบี้ยว เชิดชูผู้ร้ายกลายเป็นพระเอก ทำอะไรต้องรู้จักมีมนุษยธรรม!...

ยังคงมีแฟนคลับติดตามอยู่ สำหรับ “ลุงพล” หรือ นายไชย์พล วิภา จำเลยในคดี “น้องชมพู่” หลังวานนี้ (20 ธ.ค.66) ศาลชั้นต้นได้อ่านคำพิพากษา ตัดสิน ลงโทษ 2 ข้อหา คือ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 251, 317 วรรคแรก ฐานกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย จำคุก 10 ปี และ ฐานพรากเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเสียจากบิดามารดาโดยปราศจากเหตุอันสมควร จำคุก 10  ปี 

เตือน FC ลุงพล-สื่อ อย่าทำคอนเทนต์บิดเบือน 

แต่วันนี้ (21 ธ.ค.) เรายังเห็นแฟนคลับของ “ลุงพล” ยังคงติดตาม และให้กำลังใจ ซึ่งถือเป็นเรื่อง 

ประเด็นนี้ พล.ต.ท.เรวัช กลิ่นเกษร อดีตผู้บัญชาการปราบปรามยาเสพติด ให้ความเห็น กลุ่มแฟนคลับที่ตามลุงพล ในเวลานี้ เขาคงอยากแค่ทำคอนเทนต์ หารายได้ ตามอัดคลิปวิดีโอ การกระทำดังกล่าว ก็เพื่อตัวเองจะได้มีรายได้ 

...

เมื่อก่อน กระแสไอ้พลมันดัง มันพูด มันเต้นได้ทุกวัน แต่ทุกวันนี้ที่ทำก็ต้องการเกาะกระแส หากินกันไป...เรื่องนี้ถือเป็นเรื่องปกติ อย่าซีเรียส ขณะที่ ตำรวจ ก็ต้องทำงานให้อยู่ในกรอบ 

เมื่อความจริงปรากฏแล้ว ศาลตัดสินแล้ว...เชื่อว่า เรื่องนี้น่าจะเบาลง แต่ยังคิดว่าพอขายได้ ถามว่า มีผลในทางกฎหมายหรือไม่ ก็เชื่อว่าไม่มี แต่...สิ่งที่ทำมันจะมีผลต่อกระแสสังคม มันจะกลายเป็นการกดดันผู้เสียหาย เพราะผู้เสียหาย คือ “แม่” ของคนตาย

“ลูกเขาตาย แต่ถ้าพวกมึงไปสร้างคอนเทนต์ สร้างความเคลือบแคลงเข้าใจผิด แบบนี้มัน “สังคมวิบัติ” แล้ว คนจะเป็นสื่อมันต้องมีจรรยาบรรณ และ มนุษยธรรม ควรรู้ว่าอะไรผิดถูก และอย่าทำอะไรที่คลุมเครือ สร้างสงครามข่าวสาร ทั้งหมดนี้ คือ การพูดรวมถึงสื่อทีวีด้วย ฝากไปถึงทุกช่อง”

สำหรับ สิ่งที่ต้องระมัดระวัง ในฐานะคนสาธารณะ และสื่อ ในฐานะตอนนี้มีผู้ติดตามในช่อง Tiktok มากกว่า 5 แสนคน พล.ต.ท.เรวัช กล่าวว่า “ผมไม่ใช่สื่อหรอก เพราะยังทำไม่เป็นเลย เมื่อเช้าจะกดถ่ายรูป ทำไม่เป็น กลายเป็นว่าไปโผล่ใน TikTok 

อย่างไรก็ตาม พล.ต.ท.เรวัช ย้ำว่า การที่มีผู้ติดตามเยอะ เราจะพูดอะไรก็ต้องคำนึงหลายๆ เรื่อง คือ 1.ต้องมีข้อเท็จจริง 2.ต้องคำนึงถึงคุณธรรมเป็นหลัก อย่าหวังแต่ผลประโยชน์ หรือรายได้ 

“คุณพูดอะไรไป ถ้าพูดไม่ดี อาจเข้าข่ายผิด พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์, หมิ่นประมาท จะติดคุก ดังนั้น จะพูดอะไร ก็ต้องคิด พูดให้ช้า เพราะคำพูดของเรา มันไม่ได้หายไปไหน อีก 20-30 ปี มันก็ยังอยู่ อย่าเอามันอย่างเดียว แต่ถ้าพูดผิด ก็ต้องขอโทษ อย่าอาย เช่น หากเคยพูดว่าลุงพล เป็นผู้บริสุทธิ์ โดนใส่ร้าย แต่เมื่อหลักฐานทุกอย่างชัดเจน จนกระทั่ง ศาลมีคำสั่งลงโทษ จำคุก 20 ปี แบบนี้ใครเคยพูดแบบนั้น ก็ต้องบอกว่าไม่เอาด้วยแล้วครับ”

ส่วนใคร บอกว่า คดีนี้ ชนะคะแนน ไม่ได้ชนะน็อก ซึ่งหากใครไม่ได้ดูอย่างถ่องแท้จะไม่เข้าใจ คดีนี้ตำรวจตั้งข้อหาฆ่าคนโดยเจตนา จนกระทั่ง ผู้พิพากษา อาวุโส บางท่าน ระบุว่า หลักฐานไม่ได้ระบุชัดว่า เป็นการฆ่าโดยเจตนา จึงมีการทำความเห็นแย้ง ซึ่งเรื่องนี้องคณะผู้พิพากษา จะมีความอิสระต่อกัน และมองว่า เอาเด็กไปปล่อย แล้วปล่อยให้ตาย ก็จึงเป็นที่มาของการลงโทษประมาท 

พล.ต.ท.เรวัช กล่าวว่า บางฝ่ายที่อยากให้ลุงพลสู้ต่อ บอกนี่ยังไม่ชนะน็อก...สู้ต่อๆ ถ้าชนะน็อก เสียงต้องเอกฉันท์ ก็แล้วแต่...ทุกคนมีความรู้ทางกฎหมาย ส่วนตัวผมเองก็พอมีบ้าง แต่ก็มีประสบการณ์การทำงานมา 42 ปี บางคนคิดว่า น่าดีใจ หากอุทธรณ์ไปอาจมีทางรอด 

“ส่วนตัวผม ผมมองว่า มันอาจจะไม่เจตนาฆ่า แต่สิ่งที่เกิดขึ้น มันอาจจะมีความเชื่อ หรือแรงจูงใจบางอย่าง ซึ่งบางคน มันอาจจะเอามาบูชายัญ หรือทำอะไรพิเรนทร์ หากเป็นมนุษย์ธรรมดาไม่มีใครกล้าฆ่าเด็ก...ผมไม่กลัวโดนฟ้อง ใครฟ้องผมก็ดี เพราะจะได้มีโอกาสเจอกันในศาล เพราะสิ่งที่พูด มาจากเจตนาบริสุทธิ์ พูดแล้วเกิดประโยชน์ กับสังคมเราก็จะทำ”

...

สังคมบิดเบี้ยว ผู้ร้ายกลายเป็นพระเอก เตือนระวังการเลียนแบบ 

พล.ต.ท.เรวัช เตือนสติ ว่า การไปสนับสนุนคนร้าย ทำให้คนร้ายกลายเป็นพระเอก สิ่งที่ต้องระวัง จะเกิดการเลียนแบบ หากเรายกย่องคนดี เช่น คนช่วยเก็บขยะ ทำประโยชน์ให้สังคม แบบนี้ โอเคเลย ส่วนคนที่ทำเรื่องไม่ดี อย่าง “แป้ง นาโหนด” เขาเป็นคนร้าย ไปชื่นชม “ลุงพล” ศาลตัดสินแล้ว ก็ไปชื่นชม เรื่องนี้น่าเป็นห่วงสังคม กลัวจะบิดเบี้ยวไป...

ส่วนการที่นักกฎหมายบางคน ที่มีพฤติกรรมหิวแสง นั้น พล.ต.ท.เรวัช ไม่อยากกล่าวถึง เพียงแต่พูดสั้นๆ ว่า “ทางคน คนเดิน ทางหมา หมาเดิน” ผมไม่ขอยุ่งด้วย ทุกคนรู้อยู่แล้ว ต่างผ่านการศึกษาเรียนรู้มาทั้งสิ้น ขออย่าเดียว “อย่ามายุ่งกับกู” ส่วนใคร จะเป็นอย่างไร...เชื่อว่าสังคมเขาตัดสินได้ 

ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ รายงาน 

อ่านบทความที่น่าสนใจ 

...