ครูพละหนัก 140 กิโลกรัม เป็นเบาหวาน ฉีดอินซูลินทุกวัน เคยเข้า ICU เฉียดตาย! สุดท้ายหายได้ด้วยการวิ่ง และดูแลตัวเอง...

พุทธพจน์ประโยคหนึ่ง บอกไว้ว่า "อโรคยา ปรมาลาภา" ความไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐ

ซึ่งการจะไม่มี 'โรค' ก็ต้องแลกมากับการ 'ดูแลตัวเอง' และ 'รักตัวเอง' แม้เราจะรู้กันเช่นนี้ แต่บางครั้งก็ 'เผลอ' ลืมใส่ใจสุขภาพ ปล่อยให้ร่างกายพังไปเรื่อยๆ กว่าจะรู้ตัวอีกที ก็เกือบสายไปเสียแล้ว

วันนี้ ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ มีเรื่องราวที่ได้สนทนากับชายที่ชื่อ 'ปุ้ย-สัจจา ลิ้มประเสริฐ' ถึงช่วงหนึ่ง ที่เขาก็เคย 'ลืม' รักตัวเอง ปล่อยให้ร่างกายทำงานอย่างหนักหน่วง มีโรคแทรกซ้อน เป็นเบาหวาน จน 'เฉียดตาย' มาแล้ว

ต่อจากนี้คือเรื่องราวของ 'คุณปุ้ย' ที่เขาภูมิใจส่งต่อ เพื่อหวังจะเป็นวิทยาทาน และแรงบันดาลใจ ให้ทุกคนหันมา 'รักตัวเอง' ในวันที่ยังทำมันทัน

...

สูบบุหรี่หนัก ดื่มเหล้าเยอะ เป็นเบาหวานแต่ไม่กินยา :

ก่อนหน้านี้ 'คุณปุ้ย' มีพฤติกรรมส่วนตัวแบบใช้ชีวิตเต็มที่ ชนิดที่เรียกได้ว่า 'ไม่รักตัวเอง' สักเท่าไร ทั้งกินหนัก เที่ยวเยอะ สูบบุหรี่ และดื่มเหล้าอย่างหนักหน่วงตั้งแต่สมัยเรียน และมีพฤติกรรมแบบนี้เรื่อยมา หลังจบการศึกษาปริญญาตรี และทำงานเป็นครูพละ คุณปุ้ยเริ่มมีเงินเดือน ยิ่งทำให้เขาเที่ยวหนักมากขึ้นไปอีก...

"ผมมีพฤติกรรมแบบนี้สะสมมาหลายปี หนักสุดคือกินเหล้าและสูบบุหรี่เยอะมาก ที่จริงตัวผมเองก็เป็นครู ผมรู้อยู่แล้วว่าสิ่งที่ตัวเองทำอยู่มันไม่ใช่เรื่องดี เพราะตัวเองก็จบพลศึกษามา เรียนเนื้อหาเกี่ยวกับทางนี้โดยตรง รู้ทั้งรู้ แต่มันเหมือนว่า 'ไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตา' เรารู้โทษของมันอยู่แก่ใจ เอาเนื้อหาสอนเด็กด้วยซ้ำ แต่ตัวเองกลับทำไม่ได้"

คุณปุ้ย เล่าต่อว่า ผมเป็นโรคเบาหวานมาหลาย 10 ปี แล้ว เรารู้ตัวเองมาตลอด แต่เราขาดยา เพราะมีความคิดว่า 'เดี๋ยวเราก็ไปอดอาหารเอา ไปออกกำลังกาย โดยที่ไม่ต้องพึ่งยา' แต่ในความเป็นจริงแล้ว 'ทำไม่ได้' อีกอย่างคือเรายังไม่เห็นว่าตัวเองจะเป็นอะไร ยังไม่ตายนี่หว่า เลยทำให้กินและใช้ชีวิตไปปกติแบบที่เคยเป็นมา

อาการแทรกซ้อนตอนเป็นเบาหวาน :

คุณปุ้ยเล่าความทรมาน เมื่อครั้งยังเป็นเบาหวาน ให้ทีมข่าวฯ ฟังว่า เมื่อก่อนเขาเป็นคนอ้วน แล้วยังเป็นเบาหวาน จึงมีช่วงหนึ่งของชีวิต ที่ฝีขึ้นตามร่างกายบ่อยมาก บ่อยจนทำให้เขาต้องเข้าผ่าตัดใหญ่มาแล้ว

"ตอนนั้นต้องผ่าตัดฝีที่ก้น เพราะมันเป็นฝีเรื้อรัง ผมต้องไปทำ MRI (Magnetic Resonance Imaging : เครื่องมือในการตรวจหาความผิดปกติของร่างกาย โดยใช้เครื่องสนามแม่เหล็ก และคลื่นความถี่วิทยุ สร้างภาพที่มีความละเอียดสูง) 

ฝีมันกัดกินกล้ามเนื้อส่วนก้น จนเป็นโพรง มันกินไปขนาดนั้น… ต้องผ่าตัดใหญ่เพื่อ ไล่ฝีออกมาให้หมด แต่ผ่าตัดไปก็ไม่หายสนิท เพราะพฤติกรรมการกินยังเหมือนเดิม เบาหวานก็คุมไม่ได้"

ป่วยหนัก! เข้า ICU ครั้งแรกในชีวิต และความทรมานที่ฝังใจ! :

คุณปุ้ย เล่าว่า ตอนที่เข้า ICU ครั้งแรก เกิดขึ้นประมาณ 6-7 ปีที่ผ่านมา...

อยู่ดีๆ วันหนึ่ง เบาหวานทำให้เราน็อกไปเลย ต้องเข้า ICU ใช้ท่อช่วยหายใจ มีฝีขึ้นที่ตับ มีไข้ เหมือนหนาวสั่นตลอดเวลา ตอนนั้นยังไม่รู้ว่าตัวเองเป็นอะไร ตอนแรกนึกว่าตัวเองเป็น โควิด-19 แต่ไปๆ มาๆ เป็นการติดเชื้อในกระแสเลือด หมอก็เลยใส่ท่อให้เลย 

...

"ความรู้สึกตอนนั้น ไม่คิดว่าจะหนักขนาดนั้น ผมจำได้ว่า... ผมหนาวแบบไม่เคยหนาวมาก่อน หายใจติดขัดไป และหายใจไม่สะดวก คนรอบข้างตกใจกันหมด ตอนนั้นผมหาหมอที่ปราจีนบุรี แฟนอยู่โคราช เขารีบขับรถมาหา นั่งร้องไห้ตลอดทาง คิดว่าผม คงจะไปแล้ว และคงจะไม่รอดแล้ว

ผมรักษาตัวอยู่ใน ICU 2 คืน แล้วก็ออกมานอนแอดมิตในโรงพยาบาลประมาณ 2 สัปดาห์ แล้วก็ออกมาพักฟื้นที่บ้านต่อ ก่อนจะกลับไปทำงานตามปกติ"

ความทรมาน…

คุณปุ้ยเล่าความทรมาน ในขณะที่ตนเองต้องอยู่ใน ICU ให้ทีมข่าวฯ ฟัง แม้จะไม่ได้เห็นหน้า แต่เราก็พอจะจินตนาการสีหน้าของเขาได้ จากการฟังน้ำเสียงที่เล่าออกมา...

"ตอนที่เข้า ICU ผมยังรู้เลยว่าตัวเองเป็นอะไร แต่มันต้องใส่ท่อในปากด้วย ทำให้เราพูดไม่ได้ ความรู้สึกตอนนั้นทรมานสุดๆ ตอนที่แทงคอใส่ท่อลงไป นั่นเหมือนเป็นความเจ็บที่สุดในชีวิตเลย เรารู้สึกอยากจะอ้วกตลอดเวลา ผมต้องใส่สายปัสสาวะด้วย มันเจ็บ...เจ็บมาก แล้วเจาะน้ำเกลือก็ไม่ได้มีแค่ตรงข้อมือ ตรงข้อเท้าก็ต้องใส่หมด"

...

"ในคืนแรกหลังจากนอน ICU ผมมีไข้ขึ้น พออาการเป็นแบบนั้นปุ๊บ คุณหมอรวมกับคุณพยาบาลประมาณ 4 คน เขามารุมกันอยู่รอบเตียงผม ถอดเสื้อผ้า เช็ดตัวให้ ตอนนั้นมันเหมือนฉากในหนังมาก ความรู้สึกเหมือนคนจะตาย แต่ผมรู้สึกตัวตลอด ได้ยินคนอื่นคุยตลอด แต่ก็ยังไม่รู้ว่าตัวเองเป็นอะไร

ตอนที่ออกจาก ICU ผมต้องรักษาเบาหวานต่อ โดยการฉีดอินซูลินเข้าหน้าท้อง เพราะหมอบอกเราเลยว่าแค่กินยาเอาไม่อยู่แล้ว ต้องฉีดทุกวัน เช้า-เย็น วันละ 80 ยูนิต"

จุดเปลี่ยนชีวิต หันมาดูแลตัวเอง :

แม้ว่าคุณปุ้ยจะผ่านช่วงชีวิตที่แฟนมองว่า 'เกือบตาย' มาแล้ว แต่เขาเองก็ 'ไม่เข็ด' ยังคงกลับไปใช้ชีวิตแบบเดิม ไม่คุมอาหาร-ดื่มเหล้า-สูบบุหรี่ 

แต่แล้ววันหนึ่ง! ชีวิตและความคิดของคุณปุ้ย ก็ต้อง 'เปลี่ยนไปตลอดกาล' เมื่อเขาลงวิ่งฮาล์ฟมาราธอน...

คุณปุ้ย เล่าว่า ผมไปลงวิ่งฮาล์ฟมาราธอน ระยะทางประมาณ 21 กิโลเมตร พอวิ่งจบปุ๊บ! เหมือนเรากลายเป็นคนพิการปั๊บ! ตอนนั้นอาการมันหนักมาก เราบาดเจ็บไปหมด คิดว่ามาวิ่งแล้วมันจะแข็งแรงขึ้น แต่ยิ่งวิ่งยิ่งบาดเจ็บ เพราะเราตัวหนัก ได้แต่คิดในใจว่า 'ทำไมร่างกายมันพังขนาดนี้'

...

แฟนเห็นว่า 'ไม่ได้แล้ว' ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปผมต้องแย่อีกแน่ๆ เขามีเพื่อนเป็นโค้ชโภชนาการ ก็เลยให้ผมลองไปคุย เข้าคอร์สคุมอาหารตามตารางที่โค้ชวางให้

"ตอนหันมาเริ่มคุมอาหาร เป็นอะไรที่ยากมากครับ แต่เราเห็นตัวเองตอนนั้นแล้วว่าไม่ไหวแล้วจริงๆ เลยเริ่มตั้งใจจริง เราตั้งใจกับตัวเองว่า ขอสักครั้ง ขอครั้งสุดท้าย ถ้าครั้งนี้น้ำหนักมันไม่ลง ไม่ดีขึ้น ก็ช่างมันแล้ว จะใช้ชีวิตปกติ ยอมตายไปแบบนี้ ขอครั้งนี้อีกครั้งเดียว แต่ช่วงนั้นก็ทำได้ครับ ผมไม่หลงโปรแกรมเลย และมองว่าทำมันได้ดีด้วย"

น้ำหนักลด 30 โล เบาหวานหาย เพราะดูแลตัวเอง :

คุณปุ้ย เริ่มลดจริงจังเมื่อประมาณเดือนพฤศจิกายน 2565 เขาใช้เวลาเพียง 3 เดือน จากน้ำหนัก 140 กิโลกรัม ลดเหลือประมาณ 110 และเหลือ 107 กิโลกรัมในปัจจุบัน เท่ากับว่าระยะเวลาประมาณ 3 เดือน คุณปุ้ยลดน้ำหนักไปกว่า 30 กิโลกรัม

"เราไม่ได้หักโหม เพราะทำตามตารางที่เขาวางไว้ให้ มันลงเร็วเพราะเรากินอาหารน้อย และออกกำลังกายเยอะ การออกกำลังกายของผม หลักๆ คือ 'การวิ่ง' เพราะผมเป็นคนชอบวิ่ง 

แล้วก็คุมอาหาร 70% ออกกำลังกาย 30% แต่ก่อนเราออกกำลังกายอย่างเดียว แต่ไม่คุมอาหารมันก็ไม่ลง หรือเราคุมอาหารอย่างเดียว ไม่ออกกำลังกาย มันก็ลงช้า แต่ถ้าทั้ง 2 ควบคู่ไปด้วยกันมันก็จะเร็ว

หลังจากเข้าคอร์ส 3 เดือนแล้ว นอกจากน้ำหนักจะลดไปกว่า 30 กิโลกรัม ผมก็ไม่ต้องฉีดอินซูลินอีกแล้ว หมอสั่งงดยา เพราะระดับน้ำตาลกลับมาเป็นปกติ นั่นหมายความว่า 'โรคเบาหวาน' ก็หายไปด้วย! วันนั้นตัดสินใจถูกมาก เพราะถือว่าเปลี่ยนชีวิตเราไปเลย"

เลิกบุหรี่แบบหักดิบ! :

ทีมข่าวฯ ถามคุณปุ้ยว่า "ลดน้ำหนักได้แบบนี้ ยังสูบบุหรี่และดื่มสุราอยู่ไหม"

คุณปุ้ย ตอบอย่างภูมิใจว่า ตั้งแต่เริ่มจริงจังรอบล่าสุด ผมก็เลิกสูบบุหรี่ไปแบบหักดิบ มันไม่ได้มีอาการข้างเคียงใดๆ แต่บางครั้งใครเดินสูบผ่านหรือได้กลิ่น เรายอมรับว่าก็รู้สึกอยากจะสูบ แต่อย่างไรก็ตามมันก็ไม่สามารถทำอะไรเราได้ เพราะว่าใจเราแน่วแน่มากพอ มันเลยเป็นเหตุผลที่ทำให้ผมผ่านมาได้  

"ที่ผ่านมาเราเคยพยายามเลิกหลายรอบแล้ว โดยการค่อยๆ ลด แต่พอลดได้ เราก็กลับไปเป็นแบบเดิมอีก วนเวียนซ้ำๆ อยู่แบบนี้เป็น 10 ปี แต่พอเราตั้งเป้าจะหักดิบให้ได้ ตั้งแต่วันนั้นจนวันนี้เราก็ไม่ได้สูบอีกเลย ไม่มีบุหรี่สักมวนที่เข้าปากเราเลย แต่สุรามีดื่มบ้างเวลาเข้าสังคม นานๆ ที ปีละ 1-2 ครั้ง ดื่มแบบจิบๆ"

เท่ากับว่าตอนนี้คุณปุ้ย เลิกบุหรี่มาได้ประมาณ 1 ปีแล้ว!!!

ชีวิตที่เปลี่ยนไป และความภาคภูมิใจ ของชายชื่อ 'ปุ้ย' :

คุณปุ้ย กล่าวด้วยน้ำเสียงสดใส ฟังแล้วทำให้เรารู้สึกว่า เขาประทับใจกับเรื่องนี้มาก 

เขาบอกกับเราว่า "ชีวิตเปลี่ยนไปมาก อย่างแรกเลย กลายเป็นคนที่มีระเบียบวินัยมากขึ้นกับหลายๆ เรื่อง พฤติกรรมการใช้ชีวิตของเราทุกอย่างเปลี่ยนไปหมด เพราะผ่านช่วงยากลำบากในชีวิตมาแล้ว 

กลายเป็นคนที่ไม่ค่อยขี้เกียจในการเดิน สามารถเดินไกลๆ ได้ แต่ก่อนเวลาจะไปห้างทีนึง ต้องพยายามหาที่จอดรถที่ใกล้ประตูที่สุด เพราะจะได้ไม่ต้องเดินไกล แต่ตอนนี้จอดไกลได้ เราเดินไหว เราอยากเดิน ในหัวสมองเราเหมือนกลายเปนเครื่องคำนวณแคลอรี ว่าวันหนึ่งต้องเดินเท่าไรๆ"

คุณปุ้ย เล่าต่อว่า เมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน 2566 เพิ่งจบจากการวิ่งมาราธอน ครั้งแรกในชีวิต เราไม่เคยคิดว่าจะทำมันได้ เพราะว่าระยะทางครั้งนี้มากถึง 42.195 กิโลเมตร แต่มันก็ไม่ใช่ว่าผมจะวิ่งวันเดียวได้เลยนะครับ ผมต้องซ้อมวิ่งสะสมระยะทางก่อน เดือนละประมาณ 200 กว่ากิโลเมตร ผมวางแผนซ้อมไว้ 3 เดือน สะสมมาเรื่อยๆ ซ้อมจริงจังตามตาราง ไม่ขาดตกบกพร่อง

"ใครจะคิดว่าคนอ้วนๆ อย่างผม จากคน เสเพล ที่วิ่งจบฮาล์ฟมาราธอน แล้วร่างกายพังไม่เป็นท่า จะสามารถวิ่งจบมาราธอนที่เป็นที่สุดของนักวิ่งได้ เขาว่ากันว่า มีแค่ 1% บนโลกนี้ที่สามารถจบมาราธอนได้ 

เหมือนฝันเหมือนกันนะครับ เราวิ่งไปได้ยังไงตั้ง 40 กิโลเมตร แต่ก่อนวิ่งแค่กิโลกว่าก็เหนื่อยจะตายอยู่แล้ว"

การได้เป็นบุคคลตัวอย่าง ที่ส่งต่อสิ่งดีๆ ให้คนอื่น :

คุณปุ้ย กลายเป็น 1 ในแรงบันดาลใจของใครหลายคน ให้ลุกขึ้นมาดูแลตัวเองอีกครั้ง มีคนทักมาขอคำแนะนำจากคุณปุ้ย ในเฟซบุ๊กเป็นจำนวนมาก และเขาเองก็ยินดีที่จะตอบทุกคน แบบไม่เกี่ยงเลย…

"ผมภูมิใจในตัวเอง และดีใจที่ตัวเองสามารถเป็นแรงบันดาลใจให้คนอื่นต่อได้ ทั้งหลายทั้งปวงคงไม่เกิดขึ้นเลย ถ้าแฟนผมไม่แนะนำเรื่องดีๆ ให้ในวันนั้น แฟนผมนี่สุดยอดมาก สู้มาด้วยกัน ให้กำลังใจกันมาตลอด 

พอเราดีขึ้นปุ๊บ คนรอบข้างเรา คนในชุมชน คนในโซเชียล ก็เห็นเราเป็นเหมือนไอดอล ก็ทักแชตมาถามกันเยอะมาก กินยังไง ลดยังไง เราก็ออกตัวว่าไม่ได้เก่ง บอกได้เท่าที่รู้ เราบอกเขาไป เขาก็ไปทำตามกันเยอะมาก 

อีกอย่างคือ… ผมเป็นคนไข้ตัวอย่างของโรงพยาบาล เป็นเคสตัวอย่างในคลินิก 'เบาหวานหายได้' มันเหมือนฝันจริงๆ แต่ผมไม่ได้มองว่าตัวเองเก่งอะไรนะครับ ตอนนี้ก็ยังอ้วนอยู่ แต่ลดลงไปจากเดิมเยอะมาก ทั้งที่ผ่านมาไม่เคยคิดว่าจะทำได้" เขากล่าวกับเราอย่างถ่อมตน

แนะนำการกิน-ออกกำลังกาย ดูแลสุขภาพ :

คุณปุ้ย บอกว่า อยากฝากถึงคนที่เป็นโรคเบาหวาน... อย่างแรกเราต้องเปลี่ยนความคิดก่อนเพราะว่า 'เบาหวานหายได้' ซึ่งผมลองแล้ว ทำได้แล้ว เอาตัวเองเป็นคนทดลองเลย ผมทำได้ คุณก็ต้องทำได้

แม้รายละเอียดการดูแลตัวเองนั้นมันจะมีหลายอย่าง แต่เบื้องต้นที่ทุกคนทำได้แน่นอน คือ พยายามคุมอาหาร และออกกำลังกาย มันไม่จำเป็นที่จะต้องไปอดอาหาร กินไปเลยให้ครบ 3 มื้อ แต่สิ่งสำคัญคือการคุมปริมาณ และต้องลดอาหารตระกูลคาร์โบไฮเดต แป้ง ข้าว น้ำตาล 

"ผมยกตัวอย่างที่เคยกินใน 1 มื้อ เวลากินข้าว ผมจะเน้นการกินข้าวกล้อง หรือไรซ์เบอร์รี มื้อละ 100 กรัม, เนื้อสัตว์ 100 กรัม, ผัก 100 กรัม, ผลไม้ที่ไม่มีรสหวานวันละ 1 ลูก, นมจืดวันละ 1 ขวด หรือ 200 มิลลิลิตร แต่ถ้าใครจะไม่กินนมก็ได้ ไม่เป็นไร 

มันอาจจะฟังดูยุ่งยากนะ แต่ว่าผ่านไปได้สัก 2 อาทิตย์ ทุกอย่างจะเริ่มลงตัว แรกๆ เราจะต้องชั่งน้ำหนักอาหารทุกอย่าง ยุ่งยากมาก หลังๆ เราก็จะกะปริมาณได้เอง เพราะชินมือแล้ว เมื่อทำไปได้สักระยะหนึ่ง พอน้ำหนักมันลง ตัวเลขเห็นชัดเจน ก็จะเป็นแรงผลักดันให้เราอยากทำต่อไปเรื่อยๆ"

ออกกำลังกาย...

นอกจากนั้น คุณปุ้ยยังแนะนำการออกกำลังกายง่ายๆ ว่า ส่วนตัวผมชอบวิ่ง เพราะไม่ต้องไปรอใคร เราใส่รองเท้าออกไปได้คนเดียว เราได้อยู่กับตัวเอง ได้มีสมาธิด้วย การวิ่งแรกๆ คุณอาจจะรู้สึกเจ็บเท้า หรือเจ็บร่างกายไปหมด ให้ลองเปลี่ยนเป็นเน้นการเดิน 

อาจจะมีคนบอกว่าวิ่งเยอะๆ แล้วข้อเข่าเสื่อม ผมทำให้เห็นแล้วว่า ผมไม่เป็นอะไร โรคประจำตัวก็หายด้วย น้ำหนักเป็น 100 ยังผ่านมาได้ แต่ถ้าคุณไม่ชอบวิ่ง กีฬาอื่นก็เล่นได้หมดเลย หรือไม่ก็คาร์ดิโอที่ห้องก็ได้ ประมาณ 30-45 นาทีต่อวัน แค่นี้ผมว่าก็เป็นการเริ่มต้นที่ดีมากแล้ว

"กำลังใจเป็นสิ่งสำคัญครับ แต่ตัวเราสำคัญสุด อย่างผมต่อให้มีใครมาบอกอะไรแค่ไหน ก็ยังไม่ทำ จนวันหนึ่งเกิดกับตัวเอง ไม่เห็นโลงศพ ไม่หลั่งน้ำตา ต่อให้เรามีกำลังใจดีแค่ไหน แต่ถ้าไม่มีวินัยมากพอ มันก็เท่านั้นครับ

คนที่ยังลังเลกับการออกกำลังกาย ผมอยากให้ทุกคนหันมารักตัวเอง หากใครบอกไม่มีเวลา ผมอยากให้สละเวลาเช้า-เย็น รอบละครึ่งชั่วโมง เพื่อดูแลตัวเอง ทุกอย่างอยู่ที่ 'อดทนอย่างเดียว'

เรากินอย่างนี้มาเป็น 10 ปี ถ้าจะไปหวังเดือนเดียวแล้วเห็นผล มันก็คงเป็นไปได้ยาก ดังนั้น อยากให้อดทน และผมขอเป็นกำลังใจให้ทุกคน ผ่านช่วงเวลาที่รู้สึกยากลำบากไปให้ได้ครับ"

ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ รายงาน

ภาพ : สัจจา ลิ้มประเสริฐ

อ่านบทความที่น่าสนใจ :