คุยกับเจ้าของฟาร์มเลี้ยงปลานิลเงินล้านระดับประเทศ ที่เริ่มต้นจากเด็กลากปลา เผยเคล็ดลับ การเพาะปลาขาย รายได้ดี แต่ก็มีความเสี่ยงที่ต้องเรียนรู้...
เป็นอีก 1 เสียง ที่ยืนยันว่า อาชีพ “เกษตรกร” ก็รวยได้ ขอแค่รู้ ตั้งใจทำ ก็มีโอกาสประสบความสำเร็จ...
นายอำนาจ บุญสวัสดิ์ เจ้าของ เผือก เจริญฟาร์ม ตั้งอยู่ที่ หมู่ 4 ต.ดอนคา อ.บางแพ จ.ราชบุรี คือหนึ่งในเกษตรกรผู้เลี้ยงปลานิล ประสบความสำเร็จ ทั้งที่มีความรู้เพียงชั้น ป.6 ที่แรกเริ่มเดิมที เป็นแค่ “เด็กลากปลา”
พี่เผือก อำนาจ เล่าว่า ตัวเองเป็นลูกหลานเกษตรกร ชาวนา เด็กๆ ก็ช่วยพ่อแม่เกี่ยวข้าว หลังจบ ป.6 ก็ไม่ได้เรียนต่อ กระทั่งมีญาติมาชวนไปลากปลา ไปตกปลา
เมื่อได้ไปทำรู้สึกว่าชอบมาก ก็เลยไปรับจ้าง “ลากปลา” ตอนสมัยอายุ 13 ปี ทำงานตั้งแต่ 6 โมงเย็น ยัน 6 โมงเช้า ได้ค่าแรงวันละ 100 บาท สิ่งที่คิดเวลานั้น คือ เงินมันน้อยมาก จะหาเงินยังไงให้ได้สักก้อน
...
เราทำอย่างนั้น อยู่ 3 ปี ค่อยๆ เก็บหอมรอมริบ จนได้เงินมาระดับหนึ่ง จึงตัดสินใจซื้อรถกระบะเก่าๆ คันหนึ่ง เพื่อเป็นนายหน้าขายปลา
“เราไปรับซื้อปลาจากเกษตรกร ที่หน้าฟาร์ม และเอาไปขายที่ตลาดบางเลน เน้นซื้อปลาตัวละ 7-8 ขีด กิโลกรัมละ 12-13 บาท ไปขาย ในราคา 22-23 บาท หากขายไม่หมด ก็จะลดราคา เหลือ 17-18 บาท ซึ่งก็ถือว่าได้เงินเป็นกอบเป็นกำ”
นายอำนาจ เล่าว่า หลังจากทำอย่างนี้ได้ 10 ปี เริ่มมีคู่แข่งทำตาม นำปลาเป็น ติดเครื่องออกซิเจน มาขายบ้าง บางคนถึงขั้นขายตัดราคา กำไรกิโลกรัมละ 1 บาท ก็ยอม...
เข้าสู่วงการ “เลี้ยงปลา” เริ่มต้นด้วยการเช่าที่ 30 ไร่
เจ้าของ “เผือก เจริญฟาร์ม” เผยว่า หลังจากนั้น เราตัดสินใจเลี้ยงปลาเอง โดยเน้นไปที่ “ปลานิล” มานิตย์ เนื่องจากมีการพัฒนาสายพันธุ์ให้เป็นปลานิลที่โตเร็ว โดยทำแล้วสามารถส่งขายให้กับผู้ประกอบการเจ้าใหญ่ๆ ได้ ประกอบกับมีผู้ใหญ่ใจดีให้การสนับสนุน จัดจำหน่ายปลานิลให้เราทุกเดือน ทำให้ทุกวันนี้สร้างรายได้เป็นอย่างดี
โดยเรามีหลักการขาย 2 แบบ คือ ขายลูกปลา ขนาดเท่าใบมะขาม ประมาณ 30-35 ตัว 1 กิโลกรัม
“การขายปลาของเรา จะขาย 2 แบบ คือ ขายแบบลูกปลา ขนาดเท่าใบมะขาม โดยเรารับปลามาในราคา 60-72 สตางค์ ตัวเล็กๆ เมื่อมันเริ่มโต เท่าขนาดใบมะขาม เราจะขายตัวละ 3.50 บาท ซึ่งเป็นราคาที่เราสามารถกำหนดเองได้ ในขณะที่ เป็นปลาใหญ่ จะขายตามราคาตลาด”
การขายลูกปลานั้น เราทำแบบนี้มานับสิบปีแล้ว เพราะเมื่อก่อนยังไม่มีการตั้งราคา เราจึงมีโอกาสได้ตั้งเอง โดยเริ่มขายที่ 3.50 บาท เมื่อขายไปสู่ทางอีสาน จะราคา 6-7 บาท เพราะการส่งไปขายนั้น จะมีการรับประกันการตายด้วย เช่น เราส่งปลาเป็นไป 100 ตัว เมื่อไปถึง ในระยะเวลา 3-7 วัน ก็จะดูว่ามีเหลือกี่ตัว ตายไปกี่ตัว สมมติว่าเหลือ 80 ตัว เราก็จะขายในราคา 6-7 บาท ได้ในราคา 80 ตัว
ความเสี่ยง และเคล็ดลับการเลี้ยง
กูรูการเลี้ยงปลานิล เผยว่า เคล็ดลับการเลี้ยง เราต้องรู้จักใช้พื้นที่ไม่ให้ปลาแออัดเกินไป โดยบ่อ 1 ไร่ 1 เราจะใส่ปลาลงไปในบ่อไม่เกิน 1,200 ตัว เพราะหากเราใส่ปลาลงไปเยอะ ปลาจะแย่งอาหารกัน และมันจะโตช้า และมีโอกาสตาย และก่อนจะปล่อย จะมีการควบคุมเพศปลา ด้วยการให้ฮอร์โมนปลา ฉะนั้น ปลาในบ่อ ส่วนมากจะเป็นตัวผู้ เพราะหากมีตัวเมียเยอะ มันจะออกขายมาก 7 วันออกไข่ๆ แบบนี้ประชากรปลาจะมีมากเกินไป กลายเป็นการแย่งอาหารกัน
...
“สมัยก่อน ผมเคยใส่ปลาลงไป 3,000-4,000 ตัว พบว่าโตช้า แต่เมื่อเราเปลี่ยนวิธี ผลลัพธ์ที่ได้ คือ 3-4 เดือนก็จับได้เลย ทำให้เราได้เงิน ได้รอบเร็วขึ้น”
ส่วนอาหารที่เราให้ ก็ไม่มีอะไรมาก ส่วนมากเป็นกากถั่ว ที่เรารับซื้อจากโรงงาน และเศษอาหารต่างๆ ผสมกับจุรินทรีย์จากสับปะรดผสมลงไป คลุกเข้าให้เข้ากัน เพื่อให้ซึมไปในเม็ดอาหาร เมื่อใช้วิธีการแบบนี้ ปลาจะแข็งแรง ระบบลำไส้ดี ไม่มีเชื้อโรค นอกจากนี้ ก็มีให้อาหารเม็ดโปรตีน 25-30% จากนั้นก็คลุกเคล้าให้เข้ากัน ใส่กระชังแขวนลงไปให้กิน เพียงเท่านี้ การเลี้ยงปลานิลของเราก็โตเร็ว เพียง 3 เดือนครึ่งเท่านั้นก็จับได้
ในขณะที่ “ปลานิล” ตัวใหญ่ จะใช้เวลาในการเลี้ยง 6 เดือน ถึงจะจับขายได้... ทั้งนี้ ปลาจะโตเร็วหรือช้า ขึ้นอยู่กับสายพันธุ์ด้วย โดยของเราเป็นสายพันธุ์ของมานิตย์ฟาร์ม
เลี้ยงปลานิลง่ายมาก ให้อาหารวันละมื้อ แต่สิ่งสำคัญคือ เราต้องมีเครื่องตีน้ำ เหมือนกับให้ออกซิเจนในน้ำ มิเช่นนั้น “ปลาน็อกน้ำ” ตาย
...
รายได้มากน้อย ขึ้นอยู่กับการเลี้ยง และความเสี่ยงระหว่างขนส่ง
เจ้าของ “เผือก เจริญฟาร์ม” เผยว่า แต่ละวันเราสามารถขึ้นปลาได้ 30-40 ตัน แต่ปลาเล็ก เงินจะเร็วกว่า 2 เดือนครั้ง ขณะปลาใหญ่ 6 เดือนครั้ง แต่จะได้เงินเยอะกว่า ซึ่งแต่ละบ่อจะใช้เนื้อที่แตกต่างกัน ใน 30 ไร่ บางบ่อก็ใช้พื้นที่ 2 ไร่ หรือ 5 ไร่ ยกตัวอย่างบ่อ 2 ไร่ ก็มีปลานับแสนตัว ซึ่งของเราพร้อมส่ง หากเป็นปลาเล็กก็ราคาตัวละ 3.50 บาท
“เท่าที่ทราบรายได้ของเกษตรกร โดยเฉลี่ย คนที่เลี้ยงปลานิล 70 ไร่ ใช้ลูกปลา เลี้ยงให้โตเท่า ราคาตัวละ 3.50 บาท หักค่าอาหาร และค่าใช้จ่ายต่างๆ ทั้งหมด จะได้รายกำไรต่อ 6 เดือนประมาณ 1-1.2 แสนบาท ในขณะที่ปลาเล็ก มันมีความเสี่ยงเรื่องการตาย เพราะเมื่อไปส่ง จะมีโอกาสตายอยู่ที่ 20-30% กำไรต่อ 2 เดือน จึงอยู่ที่ประมาณ 2-3 หมื่นบาท”
...
ความหวั่นใจของเกษตรกร
นายอำนาจ กล่าวว่า สิ่งที่รู้สึกกลัวในเวลานี้ คือ การนำเข้ามา เพราะเท่าที่ทราบเริ่มมีการนำเข้ามาได้ แต่การส่งออกนั้นยากกว่า เนื่องจากมีกฎหมายที่ดูแลเยอะ เหมือนกับเนื้อหมู ที่มีเข้ามาหลายพันตัน แต่สำหรับ “ปลานิล” มีการส่งออกได้น้อย เนื่องจากรัฐบาลไม่ได้ชูเรื่องการส่งออกการเกษตรนัก เลยทำให้รู้สึกว่า “การส่งออกการเกษตร” ค่อนข้างแย่ในหลายๆ ตัว
สิ่งที่อยากเรียกร้องคือ การช่วยเหลือเรื่องภาษี เกี่ยวกับอาหารสัตว์ อาทิ ปลาป่น ข้าวโพด รำ เพื่อมาช่วยลดต้นทุนให้กับเกษตรกร ตอนนี้แม้จะมีรายได้ แต่กำไรเหลือกันไม่มาก เราก็รู้สึกเห็นใจเกษตรกรด้วยกัน
ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ รายงาน
อ่านบทความที่น่าสนใจ